ตอนที่ 606 ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย
‘เฉินต้าสี่!’ ครั้นจิตสัมผัสสังเกตเห็นหน้าตาของจ้าวชง ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือร่างแยกของบุคคลนี้!
แม้ซูหมิงไม่เคยเห็นเฉินต้าสี่พี่ชายของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์มาก่อน แต่ก็มั่นใจว่าร่างของจ้าวชงตอนนี้คือเฉินต้าสี่!
‘ที่แท้ก็ยึดวิญญาณ!’ ซูหมิงกำลังหลับตาอยู่ ปกปิดความเย็นชาเอาไว้ ก่อนหน้านี้ก็เคยคาดเดาเอาไว้บ้าง ทว่ากลับมองข้ามเรื่องยึดวิญญาณไป เพราะว่าจุดนี้มีเรื่องที่ยังอธิบายไม่กระจ่างอยู่
จ้าวชงมีขั้นพลังเทียบเท่าวิญญาณหมานตอนต้น
สำหรับเผ่าเซียนคือขั้นวิญญาณแรกก่อกำเนิด คนแบบนี้ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัสคงไม่เลือกทำการยึดวิญญาณ อีกทั้งหากยึดวิญญาณคนธรรมดา มันจะส่งผลต่อขั้นพลังอย่างมาก สู้ไม่ยึดวิญญาณเสียยังดีกว่า
ทว่าจ้าวชงกลับไม่เป็นอย่างนั้น…
ซูหมิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบในถ้ำ โดยรอบมีศพแห้งกรังที่คงสีหน้าและท่าทางเหมือนกันไว้จำนวนมาก จึงมีความคิดหนึ่งพลันวูบผ่านสมองเขา
‘หรือว่าจะเกี่ยวกับวิชาที่เขาฝึก?’
เห็นได้ชัดว่าคนโดยรอบเป็นศิษย์ของจ้าวชง ซูหมิงพอจะคาดเดาได้ว่าทุกคนในนี้ ตอนคารวะจ้าวชงเป็นอาจารย์จะต้องกินเม็ดยาที่ฝ่ายนั้นเตรียมเอาไว้ให้ทุกวันอย่างแน่นอน พอกินไปสักระยะแล้วพวกเขาจะถูกจ้าวชงสังหาร จากนั้น…สุดท้ายศิษย์ทุกคนก็จะมาอยู่ที่นี่ กลายเป็นศพแห้งกรัง
พี่ชายเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์คือคนที่จ้าวชงยึดวิญญาณคนก่อนหน้า
ตอนนี้ซูหมิงจะมาเป็นคนต่อไป
‘ก่อนหน้านี้จ้าวชงเคยบอกว่าให้ข้ากินยาทุกวันวันละหนึ่งเม็ดเป็นเวลาหนึ่งปี…ตอนนี้เพิ่งแปดเดือนกว่าก็ลงมือแล้ว คงจะฉุนเฉียวน่าดู เมื่อครู่เหมือนจะแค้นข้ายิ่งนัก…..’ ซูหมิงยิ้มเยาะในใจ เขาย่อมรู้ว่าเหตุใดจ้าวชงถึงเป็นแบบนี้ ถึงอย่างไรแปดเดือนมานี้เขาก็ทำให้จ้าวชงเจ็บปวดใจแทบคลั่ง ทั้งยังกินเม็ดยาจนใกล้จะหมดเกลี้ยง
อีกทั้งอีกฝ่ายย่อมไม่ยอมล้มเลิกเรื่องนี้เป็นแน่ คล้ายกับว่าเขาถูกบ่วงผูกเอาไว้ แล้วซูหมิงยื่นมือมาเอาเม็ดยาไปจนกระทั่งหมดตัว จึงชิงลงมือก่อนเวลาด้วยความโกรธแค้นและรีบร้อน
จะเห็นได้ว่าครึ่งปีกว่ามานี้ จ้าวชงอึดอัดและกลัดกลุ้มเพียงใด…
ซูหมิงกลับไม่รีบร้อนลงมือ เขาใช้จิตสัมผัสพิจารณาจ้าวชง หลังจากวูบผ่านใบหน้าวัยกลางคนแล้วก็สังเกตเห็นเรื่องพิลึกอย่างหนึ่ง
หากร่างบุคคลนี้เป็นเฉินต้าสี่จริงๆ เช่นนั้นอายุเฉินต้าสี่น่าจะราวๆ ยี่สิบปี ทว่าร่างตอนนี้…เป็นวัยกลางคน
‘น่าจะเป็นวิชาชั่วร้ายบางอย่าง หลังจากยึดวิญญาณแล้วสามารถสูบแก่นสารเลือดเนื้อของอีกฝ่าย…..’ ซูหมิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบศพแห้งโดยรอบ
