Skip to content

สู่วิถีอสุรา 611

ตอนที่ 611 ปมเส้นผม

แม้ตำแหน่งของซูหมิงจะใกล้กับสำนักฝ่ายนอก ทว่าหลังเขากลับค่อนข้างห่างไกลผู้คน ในวันปกติจะมีคนสัญจรไม่มาก แถมบริเวณนั้นยังเป็นเรือนพักธรรมดา โดยรอบเต็มไปด้วยวัชพืช เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาดูแลนานมาก

พลังฟ้าดินตรงนั้นก็ไม่เข้มข้น ไม่อาจเทียบกับลานที่ซูหมิงเคยอยู่ก่อนหน้านี้ในสำนักฝ่ายนอกได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นยังเทียบไม่ติดกับหอสองชั้นที่สร้างความตะลึงให้กับซูหมิงด้วย

ทว่าที่นี่มีดีตรงเงียบสงบ มีดีตรงค่อนข้างใกล้กับหอสองชั้น กระทั่งหากยืนอยู่นอกเรือน พอเงยหน้าขึ้นจะเห็นหอสองชั้นรางๆ กลางยอดเขา

ซูหมิงมองไปรอบๆ ก็ถือว่าพอใจอยู่ เดิมทีเฉียนเฉินจะให้คนมากำจัดวัชพืชรอบๆ ทว่าซูหมิงห้ามเอาไว้ ที่นี่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มันจะได้ยิ่งกันดารเข้าไปอีก

ช่วงตะวันลับภูเขา เฉียนเฉินยังคงเผยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้าขนาบซ้ายซูหมิงตลอด เอาใจใส่เป็นอย่างดี ทั้งยังถามว่าต้องการสตรีปรนนิบัติในฝ่ายทั่วไปหรือไม่ หลังจากถูกซูหมิงปฏิเสธไปเขาก็ยังคงยิ้ม จนกระทั่งยามโพล้เพล้ พอเห็นซูหมิงมีสีหน้าเพลียจึงประสานมือลากลับไป

ข้ามเรื่องความในใจของเฉียนเฉินตอนจากไปก่อน เมื่อยามโพล้เพล้สิ้นสุดลง ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดสลัว ซูหมิงไม่ได้อยู่ในห้อง แต่มานั่งพิงกำแพงห้องอยู่ข้างนอกพลางมองฟ้า

ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว วัชพืชรอบๆ ก็เต็มไปด้วยหิมะขาว กระทั่งผ่านยามโพล้เพล้ไปฟ้ายังมีเกล็ดหิมะโปรยลงมาไม่น้อย มีบางส่วนโปรยลงตรงหน้าซูหมิง เขายกมือขึ้นรับหิมะเอาไว้ รู้สึกเย็นตรงกลางฝ่ามือ จากนั้นมองหิมะละลายหายในมือ

“หากหิมะอยู่เพื่อละลายบนผืนดิน นี่จะใช่โชคชะตาของหิมะหรือไม่…” ตอนนี้ขั้นพลังซูหมิงฟื้นกลับมาหกส่วน แต่ยังห่างจากสมบูรณ์อีกไกล ตามการคาดเดาของเขา เว้นแต่จะอยู่ในหอเล็กสองชั้นนั้น ต่อให้อยู่ในลานสำนักฝ่ายนอกก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีถึงจะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์

ถึงอย่างไรการฟื้นฟูในช่วงแรกก็เร็วมาก ทว่ายิ่งช่วงหลังๆ จะยิ่งยากขึ้น ความเร็วในการฟื้นฟูสี่ส่วนหลังจากนี้ห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับหกส่วนแรก

“จะต้องไปหอเล็กสองชั้น…” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ตอนที่ยื่นฝ่ามือออกไป ในมือเขามีเส้นผมสีขาวเพิ่มมาหนึ่งเส้น

เส้นผมนี้ผูกเอาไว้หนึ่งปม ซูหมิงวางมือขวาบนปมแล้วค่อยๆ หลับตา สัมผัสอย่างเงียบๆ ตามคำสอนเหล่านั้นของบิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์

