ตอนที่ 601 สำนักอสูร
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ในใจข้าพวกท่านคือบิดามารดาของข้า…ข้าต้องไปแล้ว”
“น้องเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ เจ้าต้องมีความสุข…” ซูหมิงเหม่อมองอยู่ตรงนั้น ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพจำแสนอบอุ่น
พวกเขาคือครอบครัวที่มีจิตใจดีงาม ทุกคนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนซูหมิงมาถึงหรือตอนลาจาก ครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้มั่งคั่งอะไรนี้มอบความอบอุ่นที่ลืมไม่ลงให้กับเขา
ซูหมิงมองทุกอย่าง ยืนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ก่อนหมุนตัวนั่งลงใต้ชายคาบ้าน รอคอยคนที่จะมาในคืนนี้
กลางดึกมาถึง คืนวันนี้ไร้ฝน แสงจันทร์บนฟ้าสาดส่องแผ่นดิน ทำให้คืนนี้ไม่ถือว่ามืดมิด และสีดวงจันทร์ยังเหมือนมีการแยกจากเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชั้น
โดยรอบเงียบสงบอย่างยิ่ง มีเพียงเสียงกรนของบิดามารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ดังแว่วมาเป็นบางครั้ง พอเข้าถึงหูซูหมิงก็จะกลายเป็นความอบอุ่นหอมหวานเหมือนกัน
ซูหมิงหลับตาอยู่พักใหญ่ ครั้นลืมตาอีกครั้ง ในความมืดตรงหน้ามีสายรุ้งยาวสองเส้นตรงเข้ามา ครู่ต่อมาสายรุ้งสองเส้นนั้นก็ลงมาอยู่ตรงหน้า กลายเป็นบุคคลสวมเสื้อคลุมดำสองคนเมื่อเจ็ดวันก่อน
สองคนนี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย พอปรากฏตัวแล้วก็มองซูหมิง ซูหมิงไม่กล่าวอะไร ตอนที่มองสองคนด้วยความเย็นชา หนึ่งในนั้นพลันยกเท้าขึ้นแล้ววูบไหวตัวผ่านซูหมิงไป
ซูหมิงไม่ขวาง ทว่านัยน์ตาเขากลับมีจิตสังหารเผยออกมาโดยที่สองคนนี้ไม่สังเกตเห็น
หากพวกเขากล้าทำอะไรครอบครัวนี้ ต่อให้ตอนนี้ขั้นพลังเขาฟื้นฟูมาเพียงส่วนเดียวก็จะลงมือ แม้ต้องเสียพลังอีกครั้งก็จะต้องสังหารสองคนนี้ให้ได้
ดีที่พอศิษย์สำนักวิญญาณอสูรเข้าไปในบ้านแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร หลังจากเดินผ่านทุกห้องแล้วก็เห็นใบสมุนไพรส่วนหนึ่งอยู่ในห้องครัว เขาเดินออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ หันไปมองซูหมิงแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบาข้างหูอีกคน
“ไม่เลว อายุแค่นี้แต่กลับมีความเด็ดขาด เจ้าชื่ออะไร” ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรคนที่มีน้ำเสียงไม่เย็นชากับครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เมื่อเจ็ดวันก่อน พอพิจารณามองซูหมิงแล้วก็ถามอย่างเนิบช้า
“เฉินซู” ซูหมิงตอบเรียบๆ
“เฉินซู หลับตาเสีย เราจะพาเจ้ากลับสำนัก!” เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีความในใจ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรมากนัก คนที่กล่าวสะบัดแขนเสื้อ พลันมีสายลมเข้ามาม้วนซูหมิง แล้วทั้งสามก็กลายเป็นสายรุ้งยาวสามเส้นบินขึ้นฟ้าไป
การมาและจากไปของพวกเขาไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใดเลย เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง เคราะห์ภัยของพวกเขาหายไปแล้ว
บนท้องฟ้า ซูหมิงถูกศิษย์สำนักวิญญาณอสูรหนีบไว้ใต้วงแขน เขามองพื้นด้านล่างที่ไกลออกไปเรื่อยๆ มองบ้านตลอดหนึ่งปีค่อยๆ ลาลับไปจากสายตา มองครอบครัวที่มอบความอบอุ่นให้ห่างไปไกลในความทรงจำ ก่อนจะหลับตาลง
มองไม่เห็นผืนดิน ไม่เห็นครอบครัวนั้น และก็ไม่ได้กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้…
‘สำนักวิญญาณอสูร…’ วินาทีที่ซูหมิงหลับตาก็มีประกายแสงเย็นชาวาบผ่าน
ที่นี่คือทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพา คือทั้งแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา จุดที่ตั้งของสำนักอสูร!
