Skip to content

สู่วิถีอสุรา 617

ตอนที่ 617 ภัยพิบัติหมาน

“เจ้า!” เด็กสาวในหอสองชั้นเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ ทั้งยังยืนขึ้น ร่างไหววูบคราหนึ่งก็มาปรากฏอยู่นอกหอแล้ว

นางมองซูหมิง ไม่อาจปิดซ่อนความตื่นตะลึงในดวงตา ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ตนพ่ายแพ้อย่างหมดรูปจะเป็นเด็กหนุ่มนามเฉินซูจริงๆ!

ควรรู้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนนางยังเคยลงมือด้วยตัวเอง เพื่อดูว่าเด็กหนุ่มคนนี้เกี่ยวข้องกับการตายของจ้าวชงหรือไม่ ทว่ากลับไม่เกี่ยวข้องใดๆ เลย เขาคนนี้ธรรมดาอย่างยิ่ง สติปัญญาก็ธรรมดา ในร่างกายไม่มีคลื่นพลังใดๆ ทั้งสิ้น

ทว่ายามนี้…ช่วงที่เด็กหนุ่มมายืนอยู่ตรงหน้า นางพลันเข้าใจว่าเมื่อหลายเดือนก่อนตนก็เคยพ่ายให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง…

หากแต่นางยังไม่ยอมเชื่อว่ามันเป็นความจริง นางเคยใคร่ครวญว่าคนที่ประทับเสียงในจิตใจนางเป็นใคร ในความคิดนาง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นตาแก่ยอดฝีมือบางคน หรืออาจเป็นคนรู้จักในสำนักฝ่ายในจงใจปลอมเสียงมา

นางนึกถึงอยู่หลายคนมาก มีเพียงเฉินซูคนเดียวที่ไม่ชำเลืองตามองแม้แต่น้อย นี่คือบุคคลที่อยู่เหนือการคาดเดาของนางอย่างสมบูรณ์แบบ!

ยามนี้นางมองซูหมิงอย่างอึ้งงัน มองเด็กอายุเพียงสิบสองสิบสามปี ยังมีสีหน้าที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและสงบนิ่ง คำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งจะทำได้

“เจ้า…เป็นใคร!” เด็กสาวหายใจกระชั้น ผ่านไปพักหนึ่งก็กลับมาปกติดังเดิม มองซูหมิงด้วยความสับสน

“เฉินซู” ซูหมิงกล่าวอย่างเนิบช้า

“เจ้าฆ่าจ้าวชง!” เด็กสาวมีสีหน้าสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ

พอซูหมิงไม่กล่าวคำ เด็กสาวก็เงียบงัน โดยรอบจึงเงียบลงมากในพริบตา มีเสียงสายลมเบาๆ ดังวนเวียน

ผ่านไปพักใหญ่เด็กสาวก็ฝืนยิ้มพลางประสานมือคารวะซูหมิงอย่างเคารพ

“คารวะนายท่าน…”

“เจ้ามีนามว่าอะไร” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ

“เป่าชิว…” เด็กสาวลอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ ครั้นตอบไปแล้วใบหน้านางก็ค่อยๆ เปลี่ยน สุดท้ายกลับมาเป็นหญิงชราดังเดิม นางไม่ต้องหยั่งเชิงอะไรแล้ว ทุกคำพูดของอีกฝ่าย ตนไม่อาจปฏิเสธจากส่วนลึกของจิตวิญญาณได้เลย จำต้องพูดความจริงเท่านั้น นี่จึงทำให้นางเข้าใจว่าคนที่ตนประมือด้วยเมื่อวาน นอกจากเฉินซูตรงหน้านี้แล้วก็ไม่น่าจะมีใครอื่นอีก

“เป่าชิว ข้าจะไม่ขังเจ้าไว้ชั่วชีวิต…” ซูหมิงมองหญิงชรา ไม่ได้เกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ ต่อการเปลี่ยนใบหน้าของนาง เหมือนกับว่าจะเป็นหญิงชราหรือหญิงงดงาม สำหรับเขาแล้วล้วนเหมือนกันหมด

