ตอนที่ 598 เจ็ดวัน
สายฝนตกกระทบพื้นดิน ผสานรวมเข้าสู่วงคลื่นเล็กๆ มองเห็นได้ไม่ชัดนัก เพราะพื้นดินเดิมทีก็มีวงคลื่นเล็กๆ อยู่ก่อนแล้ว…
ซูหมิงมองร่างเงาเย็นเยียบสองคนเดินมาแต่ไกล ยามโพล้เพล้ในตอนนี้มืดสลัว พอพวกเขามาใกล้ก็มีไอหนาวโชยเข้ามากระทบใบหน้า ไอหนาวแผ่ซ่านกระจาย ยังผลให้ความหนาวจากสายฝนทวีขึ้นไปอีก
สายฟ้าบนฟ้าหายไปเป็นบางครั้งราวกับถอยหนีจากความหนาวเย็น และซ่อนตัวอยู่ในค่ำคืนมืดมิดไม่ยอมออกมา
มีเพียงสายฝนตกบนพื้นกับเสียงย่ำฝีเท้าที่เด่นชัดขึ้นในคืนฝนตก ค่อยๆ ส่งถึงหูบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ชายวัยกลางคนจึงเงยหน้าขึ้นทันใด
เขาเห็นเป็นร่างผอมบางสองคนกำลังเดินมาทางบ้านนี้ท่ามกลางสายฝน จนมาอยู่ตรงหน้าตนกับซูหมิง
“พวกท่านคือ…” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ตัวสั่น ตอนที่จะยืนขึ้นก็ยังตัวสั่นอยู่เล็กน้อย ซูหมิงจึงรีบเข้ามาประคองเอาไว้แล้วมองสองคนนั้นอย่างเย็นชา
เขามองออกว่าสองคนนี้ไม่มีจิตสังหาร มิเช่นนั้นแล้วการจะทำลายหมู่บ้านนี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเผ่าเซียนทั้งสอง
“คุกเข่าฟังประกาศ!” ทันทีที่คนทางซ้ายเอ่ยเสียงเล็กแหลม อุณหภูมิโดยรอบพลันเย็นเยียบอีกครั้ง ถึงอย่างไรบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็เป็นคนธรรมดา เลยตัวสั่นกับเสียงนี้ ใบหน้าซีดขาวในทันใด เขาพลันนึกถึงเมื่อแปดปีก่อน บุตรชายคนโตของบ้านก็ถูกคนสวมอาภรณ์แบบนี้พาตัวไปกลางค่ำคืนสายฝน
ขณะเดียวกัน เสียงเล็กของบุคคลนี้ก็มีความคมกริบอยู่บ้าง ส่งผลให้อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลง ทั้งยังดังเข้าไปในบ้าน ทำให้เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กับมารดาตกใจตื่นขึ้น
นัยน์ตาซูหมิงแอบมีประกายเล็กน้อย หากขั้นพลังตนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพียงนิ้วเดียวก็สังหารเผ่าเซียนสองคนนี้ได้แล้ว ทว่าตอนนี้ขั้นพลังยังอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะสมบูรณ์ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ด้วยขั้นพลังเพียงส่วนเดียว การจะสังหารสองคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ศิษย์น้องจั่ว!” คนร่างซูบผอมสวมเสื้อคลุมดำทางด้านขวากล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น แล้วมองสหายทางซ้ายแวบหนึ่ง ราวกับไม่พอใจคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่
“ผู้อาวุโส เฉินต้าสี่ใช่บุตรชายคนโตของท่านหรือไม่?” คนเสื้อคลุมดำทางขวาหันไปมองบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ที่มีซูหมิงประคองอยู่แวบหนึ่ง ก่อนเบนสายตาผ่านซูหมิง ทว่าก็ไม่ได้สนใจอะไร
เขากล่าวพลางถอดหมวกของเสื้อคลุมดำตรงศีรษะออก เผยใบหน้าขาวซีด อายุราวสี่สิบปี ใบหน้าดูธรรมดา มีเพียงนัยน์ตาที่มีแสงสีฟ้าวูบวาบ
บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ตัวสั่น หากซูหมิงไม่ประคองเอาไว้ เกรงว่ายามนี้คงล้มลงไปเพราะถูกไอหนาว แต่พอได้ยินชื่อเฉินต้าสี่เขาก็เหมือนมีพละกำลังขึ้นมา
“ใช่…สี่เอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของข้า ขะ….เขา….” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เสียงสั่น เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“เฉินต้าสี่ตายแล้ว!” คนที่ตอบคือคนเสียงเล็กทางซ้าย วินาทีที่คำพูดนี้เข้าถึงหูบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ชายวัยกลางคนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับมีพลังมีชีวิตไหลซึมออกจากร่าง เขาดูชราลงไปมากในพริบตา น้ำตาไหลเป็นสองสาย หยดลงสู่คลื่นเล็กๆ บนพื้นจนแยกกันไม่ออก
อีกทั้งในตอนนี้เอง มีเสียงล้มดังโครมมาจากในบ้าน เป็นมารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากห้อง พอได้ยินประโยคนี้เลยหมดสติไป
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อยู่ข้างๆ เหม่อมองบุคคลสวมเสื้อคลุมดำร่างซูบผอมสองคนนอกบ้าน ข้างหูยังมีคำพูดเมื่อครู่ดังกึกก้อง ร่างเล็กบอบบางคล้ายสูญเสียวิญญาณ ใบหน้าพลันซีดเผือด ราวกับว่าทุกอย่างของนางเป็นสีขาว
“ผู้อาวุโส ศิษย์น้องเฉินมีพรสวรรค์โดดเด่น เป็นที่โปรดปรานของผู้อาวุโสจ้าวในสำนัก และผู้อาวุโสจ้าวก็รับเขาเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง ทว่าหลายวันก่อน ศิษย์น้องเฉินเกิดอุบัติเหตุจนต้องจบชีวิตลง เห็นแก่ไมตรีจิตในอดีต ผู้อาวุโสจ้าวเลยให้พวกข้าสองคนมาบอกท่าน” บุคคลเสื้อคลุมดำทางซ้ายกล่าวเสียงหนักแน่น กล่าวจบก็หยิบห่อสัมภาระมาวางไว้ใต้ชายคา
“นี่คือสมบัติที่ศิษย์น้องเฉินสะสมมาหลายปีนี้ ไม่มีประโยชน์กับผู้ฝึกอย่างพวกข้า แต่สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกท่านก็พอจะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง”
แม้คนทางขวาจะกล่าวเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้ากลับมีความปลงอนิจจัง ตอนที่มองครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นัยน์ตามีความสงสารวาบผ่าน แต่คนทางซ้ายกลับยังคงเย็นชา
“ขอบคุณ…ขอบคุณท่านเซียน นี่คือโชคชะตาของสี่เอ๋อร์…” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์น้ำตาไหล ขณะกำลังจะคุกเข่าให้เผ่าเซียนสองคน บุคคลทางขวากลับสะบัดแขนเสื้อมาประคองเอาไว้
ซูหมิงมองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก แต่ในใจเขารู้ดีว่าน้อยครั้งมากที่สำนักจะมาแจ้งข่าวแก่ญาติหากมีลูกศิษย์ตาย
เรื่องแบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย เว้นแต่…ผู้ตายจะมีอะไรพิเศษ
ซูหมิงประคองบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ แล้วหันไปมองเด็กน้อยที่ยืนเหม่อลอยกับมารดาที่หมดสติอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ความอบอุ่นในครอบครัวก่อนหน้านี้พังทลายลงด้วยฝันร้ายนี้