เหตุที่ตี้เทียนต้องส่งมาถึงสองร่างแยก หนึ่งเพื่อกำราบซูหมิง ส่วนอีกหนึ่งก็เพื่อมาประจำการอยู่ ณ สำนักชุมนุมเซียนของเขาที่ตั้งอยู่บนแดนรกร้างบูรพามานานและคอยดูเรื่องผลของสงคราม
ทว่าจริงๆ คนที่เขาอยากป้องกันล่วงหน้าคือผู้แข็งแกร่งที่สุดของสำนักอสูรที่อยู่ทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพา หรือก็คือร่างแยกของจี๋อั้นที่แกร่งที่สุดในเผ่าเซียน
สำนักอสูรเป็นสี่สำนักใหญ่ทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพาซึ่งใช้คำว่าอสูรเป็นชื่อเรียกรวม
สี่สำนักใหญ่นี้แบ่งเป็นสำนักธุลีอสูร สำนักวิญญาณอสูร สำนักกระหายอสูร และยังมีสำนักเซียนอสูรที่อยู่เหนือสามสำนักใหญ่!
สี่สำนักใหญ่นี้มีสำนักเซียนอสูรเป็นผู้นำ สามสำนักที่เหลือเป็นตัวเสริม ตอนนั้นหลังจากร่างแยกจี๋อั้นแห่งสำนักเซียนอสูรมาเยือนก็กำราบไปทุกสารทิศ กลายเป็นขุมอำนาจที่แกร่งที่สุดทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพา
อีกทั้งยังถอนรากชนเผ่าหมานทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพา ทำให้ชนเผ่านับไม่ถ้วนย่อยยับ เมื่อกาลเวลาผ่านไปชาวเผ่าหมานก็ค่อยๆ ถูกสำนักอสูรเปลี่ยนให้กลายเป็นศิษย์สำนักอสูร!
ทางตะวันออกของแดนรกร้างบูรพามีควันดำสี่เส้นลอยขึ้นฟ้า ควันดำนี้มาจากสี่สำนักใหญ่ ในนั้นควันของสำนักเซียนอสูรเข้มข้นที่สุด ลอยโชยอยู่บนฟ้าสูง ดูแล้วช่างน่าตะลึง!
ควันสามสำนักที่เหลือเบาบางลงเล็กน้อย ทว่าก็มากพอจะสร้างความตื่นตะลึงไปรอบๆ
ควันดำนี้คือสัญลักษณ์บอกว่าในสำนักมีผู้แข็งแกร่ง มีเพียงทะลวงถึงขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์หรือขั้นทรงอำนาจของเผ่าเซียนแล้วเท่านั้น ถึงจะปรากฏการผสานรวมของกลิ่นอายพลังกับแดนมรณะหยิน แล้วก่อกำเนิดเป็นควันแห่งผู้แข็งแกร่ง!