‘ซ้ำยังสูบพลังชีวิตและจิตวิญญาณของคนที่ถูกยึดวิญญาณได้อีกด้วย พอสูบไปจนหมดแล้วก็จะกลายเป็นศพแห้ง…นี่มันไม่ใช่การยึดวิญญาณแล้ว นี่มัน…..กินคนชัดๆ!’ ซูหมิงให้จิตสัมผัสไปรวมอยู่ที่ตัวจ้าวชง
ยามนี้เอง ร่างยึดวิญญาณของจ้าวชงก็พลันสั่นไหว ค่อยๆ อ้าปากกว้าง ก่อนมีหมอกเขียวลอยออกมาในฉับพลัน
หลังจากหมอกเขียวลอยออกมาก็ค่อยๆ มีร่างเงาเลือนรางลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง ภายนอกร่างเงานี้ล้วนเป็นหมอกทั้งสิ้น ยามนี้ขณะหมอกหมุนตลบก็พอเห็นรางๆ ว่าร่างเงานั้นคือวิญญาณแรก!
นัยน์ตาวิญญาณแรกขยับประกายคมกริบ จ้องซูหมิงเขม็ง
“ไอ้เด็กระยำ ข้ายอมไม่สูบแก่นสารเลือดเนื้อของเฉินต้าสี่เพื่อมากินเจ้าก่อน เจ้ากินยาข้าไปมากขนาดนั้น สมควรตาย! เม็ดยาพวกนั้นกว่าข้าจะเก็บมาได้ต้องผ่านอะไรมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกเม็ดมาจากน้ำพักน้ำแรงของข้า!
เจ้ากินจนข้าปวดใจยิ่งนัก เมื่อก่อนให้เจ้ากินไปเท่าไร วันนี้ข้าจะเอาคืนหลายเท่า!” จ้าวชงสั่งสมความโกรธมานานกว่าครึ่งปี ความเคียดแค้นต่อซูหมิงรุนแรงยิ่งนัก ยามนี้ขณะตะโกนออกไป วิญญาณแรกของเขาก็พุ่งตรงเข้ามายังซูหมิง
ทันทีที่เข้ามาใกล้ วิญญาณแรกยกยิ้มมุมปากชั่วร้าย คล้ายเห็นภาพล่วงหน้าว่าพอตนกระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายแล้วก็จะยึดครองร่างกาย จากนั้นสูบกินแก่นสารเลือดเนื้อ สูบกินจิตวิญญาณ และสูบกินทุกสิ่งหลังจากที่อีกฝ่ายกินเม็ดยาบำรุงร่างกายไป
หลังจากเขากลายเป็นผู้อาวุโสสำนักวิญญาณอสูรก็รับศิษย์มานับไม่ถ้วน ทุกคนยากจะหนีรอดจากเงื้อมมือเขา ทว่าก็ไม่มีใครสักคนที่กินเม็ดยาไปมากมายขนาดนั้น ทั้งยังทำให้เขาเจ็บใจขนาดนี้
กระทั่งเขายังได้ยินเสียงในทุกๆ เดือนตลอดครึ่งปีกว่าที่ทำให้แทบกระอักเลือดดังสะท้อนอยู่ข้างหูเป็นบางครั้ง
‘อาจารย์ เม็ดยาหมดแล้วขอรับ’
‘อาจารย์ ข้ากินยาหมดแล้ว…’
‘อาจารย์ ข้ากินหมดอีกแล้ว ครั้งนี้ท่านให้ข้าเยอะกว่าเดิมได้หรือไม่’
‘อาจารย์ เปลี่ยนเม็ดยาเถอะ ที่กินไปก่อนหน้านี้ข้าไม่มีความรู้สึกแล้ว’
‘อาจารย์ ท่านเปลี่ยนเม็ดยาให้ข้าอีกไม่ได้หรือ’
จ้าวชงสะบัดศีรษะแล้วกลายเป็นแสงหม่นตรงเข้าไปใกล้ระหว่างคิ้วซูหมิง เขาแสยะยิ้มพลางรู้สึกเบิกบานใจ มันคือความสุขที่จะได้หลุดพ้นจากการทรมานในครึ่งปีกว่านี้เสียที ครึ่งปีมานี้ โดยเฉพาะช่วงสองสามเดือนสุดท้าย เขามีความรู้สึกว่าชาติที่แล้วตนไปติดหนี้อะไรอีกฝ่ายหรือไม่ เหตุใดถึงได้รับศิษย์ที่ช่างประหลาดเพียงนี้มา…
“จะให้เจ้ากินอีก!” จ้าวชงคำรามเสียงต่ำ วินาทีที่วิญญาณแรกสัมผัสกับระหว่างคิ้วซูหมิง มันก็พุ่งทะลวงเข้าไป เสียงหัวเราะเยาะยังดังก้องอยู่ในใจซูหมิง ทันใดนั้นเขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาเย็นชาและมีสีหน้าสงบนิ่ง
สิ่งที่ซูหมิงไม่กลัวที่สุดโลกนี้ก็คือการยึดวิญญาณ!
