Skip to content

สู่วิถีอสุรา 612

ตอนที่ 612 ความโกรธของเฉียนเฉิน

เพียงแต่ซูหมิงค้างอยู่ปมที่แปดมาหนึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่ลงมืออีก ในเวลานั้นมีอยู่สามครั้งที่จะผูกปม ทว่า…ช่วงที่จะลงมือทุกครั้งเขากลับหยุดชะงัก

เขาไม่มีความรู้สึก หาความรู้สึกอย่างที่บิดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์บอกไม่พบ ภายใต้สภาวะเช่นนี้ เขามีลางสังหรณ์ว่าหากฝืนผูกปมที่แปดไปจะต้องพบกับความล้มเหลวที่ทำให้สูญเสียทุกอย่างที่ทำมา

ฉะนั้นสองเดือนมานี้ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาวางเส้นผมนั้นลง เก็บเข้าไปแล้วไม่ฝืนผูกปมอีก แต่ให้ตนสงบใจอยู่ชั่วครู่

‘ข้าต้องหาคนอื่นมาลองทำตุ๊กตาจากวิชาบันทึกปมหญ้าก่อน มีเพียงแบบนี้ข้าถึงจะผูกปมที่แปดได้อย่างมั่นใจและไม่เกิดข้อผิดพลาด’ ซูหมิงหลับตาลง ตอนนี้เดือนสิบสองแล้ว ห่างจากวันแรกของปีอีกไม่นาน

ตามประเพณีของครอบครัว วันที่หนึ่งของทุกปีจะเป็นวันสำคัญที่สุดในปีนั้น ทุกครอบครัวจะมาอยู่พร้อมหน้ากัน และจะมีแต่ความสุขกับความอบอุ่น

ซูหมิงยังจำวันนั้นของปีที่แล้วได้ เขายังรักษาตัวอยู่ในบ้านของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตหลังออกจากภูเขาทมิฬแล้วพบกับความอบอุ่นอย่างแท้จริง ความอบอุ่นนั้นต่างกับยอดเขาลำดับเก้า ทว่าล้ำค่าไม่ต่างกัน

มันเป็นความรู้สึกของมารดา การปกป้องจากบิดา และเสียงมีความสุขของน้องสาว

“ครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์…ควรจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้แล้ว…”

ซูหมิงพึมพำเบาๆ เมื่อหลายวันก่อนวิญญาณกับกายเนื้อเฉินต้าสี่ผสานรวมกันเสร็จแล้วจึงตื่นขึ้นได้ทุกเมื่อ เหตุที่สองเดือนมานี้ซูหมิงยังไม่พาไปส่งบ้านเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังสังเกตอยู่ เขาสังเกตการณ์กระทำของสำนักวิญญาณอสูรที่มีต่อตนหลังจากจ้าวชงตาย

สองเดือนมานี้เขาวางใจลงแล้ว มั่นใจแล้วว่าสำนักวิญญาณอสูรไม่สนใจเรื่องนี้อีก

ขณะซูหมิงกำลังครุ่นคิดก็เงยหน้าขึ้น มองทอดไกลแวบหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอีก หลับตาลงทำสมาธิอย่างเงียบๆ ไม่นานก็เห็นว่าบนพื้นหิมะไกลออกไปมีร่างเงาเดินเข้ามาหลายคน คนนำหน้าสุดคือเฉียนเฉิน เขามีสีหน้าทะมึน มือถือถุงเก็บวัตถุใบหนึ่ง ตอนที่เหยียบหิมะเข้ามาใกล้ก็หยุดอยู่ห่างจากซูหมิงสิบจั้งด้วยสีหน้าลังเลใจ ทว่าครู่เดียวก็ยิ้มเยาะ

“ศิษย์น้องเฉิน ที่นี่คงจะไม่เลวกระมัง พลังวิญญาณหนาแน่น ทิวทัศน์หิมะก็สวยยิ่งนัก ที่สำคัญคือที่นี่เงียบสงบและห่างไกลผู้คน เป็นที่ที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกฌาน!”

