Skip to content

สู่วิถีอสุรา 622

ตอนที่ 623 เชื่อมั่นในตัวเอง

เทพหมานรุ่นหนึ่งเหี้ยมโหดจริงๆ หอคอยรกร้างบูรพาปรากฏ มีความสูงเก้าสิบเก้าชั้น สมบัติล้ำค่าชั้นบนสุดเพียงพอจะทำให้เผ่าหมานและเซียนหัวใจเต้นโครมคราม!

ยี่สิบหกคนแรกนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการนองเลือด ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหนือการควบคุมได้อีก ยกตัวอย่างเช่นยี่สิบหกคนนี้ลอบติดต่อกันอย่างลับๆ เพื่อจัดอันดับกันเอง จึงเพิ่มกฎขีดจำกัดแสงโลหิตสิบล้านลี้เข้ามาด้วย

ฉะนั้นนี่จะไม่ใช่พายุกลิ่นคาวโลหิตแค่ง่ายๆ แต่จะเป็นทะเลโลหิต!

หากไม่สังหารเผ่าเซียนให้มากพอก็จะไม่อาจเข้าหอคอยรกร้างบูรพา ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปข้างใน และจะไม่มีทางได้รับโชควาสนาอันยิ่งใหญ่! ช่วงที่เสียงเทพหมานรุ่นหนึ่งดังกึกก้อง ซูหมิงจึงรู้สึกถึงความเหี้ยมโหดของเลี่ยซานซิว!

ในเวลาเดียวกัน ขณะกระหายในสมบัติล้ำค่า เซียนทุกคนที่ได้ยินก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบลึกๆ

ใช่ว่าไม่มีใครสงสัยว่าในหอคอยรกร้างบูรพาจะมีสมบัติล้ำค่าอย่างที่เลี่ยซานซิวบอกจริงหรือไม่ ทว่าสำนักเซียนผู้มาเยือนทุกสำนักล้วนไปหาปรมาจารย์ด้านพยากรณ์มาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็บอกว่าจริง!

บวกกับฐานะและระดับพลังของเทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิว ในเมื่อเอ่ยปากมาแล้วก็ไม่มีทางกล่าวเท็จ จุดนี้แม้เผ่าเซียนจะเคียดแค้นเลี่ยซานซิว แต่ก็ต้องยอมรับ

ซูหมิงละสายตากลับแล้วหลับตาลง

‘หอคอยรกร้างบูรพาของเทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิวไม่ใช่เล่ห์เพทุบาย แต่เป็นการลงมืออย่างเปิดเผย…เรื่องนี้ร่างแยกตี้เทียนกับจี๋อั้นแห่งสำนักอสูรย่อมมองออกอยู่แล้วว่าคือแผนให้สังหารกันเอง

ต้องการวิญญาณเผ่าเซียนจำนวนมากพอ กระทั่ง…ในเผ่าหมานหากมีผู้อยากได้คุณสมบัติก็ต้องออกไปแย่งชิงเอาเอง…หากตัวคนเดียวคงไม่เท่าไร แต่บนแผ่นดินหมานมีชนเผ่าอยู่จำนวนมาก และยังมีสำนักคล้ายๆ กับสำนักเหมันต์สวรรค์อยู่อีกเล็กน้อย

สำนักเหล่านี้ยิ่งบ้าคลั่งกับมรดกของเทพหมานรุ่นหนึ่งอยู่ด้วย…’

‘เป็นแผนการร้ายที่ไม่เลว ไม่เพียงให้เซียนฆ่าฟันกันเอง ยังดึงดูดชนรุ่นหลังเผ่าหมานให้พวกเขาสังหารเผ่าเซียนอย่างบ้าคลั่งเพื่อโอกาสรับโชควาสนาครั้งใหญ่ด้วย…

กระทั่ง…ยังมีแนวโน้มจะร่วมมือกัน ดูท่าในหนึ่งพันวันนี้ ทั้งแดนรกร้างบูรพาจะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่…..’ ซูหมิงลืมตา นัยน์ตาเป็นประกาย

‘กลียุคมาถึงแล้ว…’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อแล้วถอยหลังไปหลายก้าว จนกลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เขามีความรู้สึกถึงภยันตราย จะต้องรีบฟื้นฟูพลังกลับมาให้เร็วที่สุดก่อน แล้วค่อยไปรับอันดับของเขาท่ามกลางแผ่นดินรกร้างบูรพาอันโกลาหล

‘ยี่สิบหกอันดับ…น่าจะเป็นยี่สิบเจ็ดถึงจะถูก เพียงแต่ว่าอันดับของข้า คนอื่นๆ…ไม่รู้!’

