ตอนที่ 608 ตรวจสอบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหมิงก็เดินออกมาแล้วนั่งยองลง นัยน์ตาวาววับขณะจัดรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายอยู่ชั่วครู่ หลังจากใช้โครงสร้างเกี่ยวกับอาคมเคลื่อนย้ายในความทรงจำหงหลัวลบร่องรอยภายในแล้ว เขาก็ออกจากเรือนพักไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ครั้นตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาก็พลันเป็นประกายเย็นชา ก่อนขยับวูบไหวออกจากลานบ้านไป
ยามนี้ขั้นพลังเขาฟื้นฟูกลับมาหกส่วน สามารถทำเรื่องที่ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิรุธตอนเจอกับงูศักดิ์สิทธิ์หน้าซุ้มประตูภูเขา หรือความสงสัยในใจของคนแซ่จางและจั่ว
ไม่นานซูหมิงก็กลับมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เข้าไปนอนบนเตียงในห้องตนแล้วหลับตางีบหลับไป
แทบจะเป็นขณะเดียวกับที่จ้าวชงตาย ด้านบนยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ภายในเขตสำนักฝ่ายใน มีวิหารใหญ่สูงตระหง่านอยู่หลังหนึ่ง วิหารนี้เป็นสีดำทึบและเต็มไปด้วยความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว
ภายในวิหารมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่สองคน ชายชราสองคนนี้มีใบหน้าสะท้อนสีเทา มองดูแล้วเหมือนกับผู้ป่วย พวกเขานั่งนิ่ง กระทั่งขณะหายใจยังไม่เห็นหน้าอกขยับขึ้นลง
ด้านหลังพวกเขาเป็นรูปปั้นยักษ์รูปหนึ่ง รูปปั้นนี้ใหญ่ยิ่งนัก เป็นรูปร่างชายเสื้อคลุมภูตผีคนหนึ่ง ชายคนนี้คล้ายเป็นวัยกลางคน เสื้อคลุมบนตัวมีใบหน้าภูตผีร้ายลอยขึ้นมานับไม่ถ้วน ใต้เท้าเขาเหยียบงูเหลือมยักษ์ไว้ตัวหนึ่ง มันแลบลิ้นขู่ฟ่อ ลำตัวส่วนใหญ่ก็พันรอบตัวชายผู้นี้
ในมือขวาชายผู้นี้ถือโล่อันหนึ่ง บนโล่มีวิญญาณร้ายจำนวนมากโผล่ออกมาเช่นกัน ลักษณะของวิญญาณทุกตนดูชัดเจนอย่างยิ่ง ชวนให้นึกถึงเสียงกรีดร้องแหลม
ความรู้สึกชั่วร้ายวนเวียนอยู่รอบๆ รูปปั้นนี้ ทว่าเหนือศีรษะของรูปปั้นยันฐานดอกบัวสีดำเอาไว้ บนฐานดอกบัวมีสตรีนั่งขัดสมาธิอยู่ผู้หนึ่ง นางมีสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้างดงามยิ่งนัก ทั้งยังให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์และความชั่วร้าย ความรู้สึกที่ต่างกันสองอย่างนี้ปะปนอยู่ในรูปปั้น ทำให้ทุกคนที่มองครั้งแรกจะต้องเกิดความรู้สึกพิลึกบางอย่าง
บนตัวงูเหลือมใต้เท้ารูปปั้นชายแขวนกระดิ่งเล็กเอาไว้ไม่น้อย ตอนที่ไม่มีลม พวกมันจะไม่ส่งเสียงใดๆ แต่ตอนนี้วินาทีที่จ้าวชงตายไป หนึ่งในกระดิ่งตรงกลางกระดิ่งจำนวนมากกลับขยับไหวเองแม้ไร้ลม และส่งเสียงกระดิ่งใสกังวานออกมา
เสียงนี้ดังกะทันหันยิ่งนัก กระจ่างชัดในวิหารใหญ่เงียบสงบแห่งนี้ เมื่อมันดังขึ้น ไม่นานกระดิ่งใบนั้นก็ส่งเสียงดังกึกก่อนแตกกระจายร่วงลงสู่พื้น
ชายชราสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สองคนนี้มีนัยน์ตาสงบนิ่ง ก่อนมองไปทางกระดิ่งใบเล็กที่แตกกระจายอยู่บนพื้น
“กระดิ่งชีวิตอันนี้เป็นสีดำครึ่งหนึ่ง นั่นคือเผ่าหมานปรับไปฝึกวิชาอสูร…” ชายชราหนึ่งในนั้นมองแล้วก็ละสายตากลับ กล่าวเสียงแหบแห้ง เสียงของเขาดังก้องในวิหารใหญ่เงียบสงบ ในห้องโถงที่ค่อนข้างมืดสลัวแห่งนี้มีแสงเพลิงขมุกขมัวสว่างขึ้นหลายดวง ทำให้ที่นี่ตัดสลับระหว่างความมืดและสว่างตามเปลวไฟที่วูบไหว
“นั่นคือกระดิ่งชีวิตของจ้าวชง ผู้อาวุโสสำนักฝ่ายนอก!” ชายชราอีกคนลืมตาเล็กน้อย ครู่ต่อมาก็กล่าวเนิบช้า
“จ้าวชง…คนที่สำนักแอบชี้นำให้ฝึกวิชาเส้นทางหมื่นวิญญาณอสูรอย่างนั้นรึ”
“ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเขารับศิษย์มาอีกคนแล้ว…..”