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่งประหนึ่งไม่ได้ยิน ตอนแรกเริ่มหนึ่งเดือนแรกเฉียนเฉินขยันยิ่งนัก ทว่าเดือนที่สองก็เริ่มมาน้อยลง ทุกครั้งที่มาจะพิจารณามองตนด้วยสีหน้าสงสัย

“โอ้ ไม่อยากเชื่อว่าจะไม่ฟังกัน ศิษย์น้องเฉิน เจ้าควรจะพูดความจริงกับข้าเรื่องถูกไล่จากสำนักฝ่ายนอก แล้วข้าจะไม่สร้างความลำบากใจให้เจ้า มอบงานของฝ่ายทั่วไปให้เจ้าไปทำ เจ้าเดินไปตามทางของเจ้า ข้าก็จัดการเรื่องของข้า พวกเราสองคนไม่ต้องล่วงเกินกัน!

ทว่าเจ้ากลับหลอกลวงข้า หากไม่ใช่เพราะข้าให้คนไปตรวจสอบเบื้องหลังคงไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหลอกข้า เพิ่งเข้าสำนักมาไม่ถึงปี อาจารย์เจ้าก็หายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อน และเพราะเจ้าไม่เป็นอะไรเลยจึงถูกไล่ออกจากสำนักฝ่ายนอก!

เจ้ามันเจ้าเล่ห์นัก มาวางอำนาจบาตรใหญ่ที่นี่ คิดว่าเป็นที่ที่เจ้าจะมาได้อย่างนั้นรึ! ข้าจะบอกเจ้าแซ่เฉินให้ เจ้า..” เฉียนเฉินโกรธกริ้วมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุที่เขาโกรธคือตนดันคิดว่าอีกฝ่ายมีเบื้องหลังใหญ่โต ทว่าความจริงกลับเป็นเช่นนี้ไป สำหรับเขาแล้วนี่คือการถูกโจมตีอย่างรุนแรง ทำให้เขารู้สึกว่าความสามารถในการอ่านคนมาตลอดยี่สิบปีเกิดข้อผิดพลาด

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่มีทางให้อภัย โดยเฉพาะเขาถูกลวงหลอกอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีการเคลื่อนไหวติดต่อกับสำนักเลย อีกทั้งสำนักฝ่ายนอกเหมือนจะลืมบุคคลนี้ไปแล้ว ถ้าเป็นช่วงอื่นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทว่าตอนนี้ใกล้ปลายปี สำนักฝ่ายนอกในตอนนี้จะมีงานประลองใหญ่ที่หนึ่งปีมีครั้ง หากเป็นยอดฝีมือ ไม่ว่าเป็นผู้ฝึกหรือเบื้องหลัง ก็ต้องโผล่หน้าในงานประลองนี้

เมื่อก่อนศิษย์ที่ถูกไล่มาจากสำนักฝ่ายนอกที่เฉียนเฉินเคยเจอ ส่วนใหญ่จะถูกเรียกกลับไปในเวลานี้ แต่เขารอแล้วรอเล่ากลับไม่เห็นมีใครมาหาซูหมิง จึงเริ่มร้อนรนและใช้อำนาจสั่งให้ข้ารับใช้ที่ตนส่งออกไปไปสืบข่าวมา

ทว่าข่าวต่างๆ ที่ส่งกลับมาล้วนเป็นการโจมตีเฉียนเฉินซ้ำสอง เขาอึ้งงันอยู่นานมาก สุดท้ายก็กระทืบเท้าหนักๆ ข่าวคราวเหล่านั้นอธิบายเรื่องซูหมิงอย่างชัดเจน

“คนแซ่เฉิน อายุแค่นี้ยังเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรศิษย์พี่จะให้เจ้ารู้ว่าอย่าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า!” เฉียนเฉินเดือดดาล พับแขนเสื้อขึ้น หลายคนด้านหลังก็เช่นกัน แต่ละคนล้วนมีท่าทีโฉดชั่ว

“มาที่ของข้าแล้วยังกล้าล่วงเกินข้า วันนี้ข้าจะไม่แค่ทุบตีเจ้า แต่จะไล่เจ้าไปอยู่ที่อื่นด้วย ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเจ้า!” เฉียนเฉินสาวเท้ายาวจะเข้ามาใกล้ซูหมิง ทันใดนั้นอีกฝ่ายค่อยๆ ลืมตามองเขาอย่างสงบนิ่งแวบหนึ่ง

