ตอนที่ 610 เฉียนเฉิน
ท้องฟ้ามีแสงแดดสว่างสดใสและมีลมโชยมาเบาๆ เว้นแต่มีควันดำบนสำนักวิญญาณอสูร
ผืนฟ้านอกควันดำเป็นท้องฟ้าปลอดโปร่ง พอเป็นเช่นนั้นควันดำจึงดูเด่นตาอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันตอนที่คนเงยหน้ามองจะเห็นถึงความต่าง เห็นฟ้าเป็นครามมากกว่าปกติ
และยังมีเมฆขาวลอยอยู่บ้าง ภายใต้แสงตะวันสว่างจ้า จะอดเกิดความรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมามิได้ หากไม่ใช่หน้าหนาว บางทีอาจงดงามกว่านี้
ซูหมิงเงยหน้ามองฟ้า ข้างหูยังคงได้ยินเสียงหมกมุ่นราคะของเฉียนเฉินดังก้อง ความรู้สึกนี้เขาไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในความทรงจำภูเขาทมิฬหรือยอดเขาลำดับเก้า ต่อให้อยู่แดนเผ่าเชมันมาหลายปีก็ไม่เคยคารวะเข้าสำนักอย่างตอนนี้
ไม่ใช่ศิษย์สายตรง ไม่มีใครสนใจอะไรมาก ถูกเนรเทศออกจากสำนักฝ่ายนอกให้มาอยู่ฝ่ายทั่วไป ซูหมิงมองเฉียนเฉินผู้มีรอยยิ้มน่ารังเกียจตรงหน้า ก่อนเผยรอยยิ้มทีละน้อย
เขาพลันรู้สึกว่าตนชอบความรู้สึกแบบนี้ยิ่งนัก
เขาไม่ต้องคิดอะไรมากก็อ่านออกว่าที่อีกฝ่ายเป็นมิตรเช่นนี้เป็นเพราะว่ายังไม่รู้เบื้องหลังของตน ถึงอย่างไรในสายตาคนอื่นตนก็มาจากสำนักฝ่ายนอก
แม้ดูเหมือนขับไล่ ทว่าทางสำนักคงจะทำเช่นนี้กับศิษย์ที่ทำผิดกฎเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะมีโอกาสถูกเรียกกลับไปใหม่ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เฉียนเฉินจะเป็นมิตรอย่างที่เห็น
เมื่อนึกถึงตรงนี้ซูหมิงก็ยิ้มมองเฉียนเฉินพลางส่ายศีรษะ
เฉียนเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย สีหน้าเขาพลันเคร่งขรึม ความเคร่งขรึมนี้มีความจริงจังอยู่ด้วย ขณะเดียวกันยังแฝงไว้ด้วยความเคารพนับถือ
หลังจากเฉียนเฉินมองซูหมิงอย่างมีความหมายลึกซึ้งแล้วก็พยักหน้าอย่างช้าๆ
“ศิษย์น้องเฉินสมกับเป็นศิษย์สำนักฝ่ายนอก เดิมทีข้าอยากจะใช้เรื่องนี้มาลองหยั่งเชิงศิษย์น้องเฉิน เพื่อดูว่านิสัยศิษย์น้องเป็นอย่างไร หากยอมไปหาสตรีปรนนิบัติด้วย ทุกวันจะมีสตรีโฉมงามจำนวนมากฟังคำสั่งเจ้า และปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าปานบัญชาสวรรค์ เช่นนั้น…ข้าคงดูถูกเจ้า
ผู้ฝึกฌานอย่างเราจะละทิ้งอุปนิสัยเพื่อความงามของสตรีได้อย่างไร เรื่องแบบนี้จะทำไม่ได้เด็ดขาด!
กระทั่งหากเจ้าเห็นด้วยจริงๆ ข้าก็จะโน้มน้าวเจ้าว่าอย่าทำเช่นนั้นเลย เพราะพวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เพราะข้าคือศิษย์พี่ของเจ้า ข้าต้องเตือนเจ้าว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรทำ!
