ตอนที่ 600 จากลา
เวลาผ่านไปเร็วมาก
นี่คือวันสุดท้ายในเวลาเจ็ดวันที่สำนักวิญญาณอสูรบอก ยามค่ำคืนวันนี้ บางทีคนสำนักวิญญาณอสูรอาจจะมาถึงแล้วพาซูหมิงหรือเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไปยังสำนักเพื่อส่งให้กับผู้อาวุโสจ้าว
ยามรุ่งอรุณฝนหยุดแล้ว ในหนึ่งปีมานี้ซูหมิงมักจะมาป่าดอกหอมหมื่นลี้เป็นประจำ เขาจะนั่งอยู่บนใบไม้ที่เช็ดคราบน้ำออกแล้วมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆ ต่างกับเมื่อวานโดยสิ้นเชิง
แม้ท้องฟ้าแจ่มใส ทว่าแสงตะวันยังอบอุ่นยิ่งนัก สาดส่องบนตัวราวกับขับไล่ความชื้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาได้ ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
เพียงแต่ว่าดอกหอมหมื่นลี้ในป่าส่วนใหญ่กลายเป็นเครื่องประดับในดินโคลน ดินจึงมีกลิ่นหอม พอผสานรวมกับกลิ่นของดินหลังฝนตกจะให้ความรู้สึกต่างออกไป
ซูหมิงมองฟ้าเช่นนี้ตลอด ไม่มีใครรู้ว่าเขามองอะไร ตัวเขาเองก็ไม่รู้ สายตามองฟ้า ทว่าหัวใจกลับเงียบงัน เขาบิดร่างที่ตึงไปหมดอย่างเงียบๆ ทำให้ขั้นพลังส่วนหนึ่งที่กำลังฟื้นฟูหมุนโคจรอย่างช้าๆ
การฟื้นฟูขั้นพลังยากกว่าที่คิดไว้มาก อาการบาดเจ็บในตอนนั้นสาหัสเกินไป โดยเฉพาะเขายังอยู่ในร่างซู่มิ่ง หลังจากวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วบวกกับที่ตี้เทียนยังไม่มา เขาเลยได้คำตอบมาอย่างหนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในร่างนี้ ตี้เทียนเลยหาตนไม่พบ
ส่วนเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงรอดจากภัยพิบัติของตี้เทียน ซูหมิงจำได้เพียงว่าก่อนหมดสติได้ยินเสียงเพลงซวิน เขาคาดเดาว่าคนที่ช่วยตนจะต้องเป็นชายชราผู้สร้างซวินอย่างแน่นอน
“ขั้นวิญญาณหมาน…หลังจากขั้นพลังฟื้นฟูแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือขั้นวิญญาณหมาน!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ในมือถือเชือกสานหนึ่งเส้นและกำลังผูกปมอยู่ เขาผูกไปทีละปมเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ออกมาเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง
“บันทึกปมหญ้า ด้วยจิตวิญญาณของคนธรรมดาอย่างท่านพ่อสามารถรวมออกมาเป็นพลังแห่งการอวยพร หากผู้ฝึกณานทำ…พลังก็จะแกร่งยิ่งกว่าเดิม!
บันทึกปมหญ้าน่าจะเป็นวิชาเฉพาะบางอย่าง น่าจะเกี่ยวข้องกับคำสาป!” ตอนที่ซูหมิงได้ยินบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์พูดถึงบันทึกปมหญ้า ในความคิดก็มีเรื่องนี้ลอยมาเป็นลำดับแรก
หากรวมคำสาปต่อคนคนหนึ่งในปมหญ้า เช่นนั้นหากเชื่อมกับคนที่มีคำสาปจำนวนมาก แล้วสร้างขึ้นเป็นตุ๊กตา มันจะส่งผลเป็นคำสาปอีกชนิดหนึ่งหรือไม่
‘ในผู้ดูดวิญญาณมีคนใช้วิชาคำสาปได้ ทว่าส่วนใหญ่เป็นตำนาน ต่อให้มีอยู่จริง อานุภาพก็ไม่มากนัก สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้วก็มองข้ามไปได้เลย
ทว่าหากเชื่อมกับวิชาผูกปมหญ้า…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ก่อนก้มหน้ามองปมหญ้าในมือตนเองอย่างเงียบงัน
เวลาตลอดช่วงเช้าผ่านไปเช่นนี้ ยามบ่ายแสงตะวันร้อนระอุ ส่องผ่านป่ามายังตัวซูหมิง มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากนอกป่า ซูหมิงจึงค่อยละสายตาจากฟ้าแล้วมองไป
นั่นคือเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นางมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเงียบๆ
“พี่โก่วเซิ่ง ท่านจะไปไม่ได้นะ” นางมองซูหมิงพลางเอ่ยเสียงเบา
“ถ้าท่านไปอาจจะตายได้ นี่เป็นเรื่องของครอบครัวข้า ต้องเป็นข้าที่ไป…”
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กัดริมฝีปาก น้ำเสียงแน่วแน่
“มา มานั่งข้างข้านี่” ซูหมิงยิ้มแล้วขยับตัวแบ่งที่ข้างๆ ซึ่งมีใบไม้สะอาดให้เล็กน้อย สายตามองเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์
เด็กหญิงย่นจมูก หลังจากนั่งลงข้างซูหมิงแล้ว ตอนที่อ้าปากเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง เขาก็ยิ้มมองนาง
“หากข้าไปแล้วอาจตาย เจ้าไปก็ไม่ต่างกันไม่ใช่รึ?”
