Skip to content

สู่วิถีอสุรา 602

ตอนที่ 602 สำนักฝ่ายนอก

นอกสำนักวิญญาณอสูรมีกลิ่นอายความแค้นอบอวลอยู่รอบๆ ไกลออกไปก็ถือว่ายังดีหน่อย ทว่าพอมองใกล้ๆ กลับดูขมุกขมัว ราวกับมีวิญญาณสะอื้นไห้โหยหวนดังก้อง เพียงพอจะสร้างความตื่นตกใจให้กับคนที่เคยมาเป็นครั้งแรก

สองคนที่พาซูหมิงมา ก่อนเข้าสำนักไปก็เป็นเช่นนี้

ตอนนี้ขณะบินมาก็คิดว่าที่ซูหมิงหน้าซีดขาวคงเป็นเพราะความกลัวต่อที่นี่ เลยไม่สงสัยที่ซูหมิงเงียบงันไป

สองคนบินวนอยู่รอบสำนักวิญญาณอสูรหลายรอบก่อนตรงไปยังตีนเขา แล้วหย่อนตัวลงอยู่นอกซุ้มประตูทางเข้า ประตูยักษ์นี้เป็นสีดำ แฝงไว้ด้วยความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว ขณะเดียวกันก็เหมือนมีวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่รอบๆ นับไม่ถ้วน พุ่งกระโจนเข้าใส่ผู้มาเยือนที่นี่ทุกคน

คนที่พาซูหมิงมามีสีหน้าท่าทีปกติ ไม่ได้สนใจวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขาหนีบซูหมิงเดินผ่านประตูไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็คือเส้นทางบันไดภูเขาซึ่งมุ่งหน้าสู่ยอดเขา

สองข้างทางบันไดมีรูปปั้นสีดำตั้งอยู่จำนวนมาก รูปปั้นทุกตัวดูเหี้ยมโหดยิ่งนัก แผ่กระจายไอหนาวเยือก ทั้งยังเป็นจุดรวมวิญญาณที่มีความแค้น

“เดินบนเส้นทางอันไม่อาจหวนคืนนี้ก็จะถึงสำนักวิญญาณอสูร เจ้าหนู ได้ยินเสียงคำรามแหลมของที่นี่หรือไม่?” คนที่หนีบซูหมิงไว้ใต้วงแขนมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนแสร้งยิ้มพลางกล่าว

“หากข้าปล่อยให้เจ้าเดินขึ้นไป เกรงว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวคงถูกวิญญาณร้ายพวกนั้นกระชากไปเป็นสมาชิกของพวกมัน” ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรอีกคนกล่าวอย่างเย็นชา พลันยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือแล้วสะบัดไปข้างหน้า

ทันใดนั้นเส้นทางขั้นบันไดก็ต่างออกไป มองดูเหมือนกัน ทว่ากลับมี…ร่างคนอยู่จำนวนมาก ร่างนั้นมีบุรุษสตรี มีคนชราและผู้เยาว์ บางคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บางคนมีโลหิตอาบทั้งตัว พวกเขากำลังร้องตะโกนดิ้นรนอยู่บนทางเดิน มีหลายคนจ้องพวกซูหมิงสามคน สีหน้าดิ้นรนเหมือนจะกระโจนเข้ามาตลอดเวลา

อีกทั้งสองข้างทางยังมีวิญญาณร้ายแบบนี้จำนวนมาก พวกมันต่างยื่นมือราวอยากจะคว้าจับทั้งสามคน อยากจะกระชากพวกเขาเข้ามา

“ยินดีต้อนรับสู่สำนักวิญญาณอสูร ที่นี่ เจ้าจะรู้ว่านรกน่ากลัวอย่างไร…”

ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรสองคนที่พาซูหมิงมาต่างหัวเราะให้กันและกัน ก่อนหนีบซูหมิงเดินขึ้นบันไดไป ตลอดทางวิญญาณอาฆาตรอบๆ ต่างพากันหลบไปอย่างเร็วรี่ประหนึ่งเกรงกลัวสองคนนี้มาก กระทั่งมีวิญญาณร้ายบางส่วนที่หลบไม่ทัน เมื่อศิษย์สำนักวิญญาณอสูรที่หนีบซูหมิงเข้าไปใกล้ มันก็ส่งเสียงร้องไร้เสียง ยอมระเบิดตัวทิ้งดีว่าไปสัมผัสสองคนนั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิญญาณร้ายบางส่วนที่ยื่นมือมาจากสองข้างทาง ยามนี้เมื่อสามคนเข้ามาใกล้ พวกมันก็เหมือนเห็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวบางอย่าง ล้วนพากันถอยไปหมด

