Skip to content

สู่วิถีอสุรา 609

ตอนที่ 609 ศิษย์น้องเฉิน เจ้าจะเลือกสิ่งใด

พลังฟ้าดินของที่นี่เข้มข้นอย่างยิ่ง มีมากเกินกว่าที่อื่นๆ นัก ราวกับว่ากลิ่นอายพลังจำนวนไม่น้อยของยอดเขามารวมกันอยู่ที่นี่

ฉะนั้นความรู้สึกของที่นี่จึงต่างกับที่อื่นๆ โดยสิ้นเชิง

ทันทีที่เสียงสตรีดังแว่วเข้าหูซูหมิงก็กลายเป็นความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก อบอวลอยู่ทั้งในและนอกกาย ทำให้เขามีสีหน้าสับสนในทันใด

เหมือนกับเสียจิตวิญญาณ เขาเดินหน้าไปอย่างสับสน เปิดประตูหอสองชั้นแล้วเดินเข้าไป ตรงหน้ามีรูปปั้นอยู่รูปหนึ่ง

รูปปั้นนี้ขนาดไม่ใหญ่ เป็นสตรีนั่งอยู่บนฐานดอกบัวสีดำ สตรีคนนี้มีเส้นผมยาว ใบหน้างดงามยิ่ง นางกำลังหลับตาอยู่ กลิ่นอายบริสุทธิ์โชยมา ทำให้กลิ่นอายความเคียดแค้นในยอดเขานี้เหมือนสลายไปจนสิ้นและไม่กล้าเข้ามาที่นี่

ทว่าพลังฟ้าดินกลับรวมอยู่รอบรูปปั้น รูปปั้นนี้เป็นเหมือนกับน้ำวนที่คอยเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินให้เข้ามาอย่างต่อเนื่องและวนเวียนอยู่รอบๆ

ซูหมิงเหม่อมองรูปปั้นด้วยสีหน้าสับสน ดวงตาว่างเปล่า

“นั่งลง” เสียงสตรีนุ่มนวลดังขึ้นอีกครั้ง ซูหมิงค่อยๆ นั่งลงปานท่อนไม้ ท่าทางตะลึงงันกับอายุวัยของเขาทำให้ไม่ว่าใครเห็นก็เป็นต้องลดการป้องกันลง

“เมื่อคืนวานเกิดอะไรขึ้น?” เสียงนุ่มนวลดังก้องข้างหูซูหมิง เสียงนี้ทำให้เขารู้สึกสนิทสนมด้วยอย่างยิ่ง มันเหมือนกับเสียงพึมพำในความฝัน เขาดุจเสียอำนาจต่อต้านทั้งหมด กล่าวพึมพำเบาๆ ตามเสียงนั้น

ไม่นานก็ได้คำตอบจากของซูหมิงในสภาวะสับสน ด้านหลังมีร่างเงาหญิงชราคนหนึ่ง หญิงชราคนนี้มีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า ดูแล้วอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ทว่าเสียงนุ่มนวลก็มาจากปากนางนี่เอง

นางมองซูหมิง แววตาเย็นชากับเสียงนุ่มนวลดูต่างกันอย่างชัดเจน ราวกับเป็นคนละคนกัน

“เจ้าลองนึกดู ยังมีเรื่องอะไรที่ลืมหรือยังไม่บอกอีกหรือไม่” นางกล่าวเสียงนุ่มนวล ยกมือขวาขึ้นดึงเส้นผมขาวมาหนึ่งเส้น แล้วนำเส้นผมนี้วางไว้บนศีรษะซูหมิง ปล่อยให้มันร่วงตรงกลางกระหม่อมเขา จากนั้นเส้นผมก็ค่อยๆ ผสานรวมและหายเข้าไป

ซูหมิงกล่าวพึมพำเสียงเบา ตอบทุกคำถามของอีกฝ่ายประหนึ่งลืมเวลาที่ผ่านไป จนกระทั่งเสียงนุ่มนวลและเป็นกันเองบอกว่าออกไปได้ เขาจึงยืนขึ้นอย่างเลื่อนลอยแล้วเดินออกไปนอกหอ

