Skip to content

สู่วิถีอสุรา 618

ตอนที่ 618 ภัยพิบัติมาเยือน

ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ เพียงหรี่ตาลงน้อยๆ ในความคิดผุดขึ้นมาเป็นภาพตอนหงหลัวควบคุมร่างกายตนและเข้าต่อสู้กับคนสำนักซ่อนมังกร

การต่อสู้ครั้งนั้น มือสังหารผู้ฝึกฌานจากสำนักซ่อนมังกรไม่ใช่หงหลัว แต่เป็นง้าวยาวน่าสะพรึงกลัวบนฟ้า ง้าวยาวนั้นสร้างความตื่นตระหนกกับเซียนทุกคนในแดนอรุณใต้ ทำให้เซียนที่มาเยือนเหล่านั้นแทบจะหยุดลมหายใจกันหมด

ง้าวยาวก็คือของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมานแห่งแผ่นดินใหญ่อรุณใต้!

หลังจากมาแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา ซูหมิงก็เริ่มต้นที่สำนักวิญญาณอสูร ในใจยังลังเลอยู่อย่างหนึ่ง ยามนี้เขาเข้าใจแล้ว

ทว่าพอเข้าใจเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงตี้เทียน ร่างแยกตี้เทียนในตอนนั้นไม่สนใจง้าวยาวของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมาน แต่ก็ไม่ได้เลือกทำลายมัน เห็นได้ชัดถึงความกลัวของเขา

ณ แผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา ไม่อยากเชื่อว่าจี๋อั้นแห่งสำนักเซียนอสูรจะมีพลังเปลี่ยนกฎการมาเยือนของของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมาน การปรับเปลี่ยนของศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังแข็งแกร่งแบบนี้ เกรงว่าคงจะยากกว่าทำลายมันเสียอีก

ทว่าของศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ ฉะนั้นพอนึกเชื่อมถึงการกระทำของตี้เทียน ซูหมิงพลันเกิดการคาดเดาอย่างหนึ่งขึ้น ในของศักดิ์สิทธิ์เผ่าหมานจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ ฉะนั้นคนเผ่าเซียนจึงไม่กล้าทำลายมัน…

‘จี๋อั้นผู้นี้มีความเด็ดขาดอยู่ ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้การมาเยือนของศักดิ์สิทธิ์ทุกห้าสิบปีมาเป็นการทดสอบศิษย์ในเครือสำนักอสูร ผู้ที่เหมาะสมจะมีชีวิตรอด….’ ซูหมิงหรี่ม่านตาลง เขาเข้าใจขึ้นมาก ทั้งยังนึกออกว่าหญิงแห่งโชคชะตามิใช่ชื่อ แต่เป็นนามเรียกขานกลุ่มคน!

กลุ่มคนนี้มาจากทุกสำนัก ภารกิจของพวกนางคือช่วยเผ่าเซียนที่มาเยือนปกปิดฟ้าแดนหมาน ทำให้พวกเขาปิดซ่อนกลิ่นอายพลัง ทว่าสำนักอสูรกลับไม่ได้ใช้ให้หญิงแห่งโชคชะตาทำเช่นนั้น

“เจ้ามีความมั่นใจกี่ส่วน?” ซูหมิงมองเป่าชิวแวบหนึ่งแล้วกล่าวเนิบๆ

“เดิมทีมีเจ็ดส่วน…ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่รับมือกับภัยพิบัติหมาน ในสำนักมีอีกไม่น้อยที่ต้องรับมือด้วย ขอแค่ข้ารับการโจมตีได้ครั้งเดียวก็พอ…อีกทั้งข้ายังมีร่างแยกตายแทน ข้าตั้งใจว่าจะให้ร่างแยกตายไป ส่วนตัวข้าบาดเจ็บแลกกับความสำเร็จ

ทว่าตอนนี้…ข้ามีอยู่เพียงสามส่วน” เป่าชิวมีสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับไม่ได้เอ่ยถึงความเป็นความตายของตน

ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ มองเป่าชิวแวบหนึ่งแล้วยิ้มเงียบๆ

“อยากให้ข้าช่วยเจ้าก็บอกมาเลย ไม่เห็นต้องเขินอายเช่นนี้”