“ศิษย์พี่จาง วิญญาณร้ายพวกนี้แปลกๆ ไป…ครั้งก่อนที่พวกเรากลับมาถึงซุ้มประตูก็ไม่ใช่แบบนี้!” คนแซ่จั่วหนึ่งในสองคนที่พาซูหมิงมาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

“ไม่ผิด พอพวกมันเห็นคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนสำนักวิญญาณอสูรหรือไม่ก็จะกระโจนเข้ามา…ข้าจำได้ว่าตอนเหล่าบรรพบุรุษออกจากสำนัก พวกมันถึงจะหลีกด้วยความกลัวอย่างตอนนี้…” ชายแซ่จางที่หนีบซูหมิงไว้ก็สงสัยเช่นกัน

ทั้งสองคนตรึกตรองอย่างหนักก็ยังไม่ได้คำตอบ ขณะลังเลใจก็เร่งความเร็วให้มากกว่าเดิม พาซูหมิงตรงไปยังกลางยอดเขา ซูหมิงเงียบตลอดทาง เขามองยอดเขาลูกนี้ มองวิหารใหญ่สีดำจำนวนมากบนยอดเขา และยังมีร่างคนที่แขวนอยู่บนวิหารใหญ่จำนวนหนึ่ง

กระทั่งบนฟ้ายังมีสายรุ้งยาวบินผ่านตาซูหมิงเป็นบางครั้ง

‘คนเผ่าหมาน เหตุใดถึงฝึกเซียนได้…’ นี่คือความสงสัยในใจซูหมิงที่มีต่อสำนักวิญญาณอสูร

ขณะเดินทาง ไม่นานซูหมิงก็เห็นว่าบนขั้นบันไดเขาห่างไปไม่ไกลมีชายร่างกำยำสูงจั้งกว่าอยู่ เขาเปลือยท่อนบน แผ่นหลังแบกตะกร้าสานใบยักษ์ กำลังเดินลงเขาทีละก้าว เขาเดินมาไม่กี่ก้าวก็ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในตะกร้าสานแล้วหยิบเศษเนื้อออกมาโปรย ในเศษเนื้อนั้นมีเส้นไอสีดำอยู่ ตอนที่พวกมันตกลงพื้นก็พลันมีวิญญาณร้ายจำนวนหนึ่งกระโจนเข้ามาเหมือนจะเขมือบเศษเนื้อ

ชายร่างกำยำมีสีหน้าเหี้ยมโหดมาก โดยเฉพาะรอยแผลเป็นหลายเส้นบนใบหน้า ดูแล้วน่าตื่นตกใจยิ่งนัก ตอนที่พวกซูหมิงสามคนมองเขา เขาก็มองคนแซ่จางกับคนแซ่จั่วเช่นกัน ก่อนจะแสยะยิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้รอยแผลเป็นบนใบหน้าเขาบิดเบี้ยว คล้ายบนหน้ามีปากสี่ห้าอันกำลังแสยะยิ้มพร้อมกัน

ดูแล้วช่างน่ากลัวยิ่งนัก

ต่อให้เป็นคนแซ่จางกับแซ่จั่ว พอเห็นรอยยิ้มนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง รีบยืนหลบข้างๆ และเปิดเส้นทางให้

“คารวะศิษย์พี่ซาน” พวกเขาสองคนประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

ตอนที่ชายร่างกำยำเข้ามาใกล้ ซูหมิงมองดวงตาอีกฝ่าย ในดวงตานั้นมีลูกตาสีแดง หากจ้องเป็นเวลานานจะเกิดความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก

“เหตุใดถึงพาคนนอกมาสำนัก” ช่วงที่ชายร่างกำยำมาถึง เขาก็หยิบเศษเนื้อกองใหญ่มาจากตะกร้าสานด้านหลังอีกครั้ง แล้วโปรยไปข้างๆ วิญญาณชั่วร้าวเหล่านั้นกระโจนเข้ามาเขมือบโดยไม่สนใจสิ่งใด

