Skip to content

สู่วิถีอสุรา 614

ตอนที่ 614 ลงโทษ

ช่วงนี้เฉียนเฉินกลัดกลุ้มยิ่งนัก คิดอะไรเรื่อยเปื่อยตลอดวัน ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนระมัดระวังตัว…

เดิมทีเขาไม่ใช่คนร่างกำยำอะไรอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ซูบผอมกว่าเดิม กระทั่งใบหน้ายังซีดเซียวขึ้นทุกวัน จิตใจเหม่อลอยบ่อยครั้ง แม้แต่คนรอบข้างพอเห็นเขาแล้วจะหน้าเปลี่ยนสีในทันที ก่อนรีบออกห่างราวกับเจอคนเลวโฉดชั่ว บางคนหลบไม่ทันก็จะหายใจไม่ทั่วท้องแล้วมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าเห็นอะไร

อย่างเช่นตอนนี้ มีศิษย์ฝ่ายทั่วไปใต้ยอดเขาสำนักวิญญาณอสูรสามคน พอเห็นเฉียนเฉินเดินโซเซมือกุมศีรษะมา พวกเขาต่างพากันตึงเครียดในทันที ขณะกำลังจะหลบโดยเร็วนั้น เฉียนเฉินก็เห็นสามคนนี้เข้าเสียก่อน

“หยุด!”

สามคนนี้ตัวสั่น หนึ่งในนั้นมีคนไม่หยุด แต่ยังคงกัดฟันวิ่งหนีไป ส่วนสองคนที่เหลือลังเลอยู่ชั่วครู่ ทว่าเฉียนเฉินจำใบหน้าเอาไว้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้หนีไป

“ศิษย์พี่เฉียน…” ชั่วขณะที่สองคนที่หนีไม่รอดมองเฉียนเฉินก็มีใบหน้าฝืดเฝื่อน น้ำเสียงยังสั่นๆ

“ศิษย์พี่เฉียนผู้มีความเมตตากรุณายิ่งใหญ่ ปล่อยพวกเราสองคนไปเถอะ ข้าสองคนซื่อสัตย์จริงใจกับศิษย์พี่เฉียน ศิษย์พี่เฉียนอย่าทำให้พวกข้ากลัวเลย…..”

“หุบปาก!” เฉียนเฉินถลึงตามอง หลังจากคลึงศีรษะแล้วก็ลดมือลง พบว่าบนศีรษะเขาตอนนี้มีโลหิตไหลลงมา และยังมีดินอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งล้มไปเมื่อไม่นานมานี้

เหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับดวงชะตาของตนในช่วงนี้ยิ่งนัก เฉียนเฉินเตะต้นไม้ข้างๆ ไปทีหนึ่ง ตัวเขาเองก็ไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดต้นไม้ใหญ่นั้นกลับเอนล้มลงมาทางเขากับสองคนนั้น

ภาพนี้ทำให้เฉียนเฉินอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนรีบถอยไปอย่างเร็วด้วยความปราดเปรียวเพื่อหลบต้นไม้นั้น ทว่าก็ถูกกิ่งไม้เกี่ยวอาภรณ์จนอยู่ในสภาพย่ำแย่ พอมองอีกสองคน ยามนี้ใช้ความเร็วสูงสุดหนีไปไกลแล้ว ไม่ว่าเฉียนเฉินจะเรียกอย่างไรก็ไม่หันมามองอีก

“อย่าหันไปเด็ดขาด ตอนนี้เฉียนเฉินดวงซวย ไม่ใช่แค่ตัวเขา คนรอบข้างก็ซวยตามไปด้วย!”

“จริงดังว่า เมื่อวานเสี่ยวลิ่วอยู่กับเขา สองคนดันตกไปในโพรงน้ำแข็งพร้อมกัน ว่าแต่ที่นี่มีโพรงน้ำแข็งตั้งแต่เมื่อไรกัน!”

“ข้าก็ได้ยินมาว่าหลายวันก่อนเฉียนเฉินไปหาสตรีปรนนิบัติ ระหว่างทางล้มติดกันสิบเก้าครั้ง จากนั้นเขาก็ไม่กล้าเดินบนถนนอีก เพราะกลัวว่าจะหกล้มจนตาย….”

