ตอนที่ 616 พบพาน
ช่วงที่ซูหมิงผูกปมที่สิบเอ็ด โลกทั้งใบตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ปานกระจกแตก เศษทุกชิ้นล้วนมีภาพหญิงสาวมองตนด้วยความเศร้า หญิงสาวผู้นี้งดงามอย่างยิ่ง นางค่อยๆ ไกลออกไปขณะโลกพังทลายลง
จนกระทั่งข้างกายซูหมิงกลายเป็นพื้นหิมะสีขาว เรือนพักอาศัยหลังเตี้ย และยังมีวัชพืชบนพื้นอีกครั้ง…..
โลกของเขาก็กลับมาปกติ กลับมาอยู่ใต้ยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาส่วนกลางของสำนักวิญญาณอสูร ในหอสองชั้นถูกหมอกดำโอบล้อม เด็กสาวจากร่างหญิงชราตัวสั่น หน้าซีดขาวพลางกัดฟันต่อต้าน
ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเส้นผมสีขาวมายารอบตัวผูกปมที่สิบเอ็ด!
ปมที่สิบเอ็ดนี้ทำให้เสียงที่กึกก้องในจิตวิญญาณเด็กสาวดังกว่าเดิมอีกหลายเท่า ก่อนมีเสียงระเบิดดังด้านในราวกับสร้างขึ้นเป็นกฏเกณฑ์บางอย่าง สุดท้าย…ก็ผนึกอยู่ข้างในนั้น!
“ข้าคือเจ้านายของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งของข้า!” เด็กสาวตัวสั่น กระอักเลือดมาหนึ่งกอง ทว่าวินาทีที่นางกระอักเลือด หมอกดำโดยรอบพลันตรงมาหา พริบตาเดียวหมอกดำก็หายไป เพราะมันมุดหายเข้าไปในร่างนางทั้งหมด
จากนั้นเส้นผมมายาสิบเอ็ดปมรอบๆ ก็หายไปเช่นกัน ราวกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ยามนี้บนใบหน้าซีดขาวของเด็กสาวกลับเป็นสัญญาณบ่งบอกชัดเจนว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
‘คนผู้นี้เป็นใครกันแน่!’ เด็กสาวหลับตาลง นางแพ้แล้ว แพ้อย่างหมดรูป และแพ้ในด้านวิชาแขนงที่นางเชี่ยวชาญที่สุด!
จนถึงตอนนี้นางยังไม่เห็นหน้าตาฝ่ายตรงข้าม ภาพมายาที่นางสร้างให้กับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้สร้างขึ้นจากวิชาของนาง หากนางทำให้ฝ่ายนั้นตกอยู่ในบ่วงสำเร็จ นางก็จะเห็นหน้าตาและทำให้คนผู้นั้นกลับมาเป็นทาสรับใช้ตนได้!