“พลังฟ้าดินที่นี่เข้มข้น ข้าอยากใช้ที่นี่รักษาอาการบาดเจ็บ อีกไม่กี่ปีข้าก็จะจากไป แล้วคืนอิสระให้กับเจ้า!” ซูหมิงกล่าว เขาไม่สนใจหญิงชราอีก แต่เดินเข้าไปในหอแทน

“ฐานะของข้าตอนนี้คือฝ่ายทั่วไปใต้ยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร แต่ข้าต้องอยู่ที่นี่ในระยะยาว เรื่องนี้เจ้าไปจัดการด้วย” ซูหมิงเดินเข้าไปในหอแล้วส่งเสียงออกคำสั่ง

เป่าชิวเงียบงันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ เรื่องนี้ง่ายยิ่งนักสำหรับนาง แค่นางบอกว่าจะให้เฉินซูมาเป็นนักการรับใช้ที่นี่ก็ได้แล้ว อีกทั้งยังไม่มีใครสงสัยอะไรด้วย

ชั้นหนึ่งของหอแห่งนี้ ซูหมิงมายืนมองรูปปั้นสตรีด้านบนฐานดอกบัวตรงหน้า มองไปมองมาในความคิดก็ลอยขึ้นเป็นภาพลวงในจิตก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ส่ายศีรษะแล้วเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นห้องนอนของสตรีคนหนึ่ง มันอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิหลับตาลง และตกอยู่ในห้วงฌานสมาธิ

เมื่อเขาโคจรขั้นพลังในกาย พลังฟ้าดินเข้มข้นโดยรอบรวมเข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวเขาแล้วค่อยๆ ถูกสูบไป ขณะเดียวกันก็ยังรักษาอาการบาดเจ็บ เริ่มเข้าสู่เส้นทางการฟื้นขั้นพลังสู่จุดสูงสุด

เวลาผ่านไปทีละวัน ภายใต้การจัดการของเป่าชิว เรื่องเกี่ยวกับซูหมิงในฝ่ายทั่วไปใต้ยอดเขาเลยไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรเลย รู้เพียงว่าท่านเป่าชิวแห่งวิหารถามใจต้องการนักการทำงานเบ็ดเตล็ดคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องเล็กแบบนี้จึงไม่มีใครไปสนใจ

มีเพียงเฉียนเฉินที่จะร้องทอดถอนใจอยู่ภายในใจเป็นบางครั้ง

ฤดูหนาวค่อยๆ ผ่านไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานประลองของสำนักฝ่ายนอกหรือฝ่ายในก็จบสิ้นลงแล้ว

พวกเขาเริ่มเตรียมตัวและฝึกฝนสำหรับงานประลองใหญ่ในปีหน้าต่อไป

ซูหมิงมาอยู่ที่นี่ก็สงบลงอย่างที่พบเห็นได้ยาก ไม่มีใครมารบกวนเลยฝึกฝนได้อย่างสงบ อีกทั้งข้างนอกยังมีคนเฝ้าระวังให้เป็นพิเศษ นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ในด้านเม็ดยาหรือสมุนไพร ขอแค่ซูหมิงร้องขอ เป่าชิวก็จะจัดการให้ด้วยความขมขื่นในใจ

เวลาผ่านไปทีละเดือน ช่วงที่ฤดูฝนมาถึง เป่าชิวก็พบเรื่องที่ซูหมิงสร้างความตื่นตะลึงให้กับนางอย่างรุนแรง

นางจำได้แม่นว่าซูหมิงเมื่อครึ่งปีก่อน แม้นางจะใช้ขั้นวิญญาณหมานตอนกลางอ่านระลอกคลื่นพลังไม่ออก ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงอันตราย ราวกับว่าเป็นน้ำใสสะอาด

แต่พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกที่ซูหมิงมอบให้กลับต่างจากตอนนั้นโดยสิ้นเชิง