“นี่ยังไม่เท่าไร ข้าจะบอกให้ ข้าเห็นกับตาว่าตอนเฉียนเฉินดื่มน้ำก็เกือบจะสำลักตายด้วย ผิดปกติแล้ว…..”

คำพูดแบบนี้ค่อยๆ แพร่กระจายอยู่ใต้ยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร เริ่มมีคนรู้เยอะขึ้น เฉียนเฉินเป็นตัวซวย จุดที่เขาผ่าน…จะมีแต่คนหนี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

เฉียนเฉินหน้าขาวซีดยิ่งนัก นั่งหดตัวอยู่ในโอ่งพลางเหม่อมองท้องฟ้า เขาคิดอยู่ว่าตนทำผิดต่อไท่ซุ่ย (เทพของจีน)หรือไม่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเหตุใดถึงเจอกับเรื่องซวยตลอดครึ่งเดือนกว่า

ทุกอย่างมันเริ่มจากเขาเดินไปหาสตรีปรนนิบัติ ระหว่างทางเขาไม่ได้ล้มสิบเก้าครั้ง แต่ล้มสามสิบเจ็ดครั้ง…กระทั่งล้มจนตัวสั่นไปหมดและสีหน้าตื่นตระหนก จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าหากเดินต่อไปอีกตนคงจะเป็นศิษย์ของสำนักวิญญาณอสูรคนแรกที่ลื่นล้มจนตาย

จากนั้นมาไปไหนมาไหนจะระวังล้มอย่างมาก ทั้งยังระวังโพรงน้ำแข็ง…..ครั้นนึกถึงโพรงน้ำแข็ง เฉียนเฉินก็ยิ้มเจื่อน….

เขายังจำได้อีกว่าเร็วๆ มานี้ขณะกำลังดื่มน้ำก็เกือบสำลักตาย ฉะนั้นตอนดื่มน้ำจึงตื่นตัว ตอนกินข้าวก็ต้องสังเกตให้ดีก่อนแล้วถึงจะกล้ากิน เพราะครั้งก่อนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพอกินเสร็จแล้วถึงเกือบถูกวางยาพิษตาย…

“บัดซบ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เฉียนเฉินมองโอ่งเล็กที่ตนอยู่แล้วก็อยากจะร้องไห้อย่างไร้น้ำตา เขานึกถึงไปโพรงน้ำแข็งที่พอร่วงลงมาแล้วก็เข้ามาอยู่ในโอ่งเล็กนี้ และมันดันเป็นของวิเศษพอดี จึงขังเขาเอาไว้ข้างใน

ไม่นานเขาก็เห็นว่ามีคนเดินผ่านมาจึงร้องเรียกและข่มขู่ ถึงจะมีคนมาช่วยดึงออก พอออกมาแล้วเฉินเฉียนก็กำลังจะเหวี่ยงมือไปมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความอึดอัดใจ ชั่วขณะที่จะกระทืบเท้าระบายอารมณ์ เท้าเพิ่งยกขึ้นก็กลับวางลงเบาๆ และช่วงที่กำลังจะหมุนตัวเดินจากไปนั้น…

มีแสงกระบี่ตรงมายังเฉียนเฉินจากที่แห่งหนึ่งภายในสำนักฝ่ายนอก เขาตกใจจนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ชั่ววินาทีเป็นตาย แสงกระบี่แทบจะเฉียดส่วนเอวของเขาแล้วไปตกอยู่บนก้อนหินภูเขา

จากนั้นก็มีสายรุ้งยาวบินเข้ามา ในสายรุ้งนั้นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้มีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างมาก พอบินมาแล้วก็เก็บกระบี่ มองเฉียนเฉินที่ตัวสั่นและตะลึงงันแวบหนึ่ง ใจคิดอยากจะไป แต่ก็รู้สึกว่าควรพูดอะไรบ้าง

“เจ้ารีบไปเถอะ…” เฉียนเฉินมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ข้า…..”