ศิษย์น้องเฉิน ศิษย์พี่ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว มิเช่นนั้นสำนักคงไม่มอบงานสำคัญอย่างนักการทั่วไปให้ข้าจัดการ อีกทั้งเจ้าก็เป็นคนที่ผ่าเผยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา เป็นคนที่ศิษย์พี่นับถือมากที่สุด!” เฉียนเฉินกล่าวช้าๆ เอ่ยจบก็ยังแสดงสีหน้าให้สอดคล้องกับคำพูดหลายครั้ง
เหมือนกับว่าทุกอย่างคือการทดสอบของเขา เป็นการหยั่งเชิงซูหมิงจริงๆ
“เช่นนั้นศิษย์น้องเฉินก็รับผิดชอบเรื่องจัดซื้อของข้างนอกแล้วกัน งานนี้หนักยิ่งนัก…” เฉียนเฉินกล่าวไปเรื่อยๆ พอเห็นซูหมิงฟังถึงตรงนี้แล้วขมวดคิ้ว เขาจึงกลอกตาในทันที แล้วเปลี่ยนไปใช้คำอื่น
“งานนี้สำคัญอย่างยิ่ง แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว!” เขามีสีหน้ายืนหยัดในความถูกต้อง มองซูหมิงด้วยความจริงจัง
“เพราะว่าหากเป็นคนอื่นนี่อาจเป็นเรื่องผิด ทว่าสำหรับศิษย์น้องเฉินแล้ว นี่คือสิ่งสกปรกที่เจ้าไม่ควรจะสัมผัสมัน!
การจัดซื้อของข้างนอกจะต้องลงเขาเป็นประจำ สำหรับคนที่ขะมักเขม้นในการฝึกฝนอย่างศิษย์น้องเฉิน นี่คือความอัปยศ คือการทำร้ายเจ้าและสิ้นเปลืองเวลาในการฝึกฝนของเจ้า!
เวลาคืออะไร ศิษย์น้องเฉิน เวลาก็คือชีวิต ข้าเห็นด้วยกับคำนี้มากที่สุด เจ้าวางใจเถอะ ศิษย์พี่จะไม่ให้เจ้าสิ้นเปลืองชีวิตไปเปล่า ความจริงแล้วเจ้าไม่รู้ นี่ก็เป็นการหยั่งเชิงของข้าเช่นกัน!
ศิษย์น้องเฉิน ความนับถือของข้าในตัวเจ้ามากกว่าทุกสิ่ง ข้าปลื้มใจนักที่มีคนอย่างศิษย์น้องเฉินอยู่ในสำนักวิญญาณอสูรของพวกเรา…” เสียงเฉียนเฉินดังไม่ขาดสายดุจแม่น้ำเจียง ตั้งแต่ต้นจนจบซูหมิงไม่เอ่ยสักคำ ข้างหูดังสะท้อนเป็นคำพูดของเฉียนเฉินทั้งหมด
เฉียนเฉินเอ่ยพลางสังเกตการเปลี่ยนสีหน้าของซูหมิง ในใจเริ่มตึงเครียดขึ้นมาน้อยๆ
เขาพบว่าตนอ่านความคิดเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ออกเล็กน้อย เขาเคยเจอศิษย์สำนักฝ่ายนอกที่ถูกลงโทษให้ลงมาอยู่บ้าง หลังจากเขาคุยด้วยแล้วก็จะอ่านความคิดในใจของทุกคนออกบ้าง ด้วยวิธีนี้เขาจะคาดการณ์ถึงความสำคัญในสำนักฝ่ายนอกของอีกฝ่ายออก และคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายมีภูมิหลังอะไรหรือไม่
นอกจากนี้ยังรู้ด้วยว่าตนจะใช้งานอีกฝ่ายได้หรือไม่ และอาศัยสิ่งนี้วิเคราะห์ในใจได้ในระดับหนึ่ง
เขามักจะถอนหายใจบอกว่างานของตนไม่ดี ไหนจะต้องสังเกตความในใจของผู้อื่นจากสีหน้าและคำพูด ต้องตรึกตรองว่าคนที่ร่วงมาจากข้างบนนั้น คนใดต้องกำราบ คนใดต้องประจบ คนใดต้องเย็นชา คนใดต้องเป็นมิตรด้วย
สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ทว่าเฉินซูตรงหน้ากลับทำให้เฉียนเฉินอ่านไม่ออกสักนิด ตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายยังไม่เอ่ยสักคำ โดยเฉพาะสีหน้าเรียบเฉย มันไม่เหมือนกับศิษย์ที่ถูกไล่ออกจากสำนักฝ่ายนอกเลย แต่เหมือนบุตรตระกูลผู้มั่งคั่งออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกเสียมากกว่า
ลักษณะท่าทางแบบนี้ทำให้เฉียนเฉินหัวใจเต้นตึกๆ