“ไปตรวจสอบหน่อยเถอะ ผู้ฝึกฌานขั้นวิญญาณก่อกำเนิดตายในสำนัก จะต้องมีคำอธิบาย” ชายชราสองคนนี้สนทนาเหมือนไม่ค่อยสอดรับกันเท่าไร ราวกับว่าตอบคนละคำถาม ไม่ได้พูดคุยกันอยู่
เมื่อสองคนกล่าวจบ ทันใดนั้นในวิหารใหญ่มีร่างเลือนรางสองคนปรากฏอยู่ด้านหลังชายชราทั้งสอง หลังจากประสานมือคารวะพวกเขาแล้วก็ไหววูบตัวออกจากวิหารไป
หลังจากร่างเงาเลือนรางสองคนออกไปแล้ว แสงหม่นในวิหารใหญ่ก็มืดลงจนกระทั่งมอดดับไป วิหารใหญ่จึงกลับมามืดและเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีเสียงกระดิ่งอีก ชายชราสองคนนั้นก็หลับตาลง
กลับมาที่ซูหมิง ทันทีที่กลับถึงห้องและนอนหลับบนเตียง เขาก็หรี่ม่านตาอยู่ภายใน มีประกายอ่อนๆ วูบผ่าน แม้ตอนนี้ขั้นพลังฟื้นกลับมาหกส่วน ทว่าไม่ต้องเผยตัวจะดีที่สุด ที่นี่เหมาะกับการฟื้นคืนพลังยิ่งนัก นอกจากนี้แล้วซูหมิงยังมีอีกหนึ่งความคิดที่ยิ่งใหญ่กว่า
ครั้งนี้หากฟื้นฟูถึงจุดสูงสุด เขาเตรียมจะใช้พลังฟ้าดินเข้มข้นของที่นี่ข้ามไปสู่ขั้นวิญญาณหมาน ถ้าพลาดจากที่นี่ ไปก็คงยากจะหาที่ที่มีพลังฟ้าดินเช่นนี้อีก
เขาไม่เคยผ่านเรื่องทะลวงขั้นวิญญาณหมาน ทว่าตอนอยู่ยอดเขาลำดับเก้าก็เคยได้ยินอาจารย์พูดถึงอยู่หลายครั้ง ตอนทะลวงขั้นวิญญาณหมานจะต้องหากลิ่นอายพลังที่เพียงพอมาค้ำจุนไว้ มิเช่นนั้นจะมีโอกาสสูงมากที่จะล้มเหลวกลางคัน
ซูหมิงรู้ว่าการทะลวงขั้นวิญญาณหมานของตนย่อมไม่ง่ายแน่ ถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นกระดูกหมานทั้งหมด ฉะนั้นจะต้องมีพลังฟ้าดินที่มากพอ และที่นี่…..ก็เป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด!
ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่เผยฐานะเด็ดขาด
ยามนี้นัยน์ตาเป็นประกายหายไป จิตสัมผัสเขารู้สึกได้ว่าในลานนอกประตูเรือนนี้มีร่างเพิ่มมาสองคน ขั้นพลังสองคนนี้สูงกว่าจ้าวชงเล็กน้อย แม้ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณหมานตอนกลางแต่ก็ใกล้มากแล้ว
‘ผู้แข็งแกร่งแดนรกร้างบูรพามีมากกว่าแดนอรุณใต้เยอะจริงๆ โดยเฉพาะ…การมาเยือนของเผ่าเซียน ยิ่งทำให้ผู้แข็งแกร่งในแดนรกร้างบูรพามากกว่าแดนอรุณใต้นัก’ ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ปิดตาหลับใหล
จิตสัมผัสเขาสังเกตเห็นว่าเมื่อร่างเงาสองคนมาปรากฏตัวในลานแล้วก็ตรงไปยังเรือนของจ้าวชง ทะลวงผ่านประตูเข้าไปอยู่ในห้อง
พอเห็นดังนั้นซูหมิงก็ยิ้มเยาะในใจ ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าไปในถ้ำครั้งที่สองก็เพื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นอย่างตอนนี้
จิตสัมผัสเขาสังเกตเห็นว่าร่างสองคนนั้นหายเข้าไปในห้องของจ้าวชง เห็นได้ชัดว่าเข้าไปในถ้ำผ่านอาคมเคลื่อนย้าย
ราวๆ หนึ่งก้านธูปต่อมา ร่างเงาสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาออกจากห้องจ้าวชงแล้วก็ไม่ได้จากไปในทันที แต่ตรงมายังห้องซูหมิงต่อ
ซูหมิงหลับตา ลมหายใจสม่ำเสมอ มีท่าทางเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทว่าเขาแผ่กระจายจิตสัมผัสไปเล็กน้อย หากมีการเคลื่อนไหวอะไร หลังจากคาดคะเนแล้วก็จะเลือกว่าจะลงมือดีหรือไม่
สองคนนั้นทะลวงเข้ามาในห้องซูหมิง ตอนที่ลอยเข้ามา ร่างเงาหนึ่งในนั้นส่งเสียงหัวเราะเยาะ จากนั้นยกมือขวาตรงมายังคอซูหมิง ส่วนอีกคนหนึ่งนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ จ้องซูหมิงเขม็ง คอยจับสังเกตการเคลื่อนไหวของเขา
สิ่งเหล่านี้พูดแล้วดูเชื่องช้า
ทว่าความจริงหลังจากร่างเงาสองคนเข้ามาในห้องซูหมิงจนถึงตอนนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นิ้วร่างมายาอีกคนก็ใกล้จะสัมผัสคอซูหมิงแล้ว
ซูหมิงตัวสั่น ประหนึ่งขณะหลับพลันถูกไอหนาวที่ปรากฏอย่างกะทันหันถาโถมใส่ ตอนที่หันศีรษะไป เปลือกตาสั่นไหวเหมือนจะลืมตาขึ้น ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรืออารมณ์ล้วนสมจริงอย่างยิ่ง ราวกับเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสามจริงๆ หากแต่ในใจเขากลับซ่อนจิตสังหารเอาไว้ ถ้าสองคนนี้เพียงหยั่งเชิงก็ไม่เป็นไร ทว่าหากคิดจะสังหารกัน ซูหมิงคงต้องลงมือ
ทว่าช่วงที่เปลือกตาเขาสั่นไหวคล้ายจะลืมตาขึ้น ร่างเงากลับหยุดนิ้วไปชั่วครู่ ตอนที่ซูหมิงลืมตาขึ้นมันก็หายไปพร้อมกับอีกร่างเงาหนึ่งแล้ว
นัยน์ตาซูหมิงมีประกายวาบผ่าน ก่อนไม่สนใจอีก และหลับตาเข้าสู่ห้วงฝันต่อไป
ไม่นานนัก ตรงสุดยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ในวิหารใหญ่มืดทึบก็ค่อยๆ ปรากฏสองร่างที่ไปหยั่งเชิงซูหมิงเมื่อครู่ด้านหลังชายชรา