“ข้ารู้ว่าไม่ใช่ความผิดเจ้า กระบี่เจ้าเสียการควบคุมและบินมาเอง…..” เฉียนเฉินมีสีหน้าสิ้นหวัง

“เอ่อ…..ศิษย์พี่ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เด็กหนุ่มตะลึงงัน เพราะนี่เป็นความจริง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็บินจากไป

“ข้ารู้ว่ามันเป็นอย่างนี้….” เฉียนเฉินเอนตัวล้มลงข้างๆ ด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาใกล้จะบ้าแล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“วันนี้ควรจะจบได้แล้ว” เฉียนเฉินมองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง ขณะยิ้มเฝื่อนกำลังจะยืนขึ้น ศิษย์ที่ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากโอ่งในโพรงเมื่อครู่ ตอนนี้ก็หายไปแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังล้างมือและอ้อนวอนต่อบรรพบุรุษให้ปกป้องตนอยู่ที่ใด

ทว่ายังไม่ทันยืนขึ้นก็มีเสียงเย็นชาแว่วมาจากท้องฟ้า

“เฉียนเฉิน เจ้ามาทำอะไรตรงนี้!”

คนที่กล่าวเป็นหญิงชรา นางไม่ใช่คนในหอเล็กสองชั้น แต่เป็นผู้อาวุโสอีกคนจากสำนักฝ่ายนอก มีสายเลือดร่วมกับเฉียนเฉินเล็กน้อย

ครั้นเฉียนเฉินได้ยินดังนั้นก็รีบยืนขึ้น มีสีหน้าเคารพโดยจิตใต้สำนึก ทว่าวินาทีที่ยืนขึ้น กางเกง…กลับถกลงมา รวมถึงกางเกงครึ่งล่างทั้งหมดด้วย เฉียนเฉินพลันอึ้งงันอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น

หญิงชราก็ตะลึงงันเช่นกัน จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ใบหน้ามืดทะมึน มองเฉียนเฉินแวบหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจากไปโดยไม่กล่าวใดๆ

เฉียนเฉินล้มลงกับพื้นอีกครั้ง เขาเหม่อมองฟ้า ในความคิดขาวโพลน

‘ไม่ถูกต้อง นี่มันไม่ถูกต้อง! ข้าต้องไปล่วงเกินใครสักคนอย่างแน่นอน…’ ผ่านไปพักใหญ่ เฉียนเฉินก็ดึงกางเกงขึ้นขณะยังตัวสั่น ยามนี้เขาไร้เรี่ยวแรง เหมือนชราภาพขึ้นมาก ขณะเดียวกันก็นึกย้อนไปก่อนเหตุการณ์ซวยครั้งแรกว่าไปล่วงเกินใครมา

หากเป็นเขาในเวลาอื่นจะไม่คิดมากขนาดนี้ เพราะคนที่เขาล่วงเกินมีเยอะจริงๆ แต่ก่อนเหตุการณ์ซวยครั้งแรก ในใจเขาคุกกรุ่นไปด้วยความโกรธเพราะเรื่องซูหมิงเลยไม่มีเวลาไปสนใจใครอื่นเลย หากบอกว่ามีคนที่ล่วงเกินจริงๆ ก็มีเพียงซูหมิงเท่านั้น

‘เฉินซู…..’ เฉียนเฉินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าใช่ โดยเฉพาะนึกถึงความนิ่งสงบของอีกฝ่าย ยามนี้ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ เขาพลันยืนขึ้น มือข้างหนึ่งจับกางเองเอาไว้พลางวิ่งไปทางเรือนพักอาศัยของซูหมิงอย่างรวดเร็ว

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่นอกเรือน ในมือมีเส้นผมผูกเอาไว้สิบปม เส้นผมนี้ถักรวมกันเป็นลักษณะคนตัวเล็ก อีกทั้งตรงหน้าซูหมิงยังมีวัชพืชอยู่เล็กน้อย เขากำลังเอาวัชพืชเหล่านี้เสริมเข้ากับการสาน ไม่นานตุ๊กตาสานจากวัชพืชก็ปรากฏในมือ