“นี่คงจะเป็นบุตรชายของท่านอีกคน และก็มีบุตรสาวคนนี้….” บุคคลเสื้อคลุมดำทางขวามองซูหมิงอีกครั้งด้วยแววตาดุจสายฟ้า ก่อนมองไปยังเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์
‘พวกเขาไม่รู้จักครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ดี ดูแล้วคงไม่ได้สืบอะไรมา และพี่ชายนางก็คงไม่ได้บอกกับใคร’ ซูหมิงกล่าวในใจ
“ด้วยคำสั่งของผู้อาวุโสจ้าว อนุญาตให้ครอบครัวพวกท่านส่งบุตรมาอีกคนหนึ่ง เขาจะรับเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง แล้วจะถ่ายทอดวิชาต่อจากศิษย์น้องเฉินให้ ยินดีด้วยผู้อาวุโส ให้เวลาพวกท่านเจ็ดวัน เลือกคนที่จะเข้าสำนักวิญญาณอสูรให้ดี เจ็ดวันจากนี้พวกข้าจะกลับมาจากข้างนอก แล้วจะพาเขาไปด้วย” คนเสื้อคลุมดำทางขวากล่าวเนิบช้า กล่าวจบก็ไม่สนใจครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อีก หมุนตัวจากไปทันที
สหายร่วมสำนักข้างๆ ก็ยิ้มให้ซูหมิงกับเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อย่างมีความหมายลึกซึ้ง แล้วหมุนตัวจากไป
ฝนตกหนักยิ่งกว่าเดิม บุคคลเสื้อคลุมดำสองคนเดินอยู่กลางสายฝน ร่างเงาเลือนรางหายไปทีละน้อย มีเพียงซูหมิงที่เห็นว่าสองคนนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้าไป
สำนักวิญญาณอสูรที่พวกเขาเอ่ยถึง ในหนึ่งปีมานี้ซูหมิงก็เคยเห็นอยู่บ้าง เป็นยอดเขาทางตะวันออกที่มีเมฆหมอกโอบล้อม มีเพียงยามฟ้าแจ่มใสในระยะหมื่นลี้เท่านั้นถึงจะเห็นได้รางๆ
ทว่าศิษย์สำนักวิญญาณอสูรสองคนนี้กลับบินไปทางตะวันตก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้กลับสำนัก พอเชื่อมโยงกับสิ่งที่พวกเขาเอ่ยและการวิเคราะห์ของซูหมิงแล้ว เขามั่นใจว่าสองคนนั้นออกสำนักมาครั้งนี้จะต้องมีเรื่องสำคัญอีกแน่ และที่แวะมาที่นี่ก็เพราะทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสจ้าวเท่านั้น
ฉะนั้นพวกเขาจึงให้เวลาเจ็ดวัน แต่ไม่ได้กำหนดว่าจะเอาใครไปในทันที เห็นได้ว่าการจะพาเด็กไปคนหนึ่งย่อมส่งผลถึงภารกิจอื่นของพวกเขาแน่ ไม่สู้ค่อยกลับมารับแล้วพาไปด้วยดีกว่า การส่งข่าวครั้งนี้ถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับสองคนนั้น ทว่าสำหรับครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นี่คือฝันร้ายสะเทือนขวัญที่ไม่อาจปฏิเสธ
โดยเฉพาะเพิ่งผ่านเรื่องเศร้าของบุตรชาย ก็ยังจะถูกเอาบุตรไปอีกคน เรื่องนี้เป็นดั่งภัยพิบัติสำหรับครอบครัวซื่อสัตย์และจิตใจดีงามครอบครัวนี้
บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไม่ถักสานตุ๊กตาอีก เขาแก่ชราลงจริงๆ เดินมาอยู่ตรงหน้าภรรยาด้วยความเศร้า น้ำตารินไหลอย่างเงียบๆ ตอนนี้มารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ได้สติกลับมา นางเหม่อมองสามีตรงหน้าแล้วร้องไห้
ซูหมิงยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน เขารู้สึกได้ถึงความเศร้าและสิ้นหวังต่อโชคชะตาของครอบครัวนี้