“เรียนศิษย์พี่ซาน ตอนพวกข้าสองคนจะลงเขา ผู้อาวุโสจ้าวก็ขอให้พาคนตระกูลเฉินกลับมาด้วย นี่คือน้องชายของศิษย์น้องเฉินต้าสี่” ชายแซ่จางที่หนีบซูหมิงพลันกล่าวขึ้น

“เฉินต้าสี่…” ชายร่างกำยำเหลือบตามองซูหมิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด แล้วจึงแสยะยิ้มพลางหยิบเศษเนื้อจากตะกร้าส่งให้ซูหมิง

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเฉิน ข้าไม่มีของขวัญอะไรจะให้ เอาเนื้อวิญญาณนี้ไปแล้วกัน” พอคนแซ่จางและแซ่จั่วเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าอิจจาทันที

ซูหมิงใจสั่นไหว รับเศษเนื้อมาแล้วประสานมือคารวะชายร่างกำยำ

“ขอบคุณมากศิษย์พี่ซาน”

“ไม่ต้องขอบคุณ เนื้อวิญญาณชิ้นนี้ไม่ว่าเจ้าจะให้วิญญาณตนใดกิน มันจะเชื่อฟังเจ้าหนึ่งครั้ง มีแค่ศิษย์สำนักฝ่ายในเท่านั้นถึงจะมี คนนอกไม่มีทางได้ครอบครองมัน เจ้าต้องรักษามันให้ดีๆ ถ้ามีชีวิตรอดอยู่ที่นี่ได้เกินเจ็ดวันค่อยมาขอบคุณก็ยังไม่สาย” ชายร่างกำยำยิ้มน่าสยดสยองแล้วเดินลงเข้าไป ไม่สนใจคนแซ่จางและจั่วอีก

จนกระทั่งเขาเดินไกลออกไป ชายแซ่จางก็มองเศษเนื้อในมือซูหมิง ส่วนชายแซ่จั่วข้างๆ นัยน์ตาวาววับ

ซูหมิงย่อมเห็นสีหน้าของทั้งสองคน เขายิ้มเยาะในใจ ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรไม่เพียงแต่ชั่วร้าย ทั้งยังไม่ห้ามต่อสู้ในสำนักอีก ตนเพิ่งมาวันนี้ก็โดนดีเสียแล้ว

ที่ชายร่างกำยำมอบเศษเนื้อให้ตน เห็นได้ชัดว่าพอได้ยินชื่อเฉินต้าสี่แล้วก็ตัดสินใจในทันใด ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนจะมีความแค้นกับเฉินต้าสี่อยู่บ้าง

นี่เหมือนเป็นการมอบของให้ธรรมดาๆ ทว่าความจริงแล้วหากตนไม่มีขั้นพลังใดๆ เลย อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสาม ภายใต้ความโลภและสีหน้าของคนแซ่จางกับแซ่จั่วแล้ว เกรงว่าจะเป็นการฝังรากเคราะห์ภัยให้มากกว่า

‘เฉินต้าสี่…พี่ชายของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในสำนักวิญญาณอสูรกันแน่ ส่วนผู้อาวุโสจ้าวก็ระบุให้เจ้ามาด้วยตัวเอง อีกทั้งชายร่างกำยำแซ่ซานขั้นวิญญาณหมานตอนต้นยังคิดร้ายกับข้าอีก…’ ซูหมิงลอบส่ายศีรษะ ไม่รอให้ชายแซ่จางกับแซ่จั่วกล่าวอะไร ก็มอบเศษเนื้อในมือให้กับชายแซ่จางที่หนีบตนไว้

“ศิษย์พี่จาง สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์กับข้ามากนัก หวังว่าศิษย์พี่จางจะรับเอาไว้”

ชายแซ่จางยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง หลังจากรับเอาไว้อย่างไม่เกรงใจแล้วก็มองชายแซ่จั่วแวบหนึ่ง ความคิดชั่วร้ายที่ปรากฏในแววตาสองคนเมื่อครู่หายไป ตอนมองซูหมิงมีความชื่นชมเพิ่มเข้ามา

“ศิษย์น้องเฉินอายุยังน้อง แต่รู้จักการเลือกที่จะรับหรือไม่รับ ไม่เลว” ชายแซ่จั่วกล่าวอย่างเย็นชา