ยามนี้ตรงจุดที่ห่างจากครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไม่ไกลมากนัก มีภูเขาสูงทะลุเมฆอยู่ลูกหนึ่ง ภูเขานี้มีเมฆหมอกวนเวียนรอบๆ จึงดูขมุกขมัว มีเพียงยามฟ้าแจ่มใสโดยแท้เท่านั้นถึงจะเห็นรางๆ จากที่ห่างไกล
ควันดำกินพื้นที่หลายพันจั้ง เชื่อมระหว่างบนยอดเขากับฟ้า ขณะควันหมุนตลบก็แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่ ผู้พบเห็นเป็นต้องใจสั่นไหว
บนยอดเขามีหินทรงประหลาดและป่าไม้เหี้ยมโหด ทั้งยังมีน้ำสีดำดุจดั่งน้ำพุไหลลงมาตามภูเขา ความรู้สึกน่าพรั่นพรึง หนาวเย็น และชั่วร้ายแผ่กระจายออกมาจากภูเขาลูกนี้
ที่นี่ก็คือสำนักวิญญาณอสูรแห่งสี่สำนักอสูร!
ธงใหญ่สีต่างกันตั้งอยู่บนภูเขาจำนวนมาก บนผ้าธงนั้นมีเสียงคำรามแหลมดังแว่วมาเป็นบางครั้ง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น ตอนที่ดังแว่วมาก็กึกก้องอยู่นานไม่เลือนหาย
วิหารใหญ่สีดำบริสุทธิ์คือสิ่งก่อสร้างจำนวนมากบนยอดเขานี้ ด้วยการวางเป็นสัดส่วนของพวกมันจึงเหมือนแบ่งยอดเขาออกเป็นสามชั้น วิหารชั้นสูงสุดเห็นเพียงเค้าราง ส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ในหมอกดำ
พื้นที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางยอดเขาเป็นวังสีดำ มีมากกว่าครึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ด้านบนแขวนโครงกระดูกที่ตากลมจนแห้งเอาไว้ และยังมีสัตว์ปีกจำนวนไม่น้อยคอยบินวน บ้างก็เข้ามาจิกเนื้อกิน
บนท้องฟ้ามีเส้นโค้งสายรุ้งเข้าๆ ออกๆ จำนวนมาก ดูคึกคักท่ามกลางความมืดทะมึนอย่างชัดเจน ยามนี้มีสายรุ้งสองเส้นเข้ามาใกล้ หนึ่งในนั้นหนีบซูหมิงเอาไว้ใต้วงแขน
ซูหมิงมองยอดเขาน่าสะพรึงกลัว และยังมีศพจำนวนมากถูกแขวนใต้วัง ยามนี้กลิ่นอายชั่วร้ายโชยเข้ามากระทบใบหน้า
“เจ้าหนู ที่นี่คือสำนักวิญญาณอสูรของพวกเรา เจ้าโชคดีที่ไม่ต้องถูกจับขึงเก้าวัน ไม่ต้องแบกภูเขาเก้าสิบเก้าวัน ทั้งยังไม่ต้องแช่น้ำเน่าก็ได้เป็นศิษย์สำนักวิญญาณอสูรเลย ภายภาคหน้าหากมีวันรุ่งโรจน์ก็อย่าลืมพวกข้าสองคนเล่า”
“ทว่าข้าต้องขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง ในสำนักวิญญาณอสูร อย่าไปมีเรื่องกับใครง่ายๆ ที่นี่…สนับสนุนให้ต่อสู้กันในสำนัก ศิษย์ทุกคนเคยสังหารมามากกว่าที่เจ้าคิด!” อีกคนหนึ่งข้างๆ กล่าวเย็นชา
ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ เพียงแต่ต่อให้ปกติกว่านี้อีก ในสายตาคนนอกก็ดูขาวซีด เพราะผิวหนังเขาขาวซีดจากอาการป่วย
‘สำนักวิญญาณอสูร…’ ขณะทั้งสองคนไม่สังเกตเห็น ซูหมิงยกยิ้มมุมปากน่าสะพรึงกลัว จากจำนวนการสังหารของเขา บางทีคนที่นี่อาจมีไม่กี่คนจริงๆ ที่จะเทียบกันได้
การมาถึงของเขา ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของสำนักวิญญาณอสูร…หรือว่าโชคร้ายกันแน่…