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไม่ร้องไห้ นางกัดฟันก้มหน้าลง
“จะให้โฉ่วเอ๋อร์ไปกับพวกเขาไม่ได้…นางยังเป็นเด็ก นาง…” มารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มองบุตรสาวที่เงียบอยู่ราวกับไม่มีน้ำตา หัวใจนางเจ็บปวดดุจถูกมีดกรีด เพียงแต่…นางไม่มีวิธีต่อต้านเลย
“เจ็ดวัน…..พวกเราจะเดินทางข้ามคืนเพื่อไปจากที่นี่!” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กัดฟัน มองภรรยากับบุตรสาวของตนแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น
“ไม่มีประโยชน์หรอกท่านพ่อ ข้าเคยได้ยินมาว่าเซียนเป็นเทพ ต่อให้พวกเราหลบไปไกลเพียงใด หากพวกเขาคิดจะหาเราก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก…ถึงตอนนั้นคงทำให้เซียนโกรธ ครอบครัวเราจะต้องถูกลงโทษ ให้ข้าไปเองเถิด ข้าจะเข้าสำนักของเซียนเอง” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์พึมพำเบาๆ นางเหมือนโตขึ้นมากในชั่วขณะนั้น
“หากข้ามีชีวิตรอด หากวันหนึ่งข้าเป็นเหมือนเซียน ข้าจะหาสาเหตุการตายของพี่!” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กำหมัดแล้วหลับตาลง
“ข้าไปเอง” ท่ามกลางความโศกเศร้า ซูหมิงมองสายฝนนอกเรือนหลังนี้ เสียงฝนตกคล้ายกับเสียงสะอื้นไห้
เมื่อเสียงเข้าถึงหูคนในครอบครัว เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็เบิกตากว้าง
มารดาเด็กหญิงตะลึงงัน ตอนที่มองซูหมิงก็มีสีหน้าต่อสู้ดิ้นรนและลังเลใจ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ลูกพ่อ เจ้าไปเถอะ ไปจากที่นี่เสีย…” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์พลันกล่าวขึ้น
ซูหมิงมองเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ มองบิดามารดาของนาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มแล้วถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนเลิกอาภรณ์ขึ้น คุกเข่าคารวะทั้งสองท่าน
“บุญคุณที่ช่วยชีวิตและให้ที่อยู่อาศัย ซูหมิงไม่อาจตอบแทนเช่นนี้ได้ พวกท่านเลี้ยงดูข้ามาหนึ่งปีกว่า ความอบอุ่นของครอบครัวเป็นสิ่งที่ข้าแทบไม่เคยมีในชีวิต….ท่านพ่อ ท่านแม่ โฉ่วเอ๋อร์ยังเด็กนัก ข้าจะไปเอง”
“ตั้งแต่เยาว์วัยข้าไม่มีบิดามารดา มีเพียงท่านปู่ที่เลี้ยงดูข้ามา แต่ตอนนี้….ท่านปู่ไม่อยู่แล้ว พวกท่านทำให้ข้ารู้สึกถึงความอบอุ่น…โฉ่วเอ๋อร์ พอข้าไปแล้วเจ้าจำไว้ว่าต้องดูแลท่านพ่อท่านแม่ให้ดี วางใจเถอะ พี่ชายจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน”
“พี่โก่วเซิ่ง ข้า…” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อ้าปาก ทว่ากลับไม่รู้จะกล่าวอะไร นางมองซูหมิง สุดท้ายก็มีน้ำตาไหลริน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปเอง!” ซูหมิงมองคู่สามีภรรยาตรงหน้า จดจำพวกเขาไว้ในใจลึกๆ หนึ่งปีมานี้นับว่าไม่นาน ทว่าสำหรับซูหมิง นี่เป็นความอบอุ่นที่เขาไม่เคยมี มันต่างจากยอดเขาลำดับเก้า ต่างจากภูเขาทมิฬ