ดวงตานี้ไม่มีอำนาจใดๆ ทว่าความสงบนิ่งในแววตากลับทำให้เฉียนเฉินหยุดชะงักทันควันเมื่อถูกมอง อีกทั้งยังกางสองขึ้นมาขวางคนข้างหลังเอาไว้

หัวใจเขาพลันเต้นระรัว สายตาที่มองซูหมิงเริ่มจริงจัง ด้วยความรู้และประสบการณ์ของเขา หากตนเป็นอีกฝ่ายจะต้องตกใจตื่นอย่างแน่นอน แต่คนตรงหน้ากลับสงบนิ่งจริงๆ

ความสงบนิ่งแบบนี้เริ่มทำให้เขาตื่นตระหนกและเกิดความระแวงไปเรื่อย

‘หรือว่าข้าจะเดาพลาด..ไม่มีทาง เจ้าหนูนี่น่าจะเสแสร้ง ก่อนหน้านี้ก็มีท่าทีเช่นนี้ ทำให้ข้าหลงคิดว่าเป็นผู้สูงส่ง ผู้สูงส่งบ้าอะไรกัน!’

เฉียนเฉินถลึงตามอง พอนึกถึงตรงนี้ก็ยิ้มเยาะแล้วเดินเข้าไปอีกหลายก้าว ตอนที่ควงหมัดเตรียมจะชกไปนั้น เขาเห็นประกายวาววับที่สร้างความตื่นกลัวให้กับเขาวาบผ่านนัยน์ตาซูหมิง

เขาหยุดชะงักและยังถอยไปอีกหลายก้าว จ้องซูหมิงอยู่พักหนึ่ง นัยน์ตาเป็นประกายดุร้ายก่อนแค่นเสียงหึเย็นชา

“ช่างเถอะ เห็นแก่ว่าเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า ทว่าเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน เอ่อ เจ็ดวัน เจ็ดวันจากนี้เจ้าต้องออกไปจากที่นี่!

ถึงตอนนั้นหากไม่ปฏิบัติตาม หึๆ…” เฉียนเฉินยิ้มเยาะ ก่อนพาหลายคนข้างๆ จากไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งออกไปไกลมากแล้วเขาถึงหันกลับมามองด้วยอาการตื่นกลัว หัวใจยังเต้นตึกๆ

‘มีบางอย่างแปลกไป แม้คนผู้นี้ไม่มีเบื้องหลังอะไร ทว่าตัวเขาน่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เจ็ดวันจากนี้หลังจากงานประลองครั้งใหญ่สิ้นสุดลง ข้าจะเชิญคนมากำราบเขาเอง’ ขณะเฉียนเฉินยิ้มเยาะกลับรู้สึกหนาวสั่น เขารีบดึงเสื้อกันหนาวหนังให้แน่น บ่นด่าพึมพำหลายประโยคแล้วก็พาคนด้านหลังไปหาฝ่ายสตรีปรนนิบัติ…

‘หาแม่นางน้อยมาสร้างความอบอุ่นให้สักสองสามคนก็ดี เฮ้อ นี่ต่างหากคือชีวิต ล้อมกองไฟในหน้าหนาว กอดแม่นางน้อยเอาไว้ ดีจริงๆ ชีวิตข้าเฉียนเฉินช่างเยี่ยมจริงๆ’ เฉียนเฉินฮึมฮัมเพลงจนลืมเรื่องที่จู่ๆ ก็หนาวสั่นเมื่อครู่ไป พลางเดินไปอย่างเร็วรี่

ซูหมิงมองเฉียนเฉินเดินไกลออกไป ด้วยขั้นพลังของเขา เพียงปลดปล่อยกลิ่นอายพลังเล็กน้อยก็สังหารเฉียนเฉินได้ทันที อีกทั้งคนอื่นยังไม่สังเกตเห็นด้วย

ทว่าเขาไม่ทำเช่นนั้น ในมือเขาตอนนี้มีเส้นผมสีดำเพิ่มมาหนึ่งเส้น เส้นผมนี้เป็นของเฉียนเฉิน