กระทั่งเขาเดินไกลออกไปจนกลับมาถึงเรือนของเขาแล้ว ความสับสนในแววตาพลันหายไปแล้วแทนที่ด้วยความเย็นชา

“วิชาลวงวิญญาณ…” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ยกมือขวากดตรงศีรษะ ก่อนดึงเส้นผมขาวออกมาไว้ในมือ

ซูหมิงจ้องเส้นผมนั้น พลันยกยิ้มมุมปากน้อยๆ

‘ที่อยู่หญิงชราผู้นั้นไม่เลว…ระดับความเข้มข้นของพลังฟ้าดินมากกว่าที่นี่หลายเท่า…เกรงว่าในยอดเขาสำนักวิญญาณอสูรนี้ จุดที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นกว่าที่นั่นคงมีไม่มาก!

เป็นจุดที่เหมาะกับการรักษา เหมาะจะให้ข้าทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานมากที่สุด!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายจ้องเส้นผมขาวในมือ เส้นผมนี้อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้เพื่อตรวจสอบตนต่อไป

ทว่ายามนี้เมื่ออยู่ในมือซูหมิง มันกลับกลายเป็นอาวุธที่ซูหมิงใช้ควบคุมหญิงชรา!

‘เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน…’ ซูหมิงมองเส้นผมขาวแวบหนึ่ง ก่อนใช้มันเป็นเชือกสานผูกเป็นหนึ่งปม!

วินาทีที่ผูกปม ในหอเล็กสองชั้นห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก คลื่นพลังในตัวหญิงชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันผันแปรอยู่ชั่วครู่

นางลืมตาขึ้นในทันใด ขมวดคิ้วพลางสำรวจในและนอกร่างกายอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย จึงหลับตาอีกครั้งอย่างเงียบๆ

นางส่งแผ่นหยกเรื่องเกี่ยวกับซูหมิงให้กับวิหารคุมกฎแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางอีกต่อไป

ส่วนซูหมิง หลังจากเงียบสงบมาสามวันก็ต้องทอดถอนใจ เขาต้องออกจากลานบ้านที่อาศัยมาแปดเดือนกว่า เพราะการตายของจ้าวชง จึงมีคำสั่งจากสำนักฝ่ายนอกว่าเขาถูกไล่ออกจากสำนักฝ่ายนอก และต้องลงไปยังตีนเขาวิญญาณอสูร ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของฝ่ายทั่วไปกับศิษย์ที่ยังไม่มีคุณสมบัติเข้าสำนักฝ่ายนอก

คนที่พาเขาไปก็ยังคงเป็นชายแซ่จางและจั่วสองคน สองคนนี้ลืมความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับซูหมิงก่อนหน้านี้ไป ยามนี้มีสีหน้าหงุดหงิด หลังจากพาซูหมิงมาส่งยังวิหารใหญ่ตรงตีนเขาที่รับผิดชอบแล้วก็จากไปอย่างเร็วรี่

ในวิหารใหญ่ตรงตีนเขาที่รับผิดชอบ มีชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอมปากแหลมแก้มลิงเล็กน้อยคนหนึ่งกำลังพิจารณาซูหมิงไม่หยุด เขาอยู่ที่นี่มาหลายปี ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอศิษย์ที่ถูกไล่มาจากสำนักฝ่ายนอก แต่คนเหล่านี้มีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ไม่นานก็กลับขึ้นไปใหม่ได้

ฉะนั้นแม้จะเป็นเพียงอัตราครึ่งหนึ่ง เขาก็ไม่ยอมล่วงเกิน แน่นอนว่าหากเกินหนึ่งปีครึ่งแล้วยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เขาจะมีท่าทีเป็นอีกแบบหนึ่ง

ยามนี้เขาพยายามฉีกยิ้มพลางประสานมือคารวะซูหมิง

“ข้าเฉียนเฉิน ศิษย์น้องท่านนี้คงจะเป็นเฉินซู ศิษย์น้องเฉิน เจ้าเองก็อย่าถอดใจไป อย่างไรก็มาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ก่อน ดูแล้วอีกไม่นานเจ้าคงได้กลับไปอีก เอาแบบนี้ศิษย์น้องเฉิน เจ้าว่าศิษย์พี่จะมอบงานดูแลสตรีปรนนิบัติกับเจ้าหรือว่าจะเป็นงานจัดซื้อของข้างนอกดี?