เวลาผ่านไปไม่นานก็เข้าสู่กลางดึก หิมะบนฟ้าเยอะขึ้น โปรยลงมาไม่ขาดสาย ทำให้เส้นทางตรงหน้าไม่เพียงถูกความมืดปกคลุม แต่ยังถูกหิมะที่ตกลงมาแบ่งส่วนออกจนกลายเป็นภาพเลือนราง

ซูหมิงนั่งพิงเรือนพักอยู่ข้างนอกตลอด ในมือยังคงบีบเส้นผมสีขาว บนเส้นผมยาวยังมีกลิ่นหอมจางๆ ในค่ำคืนมืดมิดนี้ ขณะซูหมิงสัมผัสก็เหมือนจะได้กลิ่นหอม

หนึ่งคืนไร้คำเอ่ย..ซูหมิงนั่งอย่างนี้ตลอดคืน

ตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์บอก และตามหาแก่นสารของบันทึกปมหญ้า

สิ่งที่ซูหมิงต้องการไม่ใช่คำสาปและก็ไม่ใช่คำอวยพร แต่เป็นการควบคุมจิตใจ ใช้การผูกปมเส้นผมนี้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากสร้างเป็นตุ๊กตาแล้ว ก็จะใช้พลังแห่งตุ๊กตาควบคุมจิตใจหญิงชรา

การควบคุมจิตใจนี้จะทำให้คนกลายเป็นเหมือนหุ่นเชิด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วซูหมิงจะเข้าไปในหอสองชั้นโดยไม่มีใครสังเกตและฝึกฝนเป็นเวลานานได้

เขาเองก็เคยทดสอบขั้นพลังด้วยการลงมือ ทว่าพลังยังไม่ฟื้นกลับมาโดยสมบูรณ์ เรื่องนี้มีตัวแปรจำนวนมาก อีกทั้งเขายังเตรียมทะลวงไปขั้นวิญญาณหมานในหอเล็กอีกด้วย จึงต้องการคนคอยคุ้มกันหนึ่งคน

หากควบคุมหญิงชราได้ จะเท่ากับยิงศรนัดเดียวได้นกถึงสองตัว!

ช่วงยามรุ่งอรุณมาถึง ซูหมิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเข้าใจเล็กน้อย สองมือผูกปมเส้นผมขาวอีกครั้ง!

ตอนนี้บนเส้นผมขาวมีถึงสองปมแล้ว!

วินาทีที่ผูกปมที่สอง บนหอเล็กสองชั้นห่างไปไกล หญิงชราซึ่งกำลังนั่งฌานสมาธิอยู่ตัวสั่น นางลืมตาขึ้น มีสีหน้าลังเล ทั้งยังขยายจิตสัมผัสวนเวียนไปรอบๆ ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง

ทว่าเมื่อนางตรวจสอบรอบๆ ในละแวกใกล้เคียงแล้วกลับไม่พบเบาะแสหรือเงื่อนงำอะไรเลย ราวกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น วินาทีเมื่อครู่นี้นางสัมผัสได้ถึงไอหนาวเสี้ยวหนึ่ง เหมือนกับมีคนกำลังเล่นงานตนอยู่ มันไม่ถือว่าเจ็บอะไรมาก เพียงมีความรู้สึกเหมือนถูกทะลวงเข้าสู่จิตวิญญาณ

หญิงชราขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ ทั้งยังตรวจภายนอกและภายในร่างกายอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร นางจึงสงสัยและเริ่มจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

ฤดูหนาวเหมือนจะยาวนานยิ่งนัก หนึ่งเดือนมานี้มีหิมะตกเป็นบางครั้ง ทุกครั้งจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้หิมะลอยเคว้งอยู่เต็มฟ้าราวกับฟ้าปรากฏโพรงยักษ์ ผืนฟ้ากำลังสะอื้นไห้ เพียงแต่ว่าตอนที่น้ำตาร่วงลงมาเหมือนจะไม่ยอมให้ใครเห็น ฉะนั้นจึงเปลี่ยนมันเป็นหิมะ

หิมะดูเหมือนเบาและนุ่มก็จริง แต่ทว่า…หากสะสมจนอยู่ในระดับมั่นคง มันจะสามารถบดขยี้ภูเขา แช่แข็งทุกสรรพสิ่ง และยังทำลายล้าง….ทุกสิ่งมีชีวิต!