‘เจ้าคนนี้มาถูกเวลาจริงๆ ได้ใช้เขาศึกษาอภินิหารต่างๆ จากการสร้างตุ๊กตาด้วยวิชาบันทึกปมหญ้าพอดี’ ใบหน้าซูหมิงไร้อารมณ์ เริ่มผูกปมบนเส้นผมนั้น

ปลายปีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งสำนักฝ่ายนอกของวิญญาณอสูรเริ่มดำเนินงานประลองใหญ่ของศิษย์สำนักหลังจากเตรียมการมาหลายเดือน งานประลองครั้งใหญ่นี้เป็นของสำนักวิญญาณอสูรเอง ไม่เกี่ยวกับสำนักอสูรอื่นๆ ทุกปีจะมีหนึ่งครั้ง และที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่าสำนักเซียนอสูรที่อยู่จุดสูงสุดในใจสำนักอื่น จะจัดงานประลองใหญ่ทั่วสำนักอสูรขึ้นทุกๆ สิบปี

เพื่อพิธีอันยิ่งใหญ่นั้น สำนักวิญญาณอสูร สำนักธุลีอสูร และสำนักกระหายอสูรล้วนต้องเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ปลายปีของทุกปี หลังจากงานประลองศิษย์ของสำนักฝ่ายนอกจบลง นอกจากอันดับหนึ่งจะได้เข้าสู่สำนักฝ่ายในแล้ว อันดับหนึ่งในงานประลองของสำนักฝ่ายในก็ยังได้รับรางวัลมากมายด้วย

ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซูหมิง คืนวันนี้ของปลายปี ศิษย์สำนักฝ่ายนอกเริ่มงานประลองครั้งใหญ่กันแล้ว ท้องฟ้ายังคงมีหิมะโปรยปราย ซูหมิงยืนขึ้นแล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าว

หนึ่งก้าวเหยียบลง ร่างเขาพลันเลือนรางแล้วหายวับไป

เขามาปรากฏตัวตรงตีนยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ค่อยๆ เผยร่างออกมา ก่อนเดินไกลออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อาคมคุ้มกันภูเขาของสำนักวิญญาณอสูรไม่มีผลใดๆ กับเขา จนกระทั่งเดินไกลออกไปแล้ว ทั้งสำนักอสูรก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นเขา

ความจริงแล้วก็ไม่มีใครสนใจซูหมิงมากนักด้วย ถึงอย่างไรภายนอกเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสาม

หิมะจากบนผืนฟ้าหนักมาก ซูหมิงเดินอยู่กลางอากาศ รับสายลมและหิมะ เขาเดินผ่านภูเขาหิมะด้านล่างไปอย่างเงียบสงบ ผ่านที่ราบหิมะและยังมีป่าเขาที่ถูกปกคลุมด้วยสีขาว กระทั่งตรงหน้าเขาปรากฏป่าผืนหนึ่ง

ป่านี้เป็นสีขาวเพราะผืนดินถูกหิมะคลุม เพราะบนต้นไม้ก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาเช่นกัน เลยทับกิ่งไม้จนโค้งงอ คล้ายมาต้อนรับซูหมิง

หลังจากหิมะละลายในทุกปี ช่วงดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ ป่าผืนนี้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ ที่นี่ก็คือป่าดอกหมื่นลี้นั่นเอง…

จากช่องว่างระหว่างต้นไม้ จะเห็นว่ามีแสงไฟจากแต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านคุ้นตาของซูหมิง สีแสงไฟในยามค่ำคืนและหิมะนี้ พอมองแล้วจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ

ซูหมิงเผยรอยยิ้มบาง เดินย่ำหิมะไปทีละก้าวจนเกิดเป็นเสียงดัง ตรงหน้าเป็นเรือนธรรมดาหลังหนึ่ง แสงไฟลอดมาจากหน้าต่างเรือน และยังมีร่างเด็กหญิงตัวน้อยกำลังหวีผมอยู่

ใกล้จะหนึ่งปีแล้ว….ตั้งแต่ซูหมิงจากไปจนกลับมาก็เกือบจะหนึ่งปีแล้ว เวลานี้ ในวันที่ทุกคนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน ซูหมิงยืนอยู่นอกเรือน มองแสงไฟกับร่างเงาที่สะท้อนบนหน้าต่างพลางพึมพำเสียงเบา

“เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ พี่โก่วเซิ่งกลับมาแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!