ตอนที่ 599 บันทึกปมหญ้า
ฝนตกมาสามวันแล้ว
ฝนตกหนักสามวันนี้ชะล้างดิน ตกใส่ดอกหอมหมื่นลี้ ทำให้แผ่นดินเปียกชื้น ในบ้านต่างๆ ล้วนเต็มไปด้วยไอชื้น กระทั่งผ้าห่มตอนนอนก็ยังเป็นเช่นนั้น
ฤดูกาลนี้ก็เป็นเช่นนี้
ในสามวันนั้น นอกจากนายพรานแล้วมีคนออกไปไกลน้อยมาก มีเพียงช่วงฝนหยุดตกเป็นบางครั้งถึงจะมีเด็กจำนวนไม่น้อยวิ่งเท้าเปล่าออกมาเล่นดินโคลนและส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ตอนนี้ในอดีต เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มักจะมาเกาะติดซูหมิง นางจะอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก และนำดินมาปั้นเป็นสัตว์น้อยอะไรบางอย่างที่ดูไม่ออก
ทุกครั้งในเวลานี้ ซูหมิงจะยิ้มน้อยๆ แล้วเล่นกับนาง เขามองเด็กน้อยจิตใจดีน่ารักคนนี้พลางนึกถึงวัยเยาว์ของตน
ทว่าสามวันมานี้ สิ่งที่มีอยู่ในบ้านเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์คือความเศร้าและเงียบงัน คำร้องขอของซูหมิงทำให้ครอบครัวนี้ลังเลใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไรดี
นี่ก็เป็นเพราะซูหมิงคือความอบอุ่นของครอบครัวนี้ หากเป็นครอบครัวอื่น เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาต้องเลือกอะไร ระหว่างบุตรที่เก็บมากับบุตรสาวของตนควรจะเลือกอย่างไร มันเป็นเรื่องยากหรือ?
บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เงียบงัน คนรักของเขาก็เงียบเช่นกัน พวกเขามักจะมองซูหมิงกับเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ มองรอยตำหนิบนใบหน้าเด็กหญิง มองร่างกายผอมบาง แล้วก็ต้องปวดใจอีกครั้ง
แต่ตอนที่มองซูหมิง ใบหน้าขาวซีดนั้น ร่างกายที่ผ่ายผอม และยังมีแววตาเข้าใจกับอารมณ์ที่มองพวกเขาเป็นบิดามารดา ทำให้หัวใจสามีภรรยาคู่นี้เจ็บปวดอีกครั้ง
ยังเหลืออีกสี่วันก็จะถึงคราวต้องเลือก….
“ท่านพ่อ ท่านเคยบอกว่าการถักตุ๊กตาต้องมอบชีวิตให้กับมัน ทว่าต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกแบบใดถึงจะมอบชีวิตให้ตุ๊กตาได้” ซูหมิงมองบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์พลางกล่าวเสียงเบา
นี่คือวันที่สี่หลังจากคนสำนักวิญญาณอสูรจากไป ซูหมิงนำเชือกสานมาวางไว้ตรงหน้าบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ แล้วก้มหน้าถัก
“คนเราต้องการความซาบซึ้งใจ…มีเพียงในใจมีความซาบซึ้งใจเท่านั้นถึงจะถักออกมาเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตได้” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มองซูหมิงพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน เพียงแต่ตอนมองกลับปกปิดความซับซ้อนในแววตาไม่มิด
“เมื่อก่อนตุ๊กตาที่พ่อเคยสร้างก็ไม่มีชีวิต ตอนที่สี่เอ๋อร์พี่ชายเจ้าเกิด ข้าฟังเสียงร้องไห้ของเขาพลางถักอยู่ข้างนอก และนั่นก็เป็นตุ๊กตาตัวแรกที่มีชีวิต”
บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เรียกตัวเองว่าพ่อกับซูหมิงเป็นครั้งแรก คำพูดเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ไม่มีการจงใจหรือแสร้งทำเลย ขณะกล่าวคำนี้เขายังหยิบเชือกสานขึ้นมาเส้นหนึ่ง
เขามัดปมหนึ่งก่อน จากนั้นก็มัดปมเชือกสานอีกจำนวนมาก จนกระทั่งมีสิบกว่าปมแล้วเขาถึงมองซูหมิง
“ก่อนที่ข้าจะออกเรือนกับแม่เจ้า ข้าเป็นชาวเผ่าค้ำผา เผ่านี้เป็นชนเผ่าเล็ก ชาวเผ่ามีหลายร้อยคนเท่านั้น ทว่ากลับมีประวัติศาสตร์ยาวนาน…
ตั้งแต่เยาว์วัยข้าไม่มีกายหมาน เป็นเพียงคนธรรมดา ส่วนบิดาของข้าหรือปู่ของเจ้าเป็นนักประวัติศาสตร์นิรันดร์ในชนเผ่านั้น” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เผยรอยยิ้มบาง สีหน้าหวนคะนึงคิด
“เจ้าก็รู้ นักประวัติศาสตร์นิรันดร์ทุกรุ่นคือคนที่ไม่มีกายหมาน หน้าที่มีเพียงหนึ่งเดียวคือใช้วิธีที่ต่างกันไปของแต่ละชนเผ่าบันทึกประวัติศาสตร์ของชนเผ่าเอาไว้
การสืบทอดของเผ่าค้ำผามีมาช้านานมาก ตั้งแต่เมื่อไรนั้นไม่มีใครรู้ ทว่าจากวิธีการบันทึกของนักประวัติศาสตร์ในชนเผ่าจะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่ของปลอม
เพราะวิธีการบันทึกคือการบันทึกถักสาน ใช้หญ้าที่ต่างกันและการผูกปมที่ต่างกันมาบันทึกประวัติศาสตร์ คนอื่นอ่านความหมายแฝงไม่ออก มีแต่คนที่เข้าใจวิธีนี้เท่านั้นถึงจะอ่านออก”
“ข้าเป็นนักประวัติศาสตร์นิรันดร์ในยุคนั้น เพียงแต่ว่า…ด้วยภัยพิบัติของชนเผ่า ชาวเผ่าแยกจากกันหรือไม่ก็ตายลง ทำให้ทุกอย่างหายไป ข้ามาเจอกับมารดาเจ้าโดยบังเอิญ จากนั้นก็มาอาศัยอยู่ที่นี่…ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีศิลปะอื่นๆ การเอาชีวิตรอดจึงเป็นเรื่องยากยิ่งนัก
แต่ข้าถักสานเป็น ใช้ปมหญ้านับไม่ถ้วนมาถักเป็นตุ๊กตาได้…” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มองซูหมิง ตอนเอ่ยสองมือเขายังคงถักสานอยู่ตลอด ยามนี้พอกล่าวจบในมือก็ปรากฏเป็นตุ๊กตาคนตัวเล็กตัวหนึ่ง
ลักษณะหน้าตาของมันค่อนข้างคล้ายกับซูหมิง!
“คนตัวเล็กนี้ถักขึ้นจากปมหญ้ายี่สิบเก้าปม ข้าเอาคำอวยพรยี่สิบเก้าประโยคบันทึกไว้ในปมหญ้านี้แล้ว ตุ๊กตาแบบเดียวกัน ตอนพี่ชายเจ้าเกิดข้าก็มอบให้เขาตัวหนึ่ง ตอนน้องสาวเจ้าเกิดก็เช่นกัน ตอนนี้ข้าให้เจ้า” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ส่งตุ๊กตาในมือให้ซูหมิง
“บันทึกปมหญ้า…” นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงได้ยินวิธีการบันทึกประวัติศาสตร์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นแดนพันธมิตรตะวันตกหรือแดนอรุณใต้ ชนเผ่าที่เขาเคยเจอไม่มีใครบันทึกแบบนี้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อเรียกนักประวัติศาสตร์นิรันดร์เลย