เป่าชิวหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็กลับมาปกติอย่างเร็วและไม่กล่าวอะไร นางอยากให้อีกฝ่ายช่วยจริงๆ มิเช่นนั้นแล้วนางอาจถูกกำจัดไป ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ไม่อาจฝึกฝนอย่างสงบได้เช่นกัน

ความคิดนี้ผุดขึ้นมาหลังจากนางสังเกตเห็นความน่ากลัวของซูหมิงเมื่อหลายเดือนก่อน ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่เคยคิดทำร้ายซูหมิง และไม่ขัดขืนพันธนาการจิตวิญญาณอีก

การมาครั้งนี้ เหตุที่นางกลับมามีใบหน้างดงามดังเดิมก็เพื่อเตรียมจะพูดเรื่องเมื่อครู่…

“ภัยพิบัติหมานสามเดือนจากนี้ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง ต่อให้มีเครื่องพันธนาการจิตวิญญาณเจ้าอยู่ แต่ข้าก็ฝึกฝนที่นี่และใช้เม็ดยาของเจ้าไปมาก หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป เจ้ากับข้าจะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก” ซูหมิงหลับตาลงอีกครั้ง

มีความดีใจวาบผ่านสีหน้าเป่าชิว หลังจากยืนขึ้นก็ประสานมือคารวะซูหมิง ก่อนลงจากชั้นสองกลับไปยังชั้นหนึ่งของนางแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปพักหนึ่งก็หลับตานั่งฌาน

การฝึกฝนของซูหมิงไม่ได้หยุดกลางคันเพราะเรื่องนี้ ในใจเขาตัดสินใจเรื่องช่วยเป่าชิวไว้อยู่แล้ว และเขาก็อยากใช้โอกาสนี้ดูว่าการคาดเดาของตนถูกต้องหรือไม่เหมือนกัน

‘หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง เช่นนั้นก็ต้องถามเป่าชิวสักหน่อย…’ ซูหมิงไม่ขบคิดถึงเรื่องนี้อีก แต่รวมสมาธิไปกับการฟื้นพลัง

ยามนี้เลือดเนื้อและกระดูกทั้งตัวเขาพัฒนาจนเป็นหมานแล้ว ขั้นพลังก็ถึงจุดสูงสุดในตอนนั้น พอเวลาผ่านไป เมื่อขั้นพลังฟื้นกลับมาทีละนิด เขาก็เริ่มพบว่านอกจากเลือดเนื้อและกระดูกแล้ว ขั้นพลังอีกสองส่วนที่เพิ่มมานี้ถูกสมองของตนสูบไป…

บางทีอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่สูบพลังสองส่วนนั้นคือจิตวิญญาณในร่างเขา!

ในใจซูหมิงตื่นตะลึงตอนที่ค้นพบสิ่งนี้ เขารู้สึกรางๆ ว่าการฟื้นขั้นพลังในครั้งนี้ สองส่วนที่เพิ่มมาก็คือจุดสำคัญหนึ่งก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมาน!

ทุกอย่างนี้ทำให้เขานึกไปถึงเสียงเพลงซวินดังกึกก้องก่อนที่จะหมดสติไปหลังจากสู้กับตี้เทียน…

หนึ่งเดือน สองเดือน…

สองเดือนผ่านไป ขั้นพลังซูหมิงค่อยๆ เพิ่มขึ้นและฟื้นกลับมา จิตวิญญาณเริ่มตกอยู่ในห้วงความรู้สึกบอกไม่ถูก ราวหลับใหลก็ไม่ปาน

เหมือนกับถูกเพาะบ่มบำรุงอยู่…

จนกระทั่งผ่านไปอีกยี่สิบกว่าวัน ห่างจากวันภัยพิบัติหมานมาเยือนอีกสามวัน เวลานี้เองเป่าชิวก็เดินขึ้นมาจากชั้นหนึ่งอย่างช้าๆ มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าซูหมิง

เป่าชิวยังมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ขาวซีดต่อขีดจำกัดสามวันนี้ ครั้นมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วก็นั่งลงอย่างเงียบๆ นางในร่างเด็กสาวดูแล้วงดงามสะอาดบริสุทธิ์ สายตามองฟ้านอกหออย่างเงียบงันพลางรอซูหมิงตื่นขึ้น