อีกฝ่ายในตอนนี้แม้กำลังนั่งฌานอย่างสงบนิ่ง แม้ยังมองขั้นพลังไม่ออก แต่วินาทีที่ซูหมิงลืมตากลับสร้างความตื่นตระหนกให้กับเป่าชิวอีกครั้ง รู้สึกหนาวเหน็บทั้งตัวดุจดั่งอยู่ท่ามกลางความตาย ราวกับว่าต่อให้ไม่มีผนึกในจิตวิญญาณ เพียงแค่จิตใจแน่วแน่ของอีกฝ่ายนางก็ต้องพังพินาศตรงหน้าเขาแล้ว

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา และก็มีแค่ตอนที่ซูหมิงเพิ่งออกจากฌานสมาธิเป็นเวลานานแล้วเท่านั้นถึงจะเผยออกมา ทว่าความรู้สึกที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเป่าชิวนี้กลับเหมือนขมุกขมัวอยู่ในใจของนาง

นางเคยคาดเดาหลายครั้งว่าหากขั้นพลังเด็กหนุ่มคนนี้ฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้วจะอยู่ระดับใด…กระทั่งยังมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าเซียน เผ่าหมาน หรือหมานที่ปรับสายเลือดกันแน่…พอเวลาผ่านไป หลังจากความรู้สึกชั่วร้ายพริบตาเดียวนั้นปรากฏขึ้น นางก็เกิดความยำเกรงหยั่งลึกต่อซูหมิง ความเคารพยำเกรงนี้กระทั่งเทียบได้กับตอนนางเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณอสูร

ครึ่งปีมานี้นอกจากซูหมิงจะร้องขอบางอย่างแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรไร้สาระเลย เขาใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการฟื้นพลังและรักษา ในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมาพลังฟ้าดินของที่นี่ม้วนตลบเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าที่นี่กลายเป็นหลุมดำยักษ์สูบพลังฟ้าดินทั้งสำนักวิญญาณอสูรไป

หากเป็นที่อื่น ซูหมิงคงไม่มีทางยืนหยัดนานเช่นนี้ คงจะมีผู้แข็งแกร่งในสำนักเข้ามานานแล้ว ทว่าที่นี่เขาไม่ต้องกลัวเลย ต่อให้มีคนมาสอบถาม เป่าชิวก็จะบอกไปว่านั่งฌานฝึกฝน จึงขวางทุกคนที่จะเข้ามาได้และขจัดความสงสัยไป

ในเวลาครึ่งปี ขั้นพลังซูหมิงฟื้นคืนรวดเร็วอย่างยิ่ง บวกกับเม็ดยาจากเป่าชิว พลังจึงฟื้นมาแปดส่วนแล้ว!

เขาในยามนี้มีคุณสมบัติต่อสู้กับนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ กระทั่งหลังจากพลังถึงแปดส่วน ซูหมิงยังค้นพบสิ่งที่น่าตกใจคือ เขาในตอนนี้อยู่ในจุดสูงสุดตอนสู้กับตี้เทียนยามนั้นแล้ว!

ทว่าจุดสูงสุดในตอนนั้นเป็นเพียงแปดส่วนในตอนนี้ ความแกร่งอย่างชัดเจนนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับซูหมิงมากกว่าเดิม

ในขณะเดียวกัน ซูหมิงก็ค่อนข้างพอใจเป่าชิว สตรีคนนี้ปฏิบัติตามคำสั่งเขาทุกอย่าง ทั้งยังไม่รบกวนตนตอนนั่งฌานฝึกฝน แต่จะอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง

ครึ่งปีมานี้ซูหมิงมองออกนานแล้วว่าเป่าชิวต่างกับจ้าวชง สตรีผู้นี้มิใช่เผ่าหมานปรับสายเลือด เดิมทีนางไม่ใช่เผ่าหมาน แต่มาจากเผ่าเซียน!

‘อย่างมากสุดอีกสองปี ข้าจะบรรลุถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…และค่อยใช้พลังจุดสูงสุดทะลวงขั้นวิญญาณหมาน รวมเทวรูปหมานของตัวเองขึ้น ข้าก็จะมีโอกาสข้ามผ่านวิญญาณหมานตอนต้นและกลางไปจนถึงปลาย หรือกระทั่งก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…

หลังจากนั้นก็จะก้าวสู่การสร้างชะตา และจะกลายเป็นผู้สร้างชะตาในโลกนี้!