หรือว่าจะดูแลเรื่องแจกจ่ายหินวิญญาณ? ตำแหน่งใดก็ได้ แค่ศิษย์น้องเฉินเอ่ยมา ศิษย์พี่จะไม่คัดค้าน!” เฉียนเฉินตบหน้าอก ตอนที่กล่าวถึงตำแหน่งดูแลสตรีปรนนิบัติ เขายังยิ้มน้อยๆ ให้ซูหมิงทำนองว่า ‘เจ้ารู้ดี’

“การดูแลสตรีปรนนิบัติเป็นศิลปะแขนงหนึ่งเลยเชียว จะทำให้พวกนางเชื่อฟังอย่างไร จุดนี้มีความรู้อยู่มาก มีอยู่บ่อยครั้งที่ศิษย์น้องเฉินจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ขอแค่เจ้ารู้สึกว่ามันใช่ เจ้าก็จะทำมันได้ดีถูกหรือไม่

นี่คือหน้าที่ที่สำคัญมาก เป็นตำแหน่งที่ต้องการคนที่เห็นแก่ส่วนรวมและยอมอุทิศตัว ข้าคิดว่าศิษย์น้องเฉินเหมาะกับตำแหน่งนี้!”

“นอกจากนี้แล้วยังมีตำแหน่งจัดซื้อของข้างนอกซึ่งก็ต้องการคนที่เปิดเผยและเที่ยงตรง คนในภูเขานี้มีมาก กินดื่มกันอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภูเขาใหญ่ทับอยู่บนบ่า เพื่อให้พวกเขาได้รับการคุ้มครองในการดำรงชีวิต คนที่รับตำแหน่งนี้จะต้องไม่มีความเกรงกลัว ต่อให้ของแพงเพียงใดก็ต้องซื้อมาให้ได้!”

“ยังมีอีกคือตำแหน่งแจกจ่ายหินวิญญาณ ตอนนี้ศิษย์พี่รับหน้าที่นี้อยู่ งานนี้ไม่ดีเลย ศิษย์น้องไม่น่าจะสนใจ…..” เฉียนเฉินกล่าวไปพลางมองสีหน้าซูหมิงไปพลาง สำหรับคนที่ยังไม่รู้ภูมิหลังผู้นี้ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคืออีกฝ่ายอยากจะทำงานแจกจ่ายหินวิญญาณ

ฉะนั้นเขาจึงบอกไปและก็ดูด้วยว่าอีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ ยามนี้ดวงตาเล็กเป็นประกาย ใบหน้ายังคงเผยยิ้มดังเดิม

นี่คือคนที่มีนิสัยข่มผู้ด้อยอำนาจกว่าและยังปลิ้นปล้อน ทว่าจะเปลี่ยนท่าทีเมื่อเจอคนไม่รู้จัก ซูหมิงมองเฉียนเฉินแวบหนึ่ง ด้วยประสบการณ์ของเขา เพียงเพิ่งสัมผัสรู้จักก็มองนิสัยบุคคลนี้ออกแล้วเจ็ดแปดส่วน

“ศิษย์น้องเฉิน เร็วๆ นี้มีแม่นางน้อยถูกพาขึ้นเขามาอีกหลายคน เตรียมจะไปหาท่านเซียนแล้ว ได้ยินมาว่ามีอยู่คนหนึ่ง…..เฮอะๆ เลอโฉมเป็นพิเศษเลย…เจ้าคงเข้าใจดี ถ้าอย่างนั้น….ข้าจะพาเจ้าไปดูดีหรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!