แต่เขาเดาออกว่านักประวัติศาสตร์นิรันดร์น่าจะเป็นตำแหน่งคล้ายกับผู้นำกองรักษาการณ์และผู้นำนักรบ
ทันทีที่ซูหมิงรับตุ๊กตามา นัยน์ตาพลันเพ่งมอง เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าในตุ๊กตานี้มีพลังชีวิต พลังชีวิตนี้เบาบางมาก หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสเขาฟื้นฟูกลับมาบ้างก็คงยากจะมองออก
ในพลังชีวิตแฝงไว้ด้วยคำอวยพร ทั้งยังมีความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งตัวซูหมิง
ซูหมิงเงยหน้ามองบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าเขามั่นใจยิ่งว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกฌานและเป็นเพียงคนธรรมดาละก็ หลังจากเห็นตุ๊กตานี้แล้วจะต้องคิดว่ามันมาจากมือผู้ฝึกฌานอย่างแน่นอน
ใบหน้าผ่านโลกมาอย่างโชกโชนมีรอยเหี่ยว แบกรับการขัดเกลาจากชีวิตมามาก เวลายืนมักจะหลังค่อมอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าถูกความจำใจและโชคชะตากดทับทั่วร่างมาเป็นเวลานาน
ทว่าคนธรรมดาแบบนี้กลับถักตุ๊กตาที่มีชีวิตออกมา แม้ก่อนหน้านี้ซูหมิงจะเห็นบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ถักตุ๊กตามาไม่น้อย ทุกครั้งชีวิตที่แฝงอยู่ก็จะเบาบางมาก ไม่มีค่าพอให้ตื่นตะลึง แต่ตุ๊กตาตัวนี้ในมือเขากลับทำให้ขั้นพลังที่กระจัดกระจายอยู่ในร่างกาย…เกิดระลอกคลื่นเสี้ยวหนึ่ง
‘ในนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบันทึกปมหญ้า ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ…ถ้ามีความปรารถนาสูงสุด เราก็จะใช้มือได้อย่างสูงสุดเช่นกัน ใช้สองมือมอบความคิดให้ปมหญ้า ความคิดนี้จากทึ่มทื่อจะกลายเป็นคำอวยพร คำอวยพรนี้แฝงไว้ด้วยคำอธิษฐานของมัน ฉะนั้นขอแค่มันยังไม่ตาย คำอวยพรก็จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์’ ซูหมิงคล้ายได้เข้าใจ มันเป็นหลักการเดียวกับตอนเขาวาดภาพ เหมือนกับตอนเขียนอักษร พอคนอื่นมาเห็นจะเกิดความรู้สึกองอาจสง่างามขึ้น
นี่คือการทำบางอย่างอย่างสุดความสามารถ ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง ไม่เกี่ยวกับอะไรเลย มีเพียงการเชื่อมต่อกับจิตใจเท่านั้น
“ที่เชือกสานของเจ้าไม่มีชีวิต นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าไม่เข้าใจบันทึกปมหญ้า เอาแบบนี้ ข้าจะสอนเจ้า…..ตอนนั้นพี่ชายเจ้าเรียนไม่ได้ น้องสาวเจ้าก็ไม่สนใจ เจ้าชอบมันพ่อก็ปลื้มใจมากแล้ว” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างเมตตา หยิบเชือกสานขึ้นมาส่งให้ซูหมิงเส้นหนึ่งแล้วหยิบมาอีกเส้น
“บันทึกปมหญ้า นี่คือวิธีโบราณมากนัก พ่อเองก็ไม่เข้าใจครบทุกด้าน บันทึกได้เพียงเรื่องง่ายๆ เท่านั้น ทุกปมจะมีความต่างกัน การผูกทุกปม ในใจเจ้าต้องนึกถึงเรื่องที่จะบันทึกลงไป
ข้าจำได้ว่าตอนแรกท่านพ่อข้าก็บอกกับข้าแบบนี้….”