นางอยู่กับซูหมิงมานานกว่าครึ่งปี เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงแฝงไว้ด้วยความลึกลับ ยามนี้นางละสายตากลับจากนอกหน้าต่างมามองซูหมิงอีกครั้ง

มองไปมองมา นางพลันพบว่าซูหมิงต่างกับเมื่อก่อนเล็กน้อย

เหมือนว่า…จะโตขึ้นเล็กน้อย

มองไปไม่ใช่เด็กอายุสิบสองสิบสามอีก แต่เป็นอายุราวสิบสี่ห้าสิบปี ตอนเขานั่งฌานใบหน้ายังมีความเยาว์วัยอยู่ ทว่าสิ่งที่นางลืมไม่ลงคือนัยน์ตาที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและมีความเศร้าโศกอยู่ภายในนั้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นช่วงดวงตะวันลาลับ มันจะขยับวูบวาบอยู่ในแสงสีแดงยามอัสดง

‘ในตัวเขามีความลับอะไรกันแน่…เขาเป็นใครกัน เขาจะต้องไม่ได้ชื่อเฉินซูอย่างแน่นอน เขาชื่ออะไร มาจากที่ใด…เห็นอยู่ว่ามีพลังแกร่งขนาดนี้ น่าจะไม่ใช่บุคคลไร้ชื่อเสียง…อีกทั้งเป็นใครกันที่สร้างบาดแผลสาหัสเช่นนี้ให้กับเขา…’ คำถามเหล่านี้อยู่ในใจเป่าชิวมามากกว่าครึ่งปี

นางเริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้

โดยเฉพาะเส้นผมสีดำของอีกฝ่าย มันค่อยๆ ซีดจาง จะเห็นได้รางๆ ว่ามีเส้นผมสีขาวกับสีม่วงปนอยู่

สีผมสลับซับซ้อนเช่นนี้กลับไม่ให้ความรู้สึกว่าเลอะเทอะเลย แต่กลับเพิ่มความประหลาดและชั่วร้าย ทำให้คนมองข้ามเรื่องอายุภายนอกของเด็กหนุ่มคนนี้ไป คล้ายกับเห็นความสุขุมและเฉียบคมของชายหนุ่มคนหนึ่ง

เป่าชิวเท้าคางมองเหมือนลืมเส้นตายสามวันของตน เมื่อแสงตะวันยามอัสดงด้านนอกลาลับไป ความมืดก็เข้ามาเยือน หนึ่งคืนผ่านไปเช่นนี้จนตะวันส่องสว่างอีกครั้ง

ซูหมิงยังคงนั่งฌาน เป่าชิวก็ยังคงมอง

จนกระทั่งยามเที่ยงวันผ่านไป วินาทีที่แสงตะวันตกดินจากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างมาอีกครั้งและส่องบนตัวทั้งสองคน ซูหมิงถึงลืมตาขึ้น

วินาทีที่เขาลืมตา เขามองเป่าชิวที่กำลังมองตนตาไม่กะพริบ มองใบหน้าภายใต้แสงตะวันยามเย็นของนาง สะท้อนเป็นภาพงดงามอย่างยิ่ง

เด็กสาวในภาพมีเส้นผมสีดำ สวมอาภรณ์สีม่วง สองมือเท้าคาง แพขนตายาวยิ่งนัก…นัยน์ตาขยับประกายกำลังมองตนอยู่

ท่ามกลางแสงตะวันยามเย็น แม้แต่ไรขนอ่อนบนใบหน้าเด็กสาวยังเห็นชัด และยังมีผิวที่เริ่มแดงเล็กน้อยปิดซ่อนอยู่ในแสงตะวันจนมองไม่เห็น

“ที่ข้ามองท่านเป็นเพราะท่านประทับตราไว้ในจิตวิญญาณข้า ทำให้ข้าถูกดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว และเกิดความรู้สึกสนิทสนมกับท่าน

หลังจากตราประทับหายไป มันจะไม่เกิดสิ่งเหล่านี้อีก ทุกอย่างจะกลับมาดังเดิม ท่านอย่าเข้าใจผิดไป” เป่าชิวไม่หลบสายตาซูหมิง นางมองซูหมิงพลางพยายามกล่าวอย่างสงบนิ่ง