หิมะตกลงมาปกคลุมฟ้าดิน ปกคลุมนอกเรือนอาศัยของซูหมิง ต่อให้เขานั่งฌานอยู่ก็ถูกหิมะกองทับจนหนา

มือซูหมิงถือเส้นผมสีขาวตลอด หนึ่งเดือนมานี้เขาไม่ได้ฟื้นขั้นพลังเลย แต่ตกอยู่ในห้วงการตระหนักรู้ ตกอยู่ในห้วงบันทึกปมหญ้า ตอนนี้บนเส้นผมมีอยู่หกปม!

หกปมนี้ซูหมิงไม่ได้ทิ้งจิตเอาไว้มากนัก เขาเพียงเอาความเข้าใจใส่ไว้ภายใน ตอนนี้กำลังใช้มือสัมผัสเหมือนจับอารมณ์ความคิดตัวเอง

ส่วนเฉียนเฉิน ในหนึ่งเดือนนี้เขามาที่นี่อยู่บ้าง ท่าทางขยันขันแข็งประหนึ่งซูหมิงคือศิษย์พี่ของเขา และเขาเป็นศิษย์น้องหรือผู้เยาว์

วันนี้ท่ามกลางหิมะ เขาก็มาเยือนอีกครั้ง ด้านหลังยังมีนักการทั่วไปหลายสิบคนที่มีสีหน้าเกรงกลัวอยู่ ภายใต้คำสั่งนิ้วของเฉียนเฉิน นักการเหล่านั้นก็เริ่มจัดการกับหิมะทันที

ซูหมิงกำลังหลับตาจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก หากเฉียนเฉินรู้ว่าอะไรควรไม่ควรเช่นนี้เสมอ ภายภาคหน้าซูหมิงว่าจะให้โชควาสนาเขาไป เส้นทางอยู่ใต้เท้าแล้ว ดูซิว่าบุคคลผู้นี้จะเข้าใจและเดินไปอย่างไร

วันที่สามหลังจากเดือนแรกของที่นี่ ซูหมิงมีสีหน้าลังเลใจพลางมองเส้นผมขาวในมือ ด้านบนผูกเอาไว้หกปม ปมที่เจ็ดเขาควรจะผูกตอนนี้ แต่เขากลับไม่ทำ

เขามองเส้นผมอย่างเงียบๆ หนึ่งเดือนมานี้เขาตกอยู่ในห้วงตระหนักรู้ มีความรู้สึกต่อบันทึกปมหญ้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน

หกปมก่อนหน้านี้ซูหมิงผูกขึ้นจากความรู้สึก ทว่าตอนนี้อยู่ตรงปมที่เจ็ด เขารู้สึกรางๆ ว่าต้องเพิ่มจิตใจแน่วแน่เข้าไปอีก การเพิ่มจิตใจนี้จะทำให้ปมที่เจ็ดกลายเป็นจุดสำคัญ!

จุดสำคัญที่ว่าคือหากปมนี้ล้มเหลวเส้นผมจะกลายเป็นสีเทา ทว่าหากทำสำเร็จ ภายใต้จิตใจแน่วแน่เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าซูหมิงเดินไปสู่ความสำเร็จในก้าวแรก!

‘เส้นผมมีเพียงเส้นเดียว หากไม่สำเร็จทุกอย่างจะสูญเปล่า…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ พลันยกสองมือขึ้นผูกปมที่เจ็ดบนเส้นผมขาว!