เพียงแต่ว่าพวกเขาผสานรวมกับความมืด จึงมองเห็นได้ไม่ชัด
“ในถ้ำจ้าวชง ศพแห้งของลูกศิษย์ทั้งหมดที่เขาสูบกินไปก่อนหน้านี้กลายเป็นธุลีหมดแล้ว ตอนนี้ฝังร่างเขาอยู่”
“ถุงเก็บวัตถุของเขายังอยู่ที่นั่น ของทุกอย่างยังอยู่ครบ”
“ในถ้ำจ้าวชงไม่มีกลิ่นอายพลังคนอื่น และไม่มีร่องรอยการสังหารใดๆ”
“จากสภาพการเปิดอาคมเคลื่อนย้าย ก่อนหน้าพวกเราจะไปเปิดออกเพียงครั้งเดียว มีคนเข้าไปทว่าไม่มีคนออกมา”
“ศิษย์ที่จ้าวชงรับมาเมื่อแปดเดือนก่อนก็ตรวจสอบแล้ว เด็กคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดา มีนิสัยรักสันโดษ แปดเดือนมานี้ก็ไม่มีร่องรอยว่าออกไปข้างนอกเลย แต่ในร่างกายกลับมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นมาก…”
“สอบถามศิษย์ที่พาเด็กคนนี้ขึ้นเขามาแล้ว สองคนนั้นพูดคุยเป็นปกติ ไม่ได้สังเกตเห็นหรือสงสัยเด็กหนุ่มคนนั้น”
“ตรวจสอบงูเหลือมศักดิ์สิทธิ์แห่งซุ้มประตูภูเขาของสำนักฝ่ายนอกแล้ว มันมีภาพจำของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มากนัก”
“นอกจากนี้เมื่อแปดเดือนก่อนตอนเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นเขามา สาเหตุที่วิญญาณบนเส้นทางบันไดภูเขาแปลกไปก็ตรวจสอบแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าวันนั้นซานเหิ่นทำภารกิจเลี้ยงวิญญาณร้ายอยู่”
ร่างเงาสองคนกล่าวทีละประโยค เสียงพวกเขาสงบนิ่งมาก ในคำพูดไม่มีการคาดการณ์ใดๆ เพียงกล่าวสิ่งที่พวกเขาตรวจพบเท่านั้น ส่วนการคาดการณ์โดยละเอียดว่าเป็นอย่างไรไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองคนควรจะทำ
ในวิหารใหญ่เงียบไปพักใหญ่ ก่อนมีเสียงแก่ชราดังแว่วออกมา
“พลังชีวิตเปี่ยมล้นเป็นเรื่องปกติ ดูแล้วจ้าวชงคงจะให้เด็กคนนี้กินเม็ดยาบำรุงวิญญาณไปไม่น้อย”
“ศพแห้งเหี่ยวกลายเป็นธุลีฝังกลบร่างจ้าวชง…ดูท่าสุดท้ายแล้วผู้ฝึกฝนวิชาเส้นทางหมื่นวิญญาณอสูรคงต้องรับกรรมถูกเผาเสียเอง…”
“เรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้น…ให้เขาไปวิหารถามใจเพื่อซักถามเสียหน่อย หากไม่มีปัญหาอะไรก็ไม่ต้องสนใจ”
“หากเด็กคนนี้ไม่มีปัญหา จะให้อยู่สำนักฝ่ายนอกไม่ได้…จัดให้เขาลงยอดเขาไปอยู่ฝ่ายทั่วไปเสีย จะได้จบเรื่องนี้เสียที” เมื่อน้ำเสียงแก่ชราในวิหารเอ่ยปัญหาเรื่องการตายอันซับซ้อนของจ้าวชงจบแล้ว ที่นี่ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
ส่วนซูหมิง เมื่อเช้าตรู่วันที่สองมาถึง เขาก็ถูกศิษย์สำนักฝ่ายนอกผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์เรียกตัวแล้วพาไปในเขตพื้นที่ว่างใกล้กับสำนักฝ่ายในของสำนักวิญญาณอสูร ตรงนั้นมีหอสองชั้นอยู่หลังหนึ่ง
หลังจากพาซูหมิงมาที่นี่แล้ว ศิษย์สำนักฝ่ายนอกคนนั้นก็หมุนตัวจากไป
“เข้ามาเถอะ…” เสียงเย็นชาของสตรีแว่วมาถึงหูเขาจากในหอสองชั้น