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ และไม่กล่าวอะไร

“หากท่านเข้าใจผิดนั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่เกี่ยวกับข้า หวังว่าท่านจะทำตามคำสัญญา คืนอิสระให้ข้าหลังจากฟื้นฟูพลังเสร็จ!” เป่าชิวหัวใจเต้นแรง ทำหน้าขรึม พยายามให้ตนกล่าวอย่างไร้อารมณ์ เพียงแต่พอแสงตะวันยามอัสดงเคลื่อนผ่าน ใบหน้าของนางก็ยังคงแดงอยู่เล็กน้อยเหมือนเดิม

“จริงๆ ข้าชอบมองเจ้าในร่างนี้ ดีกว่าหญิงชราเมื่อก่อนมาก” ซูหมิงอมยิ้มกล่าว ประโยคนี้ไม่ได้มีความหมายใดแฝงอยู่ เพียงกล่าวความจริงก็เท่านั้น

ทว่าเมื่อเข้าถึงหูเป่าชิวกลับต่างออกไป

นางถลึงตามอง แต่ไม่อาจต่อต้านความรู้สึกสนิทสนมจากจิตวิญญาณได้ นางมีสีหน้าอ่อนโยนในทันใดและยังคงไม่หลบสายตา ยังมองซูหมิงอยู่ตลอดอย่างนั้น

เวลาผ่านไปอีกครั้ง จวบจนด้านนอกเข้าสู่ยามค่ำคืน จนกระทั่งถึงยามเที่ยงคืนและจะเข้าสู่วันที่สาม ซูหมิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย

แม้เขามีประสบการณ์มาไม่น้อย ทว่าไม่เคยเจอสตรีคนใดเหมือนกับเป่าชิว นางนั่งจ้องตนอยู่อย่างนี้ อีกทั้งไม่ใช่ครู่เดียว แต่นานมาก…

ซูหมิงกระแอมเสียงแล้วหลับตาทำสมาธิต่อ

ไม่นานยามเที่ยงคืนก็มาถึง วินาทีที่จะผ่านไปนั้น เป่าชิวละสายตากลับแล้วมองฟ้ามืดทึบนอกหน้าต่าง

เวลานี้เอง คนที่มองฟ้ายังมีอีกสิบกว่าคนในสำนักวิญญาณอสูร พวกเขาล้วนนั่งฌานสมาธิอยู่ในที่ของตนอย่างเงียบๆ ขณะที่สายตามองฟ้า

กระทั่งบนยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ภายในควันดำที่ลอยโชยตลอดทั้งปีมีอารามน่าสะพรึงกลัวอยู่แห่งหนึ่ง ในอารามนี้บูชารูปปั้นเลือนรางอยู่หลายรูป และยังมีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ชายคนนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้า เขาก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของสำนักวิญญาณอสูร…ผู้อาวุโสสูงสุดเซินตง!

ควันดำที่ลอยโชยนี้ก็คือกลิ่นอายพลังของเขา เป็นตัวแทนขั้นพลังเทียบเคียงขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์หรือก็คือขั้นทรงอำนาจของเผ่าเซียน!

“ห้าสิบปี…เร็วจริงๆ…” เสียงเขาแหบแห้ง ตอนที่กล่าวเนิบช้าก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า วินาทีนี้เอง เขาแผ่กระจายพลังแกร่งกล้าของขั้นทรงอำนาจมาจากในกาย!

ขณะเดียวกันในสำนักวิญญาณอสูร สิบกว่าคนรวมถึงเป่าชิวล้วนอยู่ในที่ต่างกัน ทั้งหมดแผ่กระจายกลิ่นอายพลังของตนออกมา นั่นคือกลิ่นอายพลังของเซียน เป็นพลังของผู้มาเยือน!

อีกทั้งยังมีเผ่าหมานปรับสายเลือด ยามนี้ล้วนปล่อยระลอกพลังด้วยความหวาดกลัว บ้างก็เงียบ บ้างก็ต่อต้าน บ้างก็เศร้าโศก ทำให้เวลานี้กลิ่นอายพลังเผ่าเซียนทั้งสำนักวิญญาณอสูรพุ่งทะยานขึ้นฟ้า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!