ทว่านางพ่ายแพ้…เด็กสาวมีสีหน้าขมขื่น นางเข้าใจความหมายจากคำพูดของอีกฝ่ายที่อยากประทับตราในจิตวิญญาณนาง ตนในยามนี้ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว นี่ไม่ใช่การแข่งขันตัวอักษร นี่คือการประทับจิตวิญญาณด้วยประโยคหนึ่ง
นางรู้ว่าแม้ตนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทว่าฝ่ายนั้นต้องมาหาแน่นอน
การประมือที่ไม่มีการปะทะกันครั้งนี้คือการต่อสู้อีกแบบหนึ่งระหว่างวิชาดูดวิญญาณของเด็กสาวกับวิชาแห่งปมหญ้าของซูหมิง เหมือนกับพายุโหมกระหน่ำแห่งจิตใจที่ถาโถมใส่กายใจทั้งสองคน
ยามนี้หลังจากผูกปมที่สิบเอ็ด การต่อสู้ก็จบลง
ราคาเมื่อจบลงไม่ใช่ความตาย แต่จะถูกควบคุมวิญญาณ
บนพื้นหิมะใต้ยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ซูหมิงลืมตาขึ้น ในมือถือเส้นผมสีขาว สิบเอ็ดปมด้านบนถูกเขาถักขึ้นเป็นคนเล็กตัวหนึ่ง นัยน์ตาซูหมิงเหนื่อยล้า การต่อสู้เมื่อครู่อันตรายกว่าที่เขาคิดไม่น้อย เขาต้องยอมรับว่าดูถูกหญิงชราคนนั้น หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่าดูถูกเด็กสาวจากร่างหญิงชรามากไป
‘วิชาดูดวิญญาณของบุคคลนี้ถึงระดับส่งผลต่อความทรงจำแล้ว…หากนางก้าวหน้าไปอีกขั้น ผลการต่อสู้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย หยิบหญ้าข้างๆ ขึ้นมาแล้วถักอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาในมือก็มีตุ๊กตาหญ้าตัวหนึ่ง
ข้างในตุ๊กตาเป็นเส้นผมสีขาวสิบเอ็ดปม เมื่อถักตุ๊กตาเสร็จ ซูหมิงก็กวาดสายตามองไป เขารู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของอีกฝ่าย
“คนผู้นี้ไม่ได้เสียสติปัญญา นางเพียงฟังคำสั่งจากผู้ถือตุ๊กตา นี่คือเรื่องที่จิตวิญญาณของนางไม่อาจต่อต้านได้”
ซูหมิงมองฟ้าอยู่ชั่วครู่ก่อนเก็บตุ๊กตาไป แล้วหลับตานั่งฌานฝึกฝนตรงนี้ หลังจากเขามาที่นี่ก็ฝึกจิตใจสงบไม่กี่ครั้ง ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ลมในฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามา ในที่สุดซูหมิงก็จิตใจสงบลงได้ และนั่งฌานคอยวันพรุ่งนี้มาเยือน
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแสงตะวันยามเช้าลอดลงมายังพื้นดิน ทำให้หิมะบนพื้นสะท้อนแสงสว่างจ้า ซูหมิงลืมตา ยืนขึ้นแล้วจัดระเบียบอาภรณ์ จากนั้นก็เดินไกลออกไปอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งมาถึงนอกวิหารใหญ่ที่ดูแลฝ่ายทั่วไป
พบว่าเฉียนเฉินที่มีสีหน้าดุกำลังชี้คนฝ่ายทั่วไปซึ่งคอตกหลายคนตรงหน้า และว่ากล่าวไม่หยุดจนน้ำลายกระเด็น แต่ฝ่ายทั่วไปเหล่านั้นไม่กล้าหลบ เพียงขานรับไม่หยุด
ยามนี้เฉียนเฉินมีสีหน้าลำพองใจ ต่างกับตอนอยู่กับซูหมิงก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ซูหมิงมองเฉียนเฉินแวบหนึ่งก่อนกระแอมเสียงหนึ่งที
ช่วงที่เสียงกระแอมเข้าถึงหูเฉียนเฉิน เสียงว่ากล่าวพลันหยุดชะงัก เขาตัวสั่นพร้อมกับหันมามองแวบหนึ่ง พอเห็นซูหมิงแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเอาใจอย่างไม่ลังเล รีบวิ่งเข้ามาหา พอหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วก็แทบจะคุกเข่าลงกราบไหว้
“ข้าน้อยคารวะศิษย์พี่เฉิน ศิษย์พี่มีเรื่องอะไรบอกมาได้เลย ไม่ว่าข้าน้อยจะทำได้หรือไม่ จะไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด!”