เว้นแต่คนที่ยึดวิญญาณจะมีจิตใจแน่วแน่มากกว่าเขาที่อยู่ในวัฏจักรนับครั้งไม่ถ้วนในโลกอมตะ มิเช่นนั้นแล้วการยึดวิญญาณใดๆ ก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขาล้วนเป็นดั่งการเอาไข่กระทบหิน!
เห็นได้ชัดว่าจ้าวชงคนนี้ไม่ได้มีจิตใจแน่วแน่ขนาดนั้น!
ทันทีที่วิญญาณแรกทะลวงเข้าไปในร่าง ซูหมิงพลันยกมือขวาขึ้นกดบนตัวหลายครั้ง ทุกครั้งที่กดนิ้วจะเหมือนกับการผนึกตัวเอง
หลังจากกดไปหลายครั้ง ร่างกายเขาก็เป็นเหมือนกับเครื่องพันธนาการฟ้าดินที่ไม่อาจข้ามผ่านสำหรับจ้าวชง ทว่าจ้าวชงในตอนนี้ยังไม่รู้ตัวสักนิด เขายังคงตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข ทะลวงเข้าไปในร่างกายซูหมิงและตรงดิ่งไปยังจุดตันเถียน
นี่คือนิสัยของเขา ทุกครั้งที่ยึดวิญญาณศิษย์ทุกคน เขาจะไม่กินจิตวิญญาณก่อน แต่หลังจากกำราบจะสูบกินแก่นสารเลือดเนื้อและครอบครองจุดตันถียน เหมือนกับควบคุมร่างกายตัวเองให้ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารมื้อใหญ่
การจะกินคนผู้หนึ่งเขาต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะเสร็จ แม้ขั้นตอนจะช้า ทว่าเขากลับพึงพอใจอย่างยิ่ง
ยามนี้เขาก็ทำตามแบบเดิม พุ่งตรงไปยังตันเถียนในกายซูหมิง
‘ไอ้เด็กระยำนี่กินเม็ดยาตลอดครึ่งปีกว่าไปไม่น้อยจริงๆ สีกระดูกในร่างกายเปลี่ยนไปหมด แม้แต่เลือดเนื้อยังต่างจากคนอื่น ให้เจ้ากิน ให้เจ้ากินอีก ตอนนี้ถึงตาข้าแล้ว!’ น่าสงสารที่ตอนนั้นจ้าวชงยังไม่ถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูกก็ถูกคนสำนักอสูรปรับร่างกายให้ฝึกวิชาอสูร ตอนนี้แม้จะรวมเป็นวิญญาณแรกได้แล้ว แต่ความเข้าใจในกระดูกหมานก็ยังไม่ครบด้าน
บวกกับว่าซูหมิงมีกระดูกหมานทั้งตัว พอมองแล้วจะให้ความรู้สึกว่าไม่แตกต่างอะไร หากมีเพียงกระดูกสันหลังที่เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นจ้าวชงก็ย่อมรู้ตัวทันที
ขณะกำลังมีความสุขอยู่นี้ จ้าวชงไม่รู้เลยว่าร่างกายซูหมิงผนึกทางออกไว้หมดแล้ว เขายังคงไปมุ่งหน้าไปยังตันเถียนตามความเคยชิน ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ…
กระทั่งยังจินตนาการไว้ว่าจุดตันเถียนจะต้องเต็มไปด้วยความหอมหวานอย่างแน่นอน ภายใต้การบ่มเพาะด้วยเม็ดยามาตลอดครึ่งปีกว่า จะต้องรวมออกมาเป็นแก่นสารจำนวนมาก อีกทั้งที่นั่นจะต้องเป็นที่กว้างโล่ง กำลังรอให้กายวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวของตนไปกลืนกิน
เมื่อก่อน…จากประสบการณ์ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้
ทว่าครั้งนี้…จ้าวชงห้อเหยียดมาด้วยความเฝ้าปรารถนาอยู่เต็มอก แต่พอมาถึงตันเถียนซูหมิงแล้วกลับอึ้งงันไปชั่วครู่ เบิกตากว้างอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
ในสายตาเขา ตันเถียนของซูหมิงไม่มีแก่นสารที่สั่งสมจากเม็ดยาตลอดครึ่งปีกว่าอย่างที่คิดเอาไว้เลย แต่มีร่างวิญญาณแรกขนาดยักษ์ซึ่งใหญ่กว่าเขาหลายเท่านั่งขัดสมาธิอยู่!