“ศิษย์พี่ทั้งสองท่าน ศิษย์พี่ซานเมื่อครู่คือใครรึ?” ซูหมิงถามขึ้น

“เขาเป็นศิษย์สำนักฝ่ายใน ไม่เหมือนอย่างพวกเราที่เป็นสำนักฝ่ายนอก…เจ้าจำเอาไว้ ศิษย์สำนักฝ่ายนอกห้ามต่อสู้กันในสำนัก ทว่าหากเจอศิษย์สำนักฝ่ายในจะต้องระวังเอาไว้ เพราะศิษย์สำนักฝ่ายในสังหารเจ้าได้ไม่เป็นไร แต่หากเจ้าทำร้ายศิษย์สำนักฝ่ายในก็มีปัญหาแน่” ชายแซ่จางเห็นแก่เศษเนื้อวิญญาณ จึงกล่าวเตือนซูหมิง

“ด้วยสภาพเจ้าตอนนี้ ระวังไม่ให้ถูกรังแกก็ไม่เลวแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องจะล่วงเกินศิษย์ฝ่ายในเลย” หลังจากสองคนห้อเหยียดขึ้นเขา ตลอดทางนี้ซูหมิงเห็นศิษย์สำนักวิญญาณอสูรผ่านทางหลายคน คนเหล่านี้เงียบงันและนิ่งขรึม ตอนเดินผ่านมีเพียงคนแซ่จางและจั่วที่ประสานมือคารวะตลอด จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าตำแหน่งสองคนนี้ไม่สูงจริงๆ

และก็คาดเดาได้ด้วยว่าผู้อาวุโสจ้าวที่เอ่ยถึงคงจะมีตำแหน่งธรรมดาในสำนักวิญญาณอสูร

ครู่ต่อมา ชายแซ่จางและจั่วก็พาซูหมิงออกจากส่วนกลางของภูเขา เดินไปบนเส้นทางเล็กที่ยืดยาวออกจากด้านข้าง ไกลออกไปจะเห็นว่ามีซุ้มประตูยักษ์อยู่

“นี่คือฝ่ายนอกของสำนักวิญญาณอสูร ขึ้นด้านบนไปอีกคือฝ่ายใน ส่วนต่ำสุดเป็นฝ่ายเลี้ยงสัตว์กับฝ่ายรับใช้ หลังจากผ่านประตูภูเขานี้ไปแล้ว ข้าสองคนจะพาเจ้าไปหาผู้อาวุโสจ้าว ส่วนการจัดสรรอะไรต่างๆ ของเจ้า พวกข้าสองคนไม่อาจรู้ได้

เห็นแก่เศษเนื้อวิญญาณที่เจ้ามอบให้ ข้าขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง เผ่าหมานที่ฝึกเซียนในสำนักวิญญาณอสูรต้องไปแช่ในบ่ออสูรเพื่อปรับเปลี่ยนการโคจรเส้นเลือด เปิดชีพจรเซียนในร่างกาย บ่ออสูรนี้เข้าไปสิบคนจะมีคนเดียวที่รอดมา” ชายแซ่จางยิ้มน่ากลัว แล้วไม่กล่าวอะไรอีก

ในมุมมองเขา คนนามเฉินซูผู้นี้ไม่มีทางมีชีวิตรอดเกินสามถึงห้าวัน โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงการตายพิลึกของเฉินต้าสี่บวกกับข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับผู้อาวุโสจ้าวในสำนัก เขาจึงมั่นใจว่าเฉินซูต้องตายอย่างแน่นอน

ไม่นานก็เข้าไปใกล้ซุ้มประตูทางเข้า ตอนที่สามคนมาถึงประตู ซูหมิงก็เห็นทันทีว่าบนประตูมีงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งพันรอบอยู่

งูเหลือมตัวนี้แลบลิ้นขู่ฟ่อๆ จ้องสามคนด้วยความเย็นชา ราวกับจะตรงเข้ามาเขมือบพวกเขาได้ตลอดเวลา ความยาวของงูเหลือมนี้เกรงว่ามากกว่าหลายร้อยจั้ง แม้มันจะพันประตูอยู่ แต่ส่วนหางกลับยืดยาวออกไปไกลยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!