ท่าทางของเขาเช่นนี้ทำให้ฝ่ายทั่วไปหลายคนที่เพิ่งถูกว่ากล่าวไปเบิกตากว้าง มีสีหน้ามึนงง
“เอาตราไปสำนักฝ่ายนอกมาให้ข้า” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เขาต้องการตรานั้น เพราะในสำนักวิญญาณอสูรยิ่งขึ้นไปสูงผนึกจะยิ่งเยอะ หากไม่มีตราก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากก็ง่ายขึ้นมาก
เฉียนเฉินได้ยินดังนั้นก็ตบหน้าอก หยิบตราคำสั่งสีเงินมาจากอกเสื้อ ก่อนมอบให้ซูหมิงอย่างนอบน้อม
“ศิษย์พี่เฉิน ตรานี้อย่ามองว่ามันเป็นเพียงสีน้ำเงิน เพราะนี่คือตราสูงสุดในฝ่ายทั่วไปแล้ว หากถือตรานี้กระทั่งสำนักฝ่ายในยังเข้าไปได้เลย ทว่า…จะถูกขวางอยู่หน้าซุ้มประตูภูเขาฝ่ายใน ต้องให้คนในสำนักฝ่ายในเรียกถึงจะเข้าไปได้”
ซูหมิงรับตรามาแล้วก็พยักหน้าให้เฉียนเฉิน
เฉียนเฉินจิตใจสั่นสะท้าน ซูหมิงพยักหน้าให้เขา สำหรับเขาแล้วนี่คือการยอมรับอันยิ่งใหญ่ที่สุด เขาเลยตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
ซูหมิงไม่สนใจเฉียนเฉิน พอรับตราแล้วก็หมุนตัวจากไป
จนกระทั่งซูหมิงเดินไกลออกไป เฉียนเฉินก็ยังยืนส่งด้วยความเคารพอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าลำพองใจอีกครั้ง สะบัดมือไปทางฝ่ายทั่วไปหลายคน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีขึ้นมากจึงปล่อยพวกเขาไป
ซูหมิงเดินอยู่บนบันไดภูเขาสำนักวิญญาณอสูร สองข้างทางเป็นรูปปั้น มีวิญญาณชั่วร้ายวนเวียน ทว่ากลับไม่กล้าเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย เขาเดินขึ้นไปทีละก้าว ไม่เลือกลักลอบเข้าไปในยามค่ำคืน แต่เข้าไปในยามเช้าตรู่แทน
เพราะมีตราสีน้ำเงินอยู่ ขณะซูหมิงเดินผ่านผนึกที่ซ่อนอยู่ระหว่างทาง ตราสีน้ำเงินก็ขยับแสงวิบวับ เขาจึงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งเข้ามาใกล้หอสองชั้นและก็เป็นทางแยกของวิหารถามใจ ซูหมิงถูกศิษย์สำนักฝ่ายนอกที่ยืนอยู่สองคนขวางเอาไว้
ศิษย์สองคนนั้นมีสีหน้าเฉยชา ดวงตาเย็นชาราวกับไม่มีอารมณ์ใดๆ ยามนี้จ้องซูหมิงแต่ก็ไม่กล่าวอะไร เพียงขวางทางเอาไว้เท่านั้น
ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา ทำแค่โยนตราสีน้ำเงินให้สองคนนั้นไป
“เฉินซูแห่งใต้ยอดเขา รับคำสั่งให้มาวิหารถามใจ”
หนึ่งในศิษย์สำนักฝ่ายนอกผู้เย็นชาสองคนรับตราเอาไว้แล้วขมวดคิ้วมองซูหมิงแวบหนึ่ง เขาไม่ได้รับคำสั่งว่าจะมีคนใต้ยอดเขามา แต่พอเห็นตราสีน้ำเงินแล้วก็ไม่ว่าอะไรอีก จากนั้นหมุนตัวเดินไปยังวิหารถามใจ
ณ วิหารถามใจ ในหอสองชั้น ยามนี้เด็กสาวกำลังนั่งฌานสมาธิอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เดิมทีนางคิดว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวยามค่ำคืน แต่รอมาคืนหนึ่งแล้วกลับไร้เงา ยามนี้ฟ้าสว่าง ดูแล้วอีกฝ่ายคงกลัวที่จะปรากฏตัวยามกลางคืนกระมัง
ขณะนางกำลังขมวดคิ้วด้วยความว้าวุ่นใจก็มองไปนอกหอ
ไม่นานก็มีเสียงแว่วมาจากนอกหอด้วยความเคารพ
“เรียนท่านประมุขวิหาร เฉินซูศิษย์ใต้ยอดเขามาขอพบขอรับ”
เด็กสาวว้าวุ่นใจยิ่งนัก ช่วงที่ได้ยินคำว่าเฉินซู ในความคิดนางลอยขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มท่าทางซื่อบื้อเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้นคนผู้นี้ถูกส่งไปที่ใดนางไม่ได้สนใจ พอมาได้ยินตอนนี้ก็รู้เลยว่าอยู่ฝ่ายทั่วไป เด็กสาวไม่คิดอะไรมาก พลันตะโกนบ่นว่าเสียงดัง
“ฝ่ายทั่วไปคนเดียวมาขอพบ เจ้ายังต้องมาถามอีกหรือ หากวันหนึ่งมีฝ่ายทั่วไปหลายสิบคนมาขอพบ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องมาถามข้าหลายสิบรอบเลยรึ!”