“ไม่เหมือนกัน ข้า…ข้าฉลาดกว่าท่าน! ข้าไปบางทีอาจจะไม่ตาย พี่โก่วเซิ่ง ท่านฟังข้าสักครั้งได้หรือไม่…”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เจ้านั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนข้าหน่อย” ซูหมิงลูบศีรษะเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ หลังพิงต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง สายตามองฟ้าแล้วไม่กล่าวอะไรอีก
เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ลังเลอยู่ชั่วครู่ ถึงค่อยเอาหลังพิงต้นไม้แล้วมองฟ้าเช่นกัน ฟ้าสีครามทำให้มองไปมองมาจะรู้สึกเหมือนตนบินขึ้นไปและล่องลอยอยู่บนนั้น
“พี่โก่วเซิ่ง ท่านว่าฟ้ากว้างใหญ่เพียงใด…”
“ใหญ่มาก”
“เช่นนั้น…ฟ้าสูงเพียงใด?”
“สูงมาก”
“หึ ท่านขี้โกงนี่ เช่นนั้นข้าถามท่าน พี่โก่วเซิ่ง ท่านว่าหลังท้องฟ้าคืออะไร”
ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ มองท้องฟ้าพลางกล่าวเสียงเบา
“ด้านหลังท้องฟ้าคือน้ำวนหมอก”
“เช่นนั้นด้านหลังน้ำวนหมอกคืออะไร?” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อยากรู้อยากเห็น กะพริบตาปริบๆ แล้วถามต่อ
“ด้านหลังน้ำวนเป็นฟ้ากระจ่างดาว ที่นั่นมีดาวจำนวนมาก มีแผ่นดินใหญ่ลอยอยู่มากมาย…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ นั่นคือสิ่งที่เขาเห็นกับตาตัวเอง
“ที่นั่นคือที่ใดหรือ?” จะเห็นได้ว่าเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เพิ่งเคยได้ยินแบบนี้เป็นครั้งแรก ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก ลืมเป้าหมายที่มาหาซูหมิงที่นี่ไป แต่กลับถูกคำพูดเขาชักชวนให้อยากรู้อยากเห็นแทน
“ที่นั่นคืออีกโลกหนึ่ง” นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายเย็นชา ก่อนเอ่ยช้าๆ
“อีกโลกหนึ่ง…พวกเขาเหมือนกับพวกเราหรือไม่?” ด้วยอายุของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เลยมึนงงกับคำพูดซูหมิง นางขมวดคิ้วขึ้น
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ฉะนั้นสักวันหนึ่งข้าจะไปดูว่าโลกของที่นั่นเป็นอย่างไร และมีอะไรต่างจากพวกเรา…” ซูหมิงกล่าวเสียงนิ่งเรียบ
สีหน้ายึดมั่นเป็นสิ่งที่เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ในตอนนี้ยังไม่เข้าใจ บางทีนางอาจจะจำเรื่องราวในตอนนี้เอาไว้ จนกระทั่งหลายปีจากนี้นางจะเข้าใจเอง
ฟ้าเริ่มมืดสลัวลง เมื่อยามโพล้เพล้มาถึง ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉาน ทำให้แผ่นดินดุจดั่งถูกย้อมด้วยแสงสะท้อน จนกระทั่งถึงตอนนี้ เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เพิ่งนึกออกว่าตนมาทำอะไร จึงยืนขึ้นแล้วมองซูหมิง
“พี่โก่วเซิ่ง ข้าจะบอกท่านจริงๆ ว่าท่านห้ามไป นี่เป็นเรื่องของข้า! วันนี้ตอนเย็นคนที่จะถูกพาตัวไปคือข้า ท่าน….ท่านจำเอาไว้ว่าต้องดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดีๆ…” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กล่าวกับซูหมิง ข่มความกลัวต่ออนาคตเอาไว้
“เจ้าอยากไปจริงๆ รึ หากพี่ชายเจ้ายังไม่ตาย” ซูหมิงยืนขึ้น มองเด็กหญิงพลางเอ่ยเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ดูพิลึก เมื่อเข้าถึงหูเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ สีหน้านางก็เริ่มสับสน
“ข้า…ข้าไม่อยากไป ข้าอยากอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ อยู่กับพวกเขาไปชั่วชีวิต แล้วข้าก็ไม่อยากให้ท่านไปด้วย ข้าอยากให้พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป”
ซูหมิงลูบศีรษะเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน แล้วจูงมือนางเดินออกไปนอกป่า
ตอนที่เดินออกมาจากป่า เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มีสีหน้ากลับมาดังเดิม นางอึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะสลัดมือจากซูหมิงแล้วถอยหลังไปหลายก้าว สองมือเท้าสะเอว