“ปมหญ้าก็ดี เชือกสานก็ดี เจ้าต้องใช้ตามองมัน ใช้มือสัมผัส ใช้ใจรู้สึก จุดสำคัญในนั้นคือการสัมผัส
สัมผัสความรู้สึกตอนผูกทุกปม มันลึกลับและมหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าเองก็บอกอย่างละเอียดไม่ได้ ทว่าตอนที่ไม่มีตัวอักษร บรรพบุรุษของพวกเราก็ใช้วิธีแบบนี้บันทึกทุกอย่างในชีวิต” บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กล่าวพลางผูกอีกเจ็ดปม
เวลาผ่านไปเช่นนี้ พริบตาเดียวก็สองสามวัน ในสองสามวันมานี้ซูหมิงตกอยู่ในห้วงการบันทึกปมหญ้าโดยตลอด บิดาก็คอยสอนอยู่ตลอด เสียแต่บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไม่ใช่อาจารย์ที่ดี มีหลายครั้งที่เขาเพียงแค่ใช้ความรู้สึก ทว่ากลับไม่อาจบรรยายออกมาอย่างชัดเจน
ยามนี้เหลืออีกสองวันกว่าคนสำนักวิญญาณอสูรจะมา บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ตกอยู่ในความเงียบบ่อยครั้ง สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความสับสนเป็นบางครั้ง
มารดาของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็เช่นกัน
สองสามวันมานี้สายฝนด้านนอกหยุดตก พอเลยช่วยเที่ยงของวันนี้ไปก็เทกระหน่ำลงมาอีกครั้ง เสียงฝนดังซ่าๆ ยังคงกึกก้องจนถึงยามค่ำคืน
ซูหมิงนอนอยู่ในห้องเล็กๆ ของเขา มองสายฟ้านอกหน้าต่าง และยังมีสายฟ้าที่วูบผ่านพร้อมกับเสียงดังสนั่นเป็นบางครั้ง คืนนี้เขานอนไม่หลับ
ในมือเขาถือเชือกที่มีปมผูกเอาไว้ราวเจ็ดแปดปม สิ่งนี้บิดามอบให้เขาก่อนจะเข้านอน การเรียนบันทึกปมหญ้าในช่วงหลายวันมานี้ สำหรับซูหมิงแล้วยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่ได้เข้าใจเป็นพิเศษ
ยามนี้เขาลูบปมบนเชือกพลางนึกถึงอดีตของตัวเอง
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กับเขาอยู่ห้องเดียวกัน สำหรับครอบครัวที่ไม่ร่ำรวยอะไรมากนี้ เป็นเรื่องยากที่จะให้บุตรทุกคนมีห้องส่วนตัว
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังเป็นเพื่อนซูหมิงมาตลอดหนึ่งปีกว่า ทำให้เขายากจะลืมเลือน เขาหันหน้าไปมองเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ มองเด็กหญิงที่คุ้นตาคนนี้ก่อนเผยรอยยิ้มบางๆ
เพียงแต่ขณะหลับใหลหางตาเด็กหญิงมีน้ำตาไหล และยังละเมอพึมพำเบาๆ ทำให้รอยยิ้มซูหมิงกลายเป็นความรักใคร่เอ็นดู
“พี่…พี่โก่วเซิ่ง…..ท่านอย่าไป เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์จะ…ข้าจะทุบตีพวกเขา…”
“ท่านพ่อ ท่านแม่…พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป…”
ในโลกของนาง พี่ชายแท้ๆ ของนางช่างเลือนราง ถึงอย่างไรเมื่อแปดปีก่อนนางก็เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน หลังจากเติบใหญ่ขึ้นแล้วก็รู้เพียงว่าตนมีพี่ชายคนหนึ่งเข้าสำนักเซียน
นอกจากนี้แล้วอื่นๆ ล้วนว่างเปล่า ทว่าซูหมิงกลับปรากฏกาย ทำให้ความว่างเปล่านั้นค่อยๆ ประทับร่างเงาซูหมิงลงไปแทน สำหรับนางแล้ว พี่ชายนางก็คือซูหมิง
สิ่งที่นางหวังไว้มากที่สุดในชีวิตคือครอบครัวรวมถึงพี่โก่วเซิ่งอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป
ซูหมิงเช็ดคราบน้ำตาให้เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นัยน์ตาฉายแววแน่วแน่ เขาไม่อยากให้ครอบครัวนี้เศร้าโศก เขาอยากให้พวกเขามีความสุขไปตลอด
“เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ พี่โก่วเซิ่งรับปากเจ้าว่าจะปกป้องครอบครัวของเจ้า…ตลอดไป!”