ศิษย์นอกหอมีสีหน้าเก้ๆ กังๆ ทั้งยังมีความกลัวอยู่น้อยๆ เขารีบคุกเข่าขานรับ ในใจนึกแค้นซูหมิง พอยืนขึ้นเตรียมออกไปเพื่อตัดสินใจว่าจะจัดการอีกฝ่ายอย่างไรดี ก็มีเสียงสตรีแว่วมาจากด้านหลังอีกครั้ง
“รอเดี๋ยว เจ้าคนผู้นี้บอกหรือไม่ว่าเหตุใดมาขอพบ?” ในหอสองชั้น เด็กสาวพลันใจสั่นไหว แม้นางจะรู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อยและไร้สาระก็ตาม ทว่ายังคงถามออกไป
“เรียนท่านประมุขวิหาร บุคคลนี้บอกว่ารับคำสั่งจากท่านให้มาที่นี่ มิเช่นนั้นแล้วศิษย์คงจะไม่เข้ามาถาม…” ศิษย์สำนักอสูรมีสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนเล็กน้อย
นัยน์ตาเด็กสาวพลันเป็นประกาย ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วก็กล่าวออกไป
“ให้เขาเข้ามา!”
ศิษย์สำนักฝ่ายนอกอึ้งงัน แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่กล้าเผยออกมาให้เห็น ในใจยังนึกสงสัยซูหมิงและเก็บความคิดที่จะแก้แค้นไว้ ก่อนรีบเดินไปทางซุ้มประตูภูเขานอกวิหารถามใจ
ไม่นานนัก ซูหมิงก็มาถึงที่นี่อีกครั้งภายใต้การนำทางของศิษย์ฝ่ายนอก เขามีสีหน้านิ่งเฉยตลอดทาง มองพืชดอกที่เติบโตในความหนาวรอบๆ พลางรู้สึกถึงพลังฟ้าดินอันเข้มข้นของที่นี่ จนกระทั่งมาถึงนอกหอสองชั้น ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรข้างๆ ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอยไปหลายก้าวแล้วยืนนิ่ง
“เจ้าลงไปเถอะ” เสียงเด็กสาวแว่วมาจากในหอสองชั้น น้ำเสียงเย็นชายิ่งนัก ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรได้ยินดังนั้นก็ขานรับในทันที ก้มหน้าลงแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขาไป ทั้งในและนอกหอก็เหลือเพียงซูหมิงกับเด็กสาว
“ข้าไปออกคำสั่งเรียกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร!” ครู่ต่อมาก็มีเสียงหึเย็นชาและหงุดหงิดใจแว่วมาจากในหอสองชั้น
ซูหมิงมีสีหน้านิ่งสงบ มองหอแวบหนึ่งแล้วกล่าวเนิบช้าว่า
“พบข้าแล้วยังไม่ออกมาคารวะอีกรึ!”
คำพูดนี้ปานหินระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวกลางหูของเด็กสาว!