“พี่โก่วเซิ่ง ท่านอย่าคิดว่าข้าเป็นคนอ่อนโยนนะ ถ้าข้าโกรธขึ้นมามันจะน่ากลัวมาก! ท่าน…ท่านห้ามไป!” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ทำแก้มป่อง ท่าทางเหมือนกับผู้ใหญ่
พอซูหมิงเห็นแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะ
“เอาละๆ ข้าจะไม่ไป”
“จริงรึ?” เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็โพล่งขึ้นทันใด
“จริง” ซูหมิงยิ้มกล่าว
พอได้ยินซูหมิงตอบเช่นนี้ เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็วางใจ เดินเข้ามาจูงมือเขากระโดดโลดเต้นกลับบ้าน เพียงแต่ว่าด้วยอายุของนางในตอนนี้ ความกลัวต่ออนาคตทางสีหน้าจึงปิดไว้ไม่มิด ท่าทางมีความสุขที่แสร้งทำนั้นนางเรียนรู้มาแต่เยาว์วัย ตอนนี้จึงแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
คืนนี้ไม่มีฝน
มื้อเย็นครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก้องไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเด็กหญิง เพียงแต่พอฟังเสียงหัวเราะนางแล้วมันดูสั่นๆ เล็กน้อย บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เงียบ สีหน้าดูเศร้าโศก ฝ่ายมารดาก็หันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตาบ่อยครั้ง
“โก่วเซิ่ง กินเยอะๆ มา..” มารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ตักกับข้าวเพิ่มให้ซูหมิงอีกเล็กน้อย นางมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน
นางกับสามีไม่ได้กินกับข้าวชามนี้สักครั้ง เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เองก็เลี่ยงไม่แตะต้อง มีเพียงซูหมิงคนเดียวที่ได้กิน
เขาไม่รู้รสชาติในกับข้าวชามนี้ แต่รู้ว่าใบผักเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มันมีสรรพคุณช่วยให้จิตใจสงบและนอนหลับสบาย หากกินมากจะทำให้หลับโดยไม่รู้ตัว
ซูหมิงลอบถอนหายใจ เขาจะไม่เข้าใจความคิดของครอบครัวนี้ได้อย่างไร พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้ตนออกไปเสี่ยงตายแทน แต่จะให้ตนหลับสบาย เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ก็จะไม่อยู่แล้ว
การตัดสินใจแบบนี้ บางทีอาจมีการโต้เถียงกันระหว่างสามีภรรยา ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็เลือกทำเช่นนี้ แม้ว่าต้องปวดใจ แม้ว่าต้องเสียใจภายหลัง แต่ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจแบบนี้แล้ว
เมื่อมื้อเย็นครั้งสุดท้ายจบลง ซูหมิงยืนขึ้นแล้วคารวะครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ การกระทำของเขาไม่ได้เป็นที่สนใจอะไรมากนัก เพราะว่ายามนี้เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์นอนหลับไป บิดามารดาของนางก็เช่นกัน
แม้ขั้นพลังซูหมิงฟื้นฟูกลับมาเพียงส่วนเดียว ทว่ามันก็พอจะทำให้ครอบครัวนี้หลับไปโดยไม่รู้ตัว และตนไม่รับผลของสมุนไพรชนิดนั้น
ซูหมิงประคองท่านพ่อกับท่านแม่มาถึงห้องของพวกเขา พอคลุมผ้าห่มให้แล้วก็มองสามีภรรยาผู้มีเส้นผมขาว สีหน้าเขาดูอบอุ่น ก่อนยกมือขวาค่อยๆ กดนิ้วลงตรงหน้าผากทั้งสองคน แล้วส่งพลังชีวิตที่มีอยู่ไม่มากของตนเข้าไปเล็กน้อย ทำให้ร่างกายสามีภรรยาคู่นี้จะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาในอนาคต ไม่ต้องเจ็บป่วยอีก
จากนั้นซูหมิงก็อุ้มเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มาวางอย่างเบามือในห้องของนาง สายตามองเด็กหญิงผู้กำลังหลับใหลอยู่ตรงหน้า ข้างหูซูหมิงมีภาพนางที่รูปร่างอ่อนแอแบกตนลงมาจากเขาลอยวนเวียน
ผ่านไปนาน ซูหมิงถึงวางมือขวาตรงรอยตำหนิบนใบหน้าเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ผ่านไปพักหนึ่งตอนที่เขายกมือกลับ รอยตำหนิบนใบหน้านางก็จางลงไปมาก
ซูหมิงคลุมผ้าห่มให้นางแล้วเดินออกจากห้องไป หลังจากล้างและเก็บชามกับตะเกียบตอนมื้อเย็นแล้ว เขาก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น ทำความสะอาดทุกจุดในบ้าน มองจุดคุ้นตาตลอดหนึ่งปีมานี้ด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์