ขณะเดียวกับที่ผูกปมที่เจ็ด ซูหมิงพลันตัวสั่นสะท้าน พยายามให้ตนส่งเสียงกึกก้องในความคิดตลอด

“ข้าคือเจ้านายของเจ้า จิตใจทุกอย่างของข้าก็คือจิตใจของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างของข้า!” ซูหมิงส่งเสียงดังก้องในความคิดตัวเองอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นจิตใจแน่วแน่เขียนบนปมเส้นผมประดุจเขียนหนังสือ

ทว่าการผสานรวมจิตใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับซูหมิง

ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งสัมผัสกับบันทึกปมหญ้า ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้เพราะพรสวรรค์อย่างบิดาของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ และที่สำคัญที่สุดคือบิดาเสียวโฉ่วเอ๋อร์เป็นคนธรรมดา ตุ๊กตาก็สร้างให้คนธรรมดา ฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องกินพลังงานหรือต้องทนรับอะไร เพียงสร้างตุ๊กตาหลายตัวแล้วจะรู้สึกเหนื่อยล้ามากก็เท่านั้น

ทว่าซูหมิงไม่เหมือนกัน เส้นผมขาวเป็นของหญิงชรา นางมีขั้นพลังไม่ธรรมดา การจะควบคุมด้วยวิชานี้จำเป็นต้องใช้พลังและทนแบกรับไม่ใช่น้อย ต่อให้เป็นซูหมิง ยามนี้ขณะตัวสั่นสะท้านตรงหางตาก็เริ่มมีโลหิตไหลลงมา ในใบหูก็เช่นกัน

ลมหายใจพลันหยุดนิ่ง….

จนกระทั่งผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ ซูหมิงพ่นลมหายใจยาวออกมา ดวงตาเปล่งประกาย ก่อนเช็ดโลหิตตรงดวงตาและใบหู ก้มหน้ามองปมที่เจ็ดบนเส้นผมขาวแวบหนึ่งแล้วยกยิ้มมุมปาก

‘วิชานี้น่าทึ่งจริงๆ หากเข้าใจในระดับสูงสุด..ก็จะลอบสังหารได้อย่างไร้ร่องรอย การควบคุมก็จะง่ายขึ้น แต่น่าเสียดายที่ส่งผลกระทบมากยิ่งนัก…’ ซูหมิงหลับตาลง

แทบเป็นช่วงที่เขาผูกปมที่เจ็ด หญิงชราซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอสองชั้นตัวสั่นอย่างรุนแรง นางกระอักเลือด ใบหน้าเขียวคล้ำ จากนั้นลืมตาขึ้นพร้อมกับลุกพรวดแล้วแผ่ขยายจิตสัมผัสในทันที ทว่าก็ยังไม่พบอะไร

นางมีสีหน้าน่าสะพรึง ชั่ววินาทีเมื่อครู่นี้นางได้ยินเสียงเบาๆ เสียงนั้นเหมือนพูดอะไรบางอย่างในความคิดนาง แต่พอตั้งใจฟังกลับไม่ได้ยิน นางรู้สึกชัดมากว่าเสียงนั้นน่าจะใช้วิธีการพิเศษบางอย่างสลักลงในจิตวิญญาณนาง

“ลูกไม้ตื้นๆ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมโผล่หัวออกมา เช่นนั้นพวกเรามาสู้กันด้วยวิชาสักตั้ง ดูว่าจะเป็นวิชาของเจ้าหรือเป็นฐานบัวดูดวิญญาณของข้าที่แกร่งกว่า!” หญิงชรายิ้มเยาะ นางก้าวเดินไปยังชั้นสอง มาอยู่ข้างรูปปั้นสตรีบนฐานบัว หลังจากมองสตรีผู้สะอาดบริสุทธิ์แวบหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิลง ฉับพลันนั้น ดวงตารูปปั้นเปล่งแสงสว่างปานตื่นขึ้น แล้วห่อหุ้มหญิงชราเอาไว้ข้างใน

“ครั้งหน้าถ้าเจ้ามาอีก ข้าจะสู้กับเจ้า!” หญิงชราหลับตาลงประหนึ่งเจอศัตรูตัวฉกาจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!