‘สิบปม ในทุกปมจะมีพลังคำสาปเบาบางแฝงเอาไว้ คำสาปนี้จะไม่เอาถึงชีวิต แต่จะทำให้บุคคลนั้นมีชีวิตที่ไม่ราบรื่น…’ ซูหมิงมองตุ๊กตาในมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม หลังจากผิดพลาดมาหลายครั้ง ในที่สุดการทดสอบครั้งนี้ก็สำเร็จ ทำให้มีความมั่นใจในการควบคุมหญิงชราในหอสองชั้นมากยิ่งขึ้น

‘เจ้ากับข้าไม่ได้มีความแค้นอะไรมากนัก ข้าจะไม่ผูกปมที่สิบเอ็ดให้กับเจ้า มิเช่นนั้นแล้วเรื่องซวยเหล่านี้จะเอาถึงตายได้’ ซูหมิงเงยหน้ามองทอดไกลแวบหนึ่ง สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่นานก็ปรากฏร่างเงาเฉียนเฉินบนพื้นหิมะห่างไกล เพิ่งเดินมาไม่กี่ก้าวก็หกล้ม ก่อนวิ่งมาทั้งๆ ศีรษะแตกและมีโลหิตไหล ระหว่างทาง…..ก็หกล้มอีกเจ็ดแปดครั้ง จนวิ่งมาอยู่ห่างจากซูหมิงหลายจั้งแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง

“ท่านไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ให้โอกาสข้าอีกครั้ง ไว้ชีวิตด้วย”

เฉียนเฉินอยู่ในสภาพย่ำแย่ ตลอดทางมานี้เขาหกล้มหลายสิบครั้งและทุกครั้งก็เกือบตาย นี่จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไร โดยเฉพาะยามนี้มองซูหมิง พอเห็นตุ๊กตาหญ้าในมืออีกฝ่ายแล้ว หัวใจพลันเต้นตึกๆ

เฉินเฉียนร่ำไห้ น้ำตารินไหล เขาโขกศีรษะตรงหน้าซูหมิงไม่หยุดและร้องอ้อนวอน เขามั่นใจแล้วว่าทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่าย พอนึกว่าหลังจากนี้เขาอาจยังต้องใช้ชีวิตน่าสะพรึงเช่นนี้ต่อไป กระทั่งตอนนอนยังมีโอกาสถูกอุดจมูกตาย เขาก็ยิ่งเกิดความกลัวต่อซูหมิงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกับผู้อาวุโสในสำนักวิญญาณอสูร

“จากนี้ไป หากข้าไม่เรียก พวกเจ้าห้ามเข้ามาที่นี่” ซูหมิงกล่าวเนิบๆ

กล่าวจบเฉียนเฉินรีบพยักหน้าทันทีด้วยสีหน้าน่าสงสาร ในใจยังตื่นตะลึง การยอมรับของอีกฝ่ายสลายความสงสัยสุดท้ายในใจเขาไป ยามนี้มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นในใจเขา

‘ตลอดยี่สิบปีมานี้ ในที่สุดข้าก็เจออันดับหนึ่งในตารางรายชื่อบุคคลผู้ห้ามล่วงเกินของข้า!’ ตอนที่เฉียนเฉินจัดอันดับรายชื่อบุคคลห้ามล่วงเกิน ก็เคยวาดฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะมียอดฝีมือผู้อาวุโสปลอมตัวเป็นศิษย์ธรรมดาเข้ามาในฝ่ายภูเขา จากนั้นถึงมาพบกับตนโดยบังเอิญ

เพียงแต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้จริงๆ…

ซูหมิงยกมือขวาตบตุ๊กตาหญ้าหนึ่งที ตุ๊กตาพลันกลายเป็นควันดำต่อหน้าต่อหน้าเฉียนเฉินในทันที ควันดำส่งเสียงดังโครมแล้วค่อยๆ สลายหายไป ในวินาทีนั้นเอง เฉียนเฉินไม่รู้ว่าคิดเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นไม่น้อย

สายตาที่มองซูหมิงมีความหวาดกลัวอยู่ อีกทั้งยังมีความเคารพยำเกรงเพิ่มเข้ามา

“ไปเถอะ หากข้าไม่เรียกก็ห้ามเข้ามา” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบนิ่ง

เฉียนเฉินจึงรีบขานรับแล้วจากไปอย่างเร็วรี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!