‘ยอดฝีมือ! บุคคลนี้เป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน หากไม่ใช่ขั้นพลังสูงส่ง เบื้องหลังก็คงยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นด้วยอายุเท่านี้ไม่มีทางสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้หรอก!’ เฉียนเฉินมีการคาดเดาเช่นนี้ในทันที
‘สิ่งที่กวนใจที่สุดคือเจอคนแบบนี้ ในอันดับรายชื่อผู้ห้ามล่วงเกินที่ข้าค้นคว้ามาตลอดยี่สิบปีในฝ่ายทั่วไป บุคคลผู้นี้อยู่อันดับสาม!’ เฉียนเฉินเผยรอยยิ้มน้อยๆ แต่ในใจกลับระวังตัวอย่างยิ่ง
ในกลุ่มคนที่ถูกไล่มาอยู่ที่นี่จากสำนักฝ่ายนอก เขาเคยเจอคนที่มีสีหน้าโอหังอวดดี คนแบบนี้เขาพอลงมือจัดการได้ นอกจากนี้ก็ยังเคยเจอคนที่ชอบวางท่า คนที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายทั้งตัว กระทั่งเจอคนที่เผยรอยยิ้มทว่าแววตากลับชั่วร้าย
คนเหล่านี้เขาเจอมาเยอะนักในช่วงยี่สิบปีมานี้ ประโยคหนึ่งของเขาซึ่งใช้บรรยายลูกศิษย์ที่ถูกไล่ออกจากสำนักฝ่ายนอกเหล่านั้นก็คือ…
‘ย่ามันเถอะ ถ้ามังกรอยู่ที่นี่ก็ต้องนอนขดให้ข้า ถ้าเป็นเสือก็ต้องหมอบให้ข้าท่านเฉียนผู้นี้!’
‘ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องจริงๆ เฉินซูคนนี้มีปัญหา มีปัญหาใหญ่ด้วย!’ เฉียนเฉินโค้งตัวเล็กน้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้าเป็นพิเศษ
“ข้ารู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เหมาะสมกับศิษย์น้องเฉินก็คืองานแจกจ่ายหินวิญญาณ ศิษย์น้องเฉินวางใจได้ เพื่อให้ศิษย์น้องเฉินก้าวหน้าได้ไกลยิ่งขึ้น ให้สำนักวิญญาณอสูรของเราแกร่งยิ่งขึ้น ข้าจะยอมมอบงานนี้ให้ศิษย์น้องเฉินเป็นคนทำ!
ข้ารู้ว่าศิษย์น้องเฉินจะต้องไม่ชอบงานนี้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเหมาะสมกว่าข้า หวังว่าศิษย์น้องเฉินจะไม่ปฏิเสธ เรื่องนี้…เกี่ยวกับอนาคตของสำนักวิญญาณอสูร เกี่ยวกับสถานการณ์ของแดนรกร้างบูรพา เกี่ยวกับชีวิตของคนนับหมื่นนับแสน…” เฉียนเฉินมีสีหน้าเศร้าเสียใจ ภายในแฝงไว้ด้วยความรักเอ็นดู น้ำเสียงยังสั่นๆ ราวกับว่าตอนนี้เขากลายเป็นผู้ปกครองแดนรกร้างบูรพาที่กำลังจะมอบแดนรกร้างบูรพาให้ซูหมิง
ต่อให้เป็นซูหมิงก็ยังอึ้งงันกับคำพูดเฉียนเฉินไปครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเขามั่นใจจริงๆ ว่าเฉียนเฉินตรงหน้าไม่ได้ปิดบังหรือแปลงกายใดๆ เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นกระเรียนขนร่วงตัวนั้น
ทักษะการเล่นลิ้นเช่นนี้ ในความคิดซูหมิงมีเพียงกระเรียนขนร่วงเท่านั้นถึงจะเทียบเขาติด ส่วนใครแพ้ชนะ ซูหมิงคิดว่าค่อนไปทางกระเรียนขนร่วงมากกว่า ถึงอย่างไรระดับชั้นก็ต่างกัน…
“หาที่สงบๆ ห่างไกลผู้คนให้ข้า ข้าจะปิดด่านนั่งฌาน” ซูหมิงมองเฉียนเฉินแวบหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่กลับมีความเหลือเชื่อปะปนอยู่
เฉียนเฉินหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ถอยหลังไปสองก้าว แล้วพิจารณาซูหมิงตั้งแต่หัวจรดปลาย
‘อันดับขึ้นแล้ว บุคคลนี้ไม่ใช่อันดับสามในรายชื่อคนผู้ห้ามล่วงเกิน แต่เป็นอันดับสอง!’
ในใจเขาตึงเครียดเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับไม่เผยออกมา ยังคงมีรอยยิ้มเจิดจ้า พอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างชื่นชม
“ไม่เลว ศิษย์พี่มองศิษย์น้องเฉินไม่ผิดจริงๆ นับถือ นับถือ!” ขณะกล่าวก็ยังยกนิ้วโป้งให้ซูหมิงด้วยสีหน้าชื่นชม ไม่มีการเสแสร้งใดๆ สีหน้านับถือก็ยิ่งดูจริงใจ
เขาไม่พูดให้มากความอีก แต่ใช้มือขวาตบบนตัวหนึ่งที ก่อนหยิบแผ่นหยกขึ้นมาส่งให้กับซูหมิง
“ศิษย์น้องเฉิน ข้านับถือเจ้า จะไม่พูดมากแล้ว ในนี้มีจุดที่มีจุดแสงอยู่ เจ้าเลือกได้ตามใจชอบ เจ้าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ขอแค่เจ้าฝึกฝนอย่างสงบก็พอ ศิษย์น้องเฉิน ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ หากเบื้องบนส่งคนมาตรวจ ข้าเฉียนเฉินจะแบกหน้ารับแทนเจ้าเอง! ข้าก็เป็นคนซื่อตรงสง่าผ่าเผยเช่นนี้ ข้าชอบคิดเผื่อคนอื่น ไม่สนใจว่าตนจะต้องเสียอะไรบ้าง ข้าก็เป็นคนแบบนี้เอง!
รอจนพวกเรารู้จักกันมากกว่านี้ก่อน ศิษย์น้องเฉิน เจ้าจะรู้เอง”
ซูหมิงมีสีหน้าพิลึกเล็กน้อย เขารับแผ่นหยกมาแล้วก็ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบภายใน ทันใดนั้นในความคิดก็ปรากฏเป็นแผนที่ใต้ภูเขาแห่งนี้ ในนั้นมีจุดแสงวูบวาบอยู่จำนวนมาก
เฉียนเฉินมองซูหมิงอย่างระมัดระวัง นัยน์ตาลอบเป็นประกายแวววาว ในใจนึกลำพองใจ
‘หากเจ้าเลือกที่ที่ใกล้กับสำนักฝ่ายนอกมากที่สุด นั่นก็หมายความว่าเจ้าอยากกลับสำนักฝ่ายนอกมากที่สุด! หากเจ้าเลือกตรงกลาง นั่นหมายความว่าในใจเจ้ายังลังเล…
หึๆ หากเจ้าเลือกด้านล่างสุด นั่นก็หมายความว่าเจ้าสับสนต่ออนาคต แม้ว่าวิธีนี้จะไม่แม่นยำครบถ้วน ทว่าก็อธิบายในจุดเล็กๆ ได้อยู่”
หลังจากซูหมิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบแผนที่แล้ว เขาก็นึกถึงหอเล็กสองชั้นใกล้กับบนยอดเขา ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เลือกจุดที่ใกล้กับสำนักฝ่ายนอก ตรงนั้นใกล้กับหอเล็กสองชั้นมากสุด
เมื่อเลือกเสร็จแล้วซูหมิงก็คืนแผ่นหยกให้กับเฉียนเฉิน เฉียนเฉินยิ้มตาหยีรับมาแล้วเพ่งสมาธิมอง สีหน้าเขาดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อยในทันที แต่ก็กลับมาปกติอย่างรวดเร็ว เพียงแต่สายตาที่มองซูหมิงแอบเป็นประกาย
‘ไม่เลวจริงๆ บุคคลนี้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่มาก อย่างมากสุดหนึ่งเดือนก็ต้องไปแล้ว คนแบบนี้ต้องประจบเอาไว้…แม้ยังไม่ติดอันดับหนึ่งผู้ห้ามล่วงเกิน ก็เป็นผู้โดดเด่นอันดับสองอย่างสมน้ำสมเนื้อ!
เฮ้อ น่าเสียดายยี่สิบปีมานี้ ยังไม่เคยเจอผู้ห้ามล่วงเกินอันดับหนึ่งเลย…หืม ไม่เจอก็ดีแล้ว’