บางทีนี่อาจไม่เรียกว่าวิญญาณแรกแล้ว นี่คือจิตแรกของซูหมิง!
ยามนี้จิตแรกของซูหมิงกำลังลืมตามองวิญญาณแรกของจ้าวชงอย่างสงบนิ่ง หลังจากจ้าวชงอึ้งตะลึงก็พลันร้องตะโกนเสียงแหลม
เขาตัวสั่น ร้องลั่นพลางห้อเหยียดถอยไป วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าศิษย์ที่ตนคิดว่าเป็นเหยื่อจะเป็น…ตัวประหลาด!
โดยเฉพาะตอนเห็นรูปร่างของวิญญาณแรกและการโคจรของจิต นี่มันจิตแรกชัดๆ!
‘กล่อมเกลาจิต ครั้งสุดท้ายก็คือกล่อมเกลาจิต! สมควรตาย เหตุใดเป็นเช่นนี้ มิน่ามันถึงกินเม็ดยาไปเยอะขนาดนั้นได้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ มันต้องไม่ใช่น้องชายของเฉินต้าสี่แน่!’
ยามนี้จ้าวชงจิตใจปั่นป่วน ความกลัวกระจายอยู่ทั้งวิญญาณแรกของเขา ความคิดขาวโพลน ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวคือต้องออกจากร่างซูหมิง กระทั่งเขายังมีความรู้สึกว่าตนเข้ามาติดกับดักเสียเอง เมื่อนึกถึงการกระทำและความลำพองใจก่อนหน้านี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
มันเหมือนกับลูกแกะน้อยตัวหนึ่งกำลังรอให้เขามาขย้ำ ทว่าพออ้าปากกว้างเตรียมจะกินอย่างลำพองใจนั้น แกะน้อยก็พลันตัวสั่นและกลายเป็นสัตว์ร้ายโบราณที่แกร่งกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า!
‘บัดซบ ไอ้ตัวประหลาดนี่จะต้องฝึกฝนวิชาคล้ายกับข้าแน่ มันกำลังจะกินข้า!’ จ้าวชงยิ่งคิดยิ่งตัวสั่น วินาทีที่จะพุ่งออกจากร่างซูหมิง ดวงจิตเขาถูกดีดกลับมาดังโครม ก่อนรู้ตัวว่าร่างกายซูหมิงกลายเป็นกรงขังไปแล้ว เขา….ออกไปไม่ได้!
ขณะกำลังหวาดกลัว เขาก็ได้ยินเสียงหึเย็นชาดังก้องในจิตใจ
“ร่างกายของแซ่ซู เจ้าคิดว่าจะมาก็มาจะไปก็ไปได้อย่างนั้นรึ!” น้ำเสียงซูหมิงเย็นเยียบ เมื่อลอยเข้าสู่จิตใจจ้าวชงก็ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกลัวยิ่งกว่าเดิม ก่อนคุกเข่าลงโขกศีรษะไม่หยุด
“ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าน้อยมีตาหารู้จักผู้อาวุโสไม่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วจริงๆ ขอแค่ผู้อาวุโสไม่สังหารข้าน้อย ข้าน้อยจะยอมเป็นคนรับใช้ให้ท่าน ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย…”