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ครึ่งปีมานี้เขากินเม็ดยาไปจำนวนมาก ซึ่งก็มาจากเป่าชิว

ยามนี้ขณะเขากำลังจะหลับตานั่งฌาน ทันใดนั้นก็มองไปทางบันได ไม่นานถึงมีเสียงฝีเท้าแว่วเข้ามา เป่าชิวไม่ได้ใช้ร่างหญิงชราอย่างพบเห็นได้ยาก นางมาในร่างเด็กสาวผู้งดงาม ค่อยๆ เดินเข้ามาแล้ววางยาสองขวดตรงหน้าซูหมิง

นางมีสีหน้าลังเลใจเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ขณะลังเลนี้ซูหมิงหลับตาไปแล้ว นางจึงหมุนตัวอย่างเงียบๆ เตรียมออกไป ทว่าเสียงซูหมิงดังมาจากด้านหลังเสียก่อน

“มีเรื่องอะไร พูดมา”

เป่าชิวหยุดชะงัก แล้วหันกลับมามองซูหมิง

“ข้าอยากเก็บเม็ดยาเอาไว้สักเล็กน้อย…”

ซูหมิงลืมตามองเป่าชิว

“อีกสามเดือนภัยพิบัติหมานจะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นทุกคนในสำนักจะมีอันตราย ไม่มีใครช่วยได้ ต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น….หากสำเร็จก็จะอยู่เผ่าหมานได้อีกห้าสิบปี หากล้มเหลว…ก็จะถูกลบทิ้งไป

ข้าเริ่มฝึกฝนมาหลายปีแล้ว สั่งสมเม็ดยาไว้จำนวนมาก เดิมทีอยากใช้เวลาครึ่งปีกว่านี้หลอมร่างแยกไว้ตายแทน…..ทว่าตอนนี้หลอมไม่ได้แล้ว ข้าเลยเตรียมจะปรับสมดุลขั้นพลังในสามเดือนนี้เป็นครั้งสุดท้าย…

ถึงตอนนั้นสำนักจะส่งหญิงแห่งโชคชะตามาช่วยพวกเรารับมือกับภัยพิบัติหมาน แต่ต่อให้มีหญิงแห่งโชคชะตาอยู่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดการสูญเสีย ความเสี่ยงสูงมากทีเดียว หวังว่านายท่านจะอนุญาต”

ซูหมิงเพ่งสายตามอง

“ภัยพิบัติหมาน? หญิงโชคแห่งชะตา?”

เป่าชิวอึ้งงัน หลังจากมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้ว นัยน์ตาก็พลันฉายแววประหลาดใจ

“ท่านเป็นเผ่าหมาน!” เป่าชิวหัวใจเต้นระรัว ตอนที่มองซูหมิงในใจตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่ซูหมิงมาเยือนจนถึงตอนนี้ นางเพิ่งมั่นใจในการคาดเดาอีกเล็กน้อย

“ท่านคงไม่รู้ สำหรับเผ่าเซียนที่มายังแดนหมานรวมถึงเผ่าหมานปรับสายเลือดจะมีภัยพิบัติอย่างหนึ่ง นั่นก็คือของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมาน!”

“เดิมทีในแดนรกร้างบูรพา เพียงแค่เผ่าเซียนเผยพลังมากกว่าจุดวิกฤต ของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมานก็จะปรากฏตัวแล้ว…ทว่าด้วยอภินิหารของท่านจี๋อั้น เลยปรับเปลี่ยนกฎการปรากฏตัวของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมานในแดนรกร้างบูรพา ทำให้มันมาเยือนทุกๆ ห้าสิบปีเป็นเวลาตลอดหนึ่งวัน และสังหารคนที่เผยกลิ่นอายพลังเผ่าเซียนทุกคนในหนึ่งวันนี้

อีกทั้งท่านจี๋อั้นราชันแห่งสำนักอสูรยังมีคำสั่งว่า ในวันนั้นคนที่มาเยือนทุกคนจะต้องเผยขั้นพลังเพื่อเรียกของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมาน สำหรับพวกเราแล้วนี่คือการทดสอบอันเหี้ยมโหด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!