ยามนี้เป่าชิวข้างๆ สงบลง สายตาที่มองซูหมิงมีความยำเกรงและความรู้สึกอื่นๆ อีกเล็กน้อย

“คุณชายวางใจเถอะ เรื่องในวันนี้เป่าชิวจะไม่พูดกับใครเด็ดขาด หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วเป่าชิวขอตัวก่อน ดูท่าสหายร่วมสำนักคนอื่นๆ จะต้องมาหามูลเหตุจากการเกิดหนึ่งภูเขามาเยือนกันอย่างต่อเนื่องแน่นอน” เป่าชิวโค้งคำนับซูหมิง ใบหน้างดงามก้มลง ก่อนถอยหลังเตรียมจะกลับไปยังชั้นหนึ่ง

ขณะที่เป่าชิวกำลังจะไป ซูหมิงพลันมองนาง มองวงหน้างดงามและร่างระหงที่เพียงพอจะทำให้หัวใจเต้นระรัวนั้นด้วยใบหน้าสงบนิ่งดุจน้ำ

“โลหิตของข้าทำให้เจ้าผ่านพ้นภัยพิบัติหมานไป มันทำให้เจ้าเห็นอะไรบ้าง”

เป่าชิวที่กำลังถอยพลันหยุดชะงัก ร่างสั่นไหวเบาๆ ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้ามองซูหมิง สีหน้ามีความสงสารเล็กน้อย สับสนอยู่บ้าง และค่อนข้างปลงอนิจจัง ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของนางดูสับสนอย่างยิ่ง

“ไม่มีอะไร…” เป่าชิวก้มหน้าลงราวกับไม่กล้าสบตาซูหมิง ก่อนกล่าวเสียงเบา

“เจ้าเคยเห็นซู่มิ่งหรือไม่?” ซูหมิงมองเป่าชิวแล้วถามขึ้น

พอได้ยินคำว่าซู่มิ่ง เป่าชิวตัวสั่นอีกครั้ง ทั้งยังถอยไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก ใบหน้าก็พลันขาวซีด

“ไม่เคยเห็น แต่เคยได้ยิน…คุณชายอย่าซักถามข้าเลย ผู้มาเยือนทุกคนจะต้องสาบานเรื่องเกี่ยวกับซู่มิ่งก่อนมายังเผ่าหมาน หากพูดออกไปจะต้องถูกลงโทษ…ทั้งยังส่งผลไปถึงญาติพี่น้องในเผ่าเซียนด้วย” เป่าชิวเงยหน้ามองซูหมิง นัยน์ตาฉายแววอ้อนวอน

ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ สีหน้าดูเหนื่อยล้า จากนั้นหลับตาลงไม่ซักถามเรื่องนี้อีก ต่อให้รู้แล้วอย่างไร ต่อให้ยืนยันการคาดการณ์ของตนได้แล้วอย่างไร ในแดนมรณะหยินนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าความทรงจำอยู่ที่ใด ยังไม่รู้ว่าเด็กสาวที่เรียกตนว่าพี่ชายอยู่ที่ใด

“ทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นตัวข้าเองที่จบมัน สักวันหนึ่งข้าจะทำลายมันและเดินออกไป! วันนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว” วินาทีที่ซูหมิงหลับตาก็กล่าวกับตัวเองเบาๆ

เป่าชิวไปแล้ว หลังจากภัยพิบัติหมาน สำนักวิญญาณอสูรก็เหมือนจะกลับมาดังเดิม มีศิษย์ในสำนักไม่น้อยมาเยี่ยมเป่าชิว สอบถามเรื่องหนึ่งภูเขามาเยือน คนเหล่านี้ไม่สังเกตเห็นซูหมิง ต่อให้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดเซินตง หากซูหมิงอยากหลบก็ยากจะตรวจพบในเวลาอันสั้น

ทุกสำนักเซียนในแดนรกร้างบูรพาเหมือนสงบลงหลังจากภัยพิบัติหมาน ราวกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น เว้นเสียแต่อุโมงค์ยักษ์บนฟ้ากับหอคอยรกร้างบูรพาซึ่งสูงตระหง่านจนมองไม่เห็นสุดปลายตรงกลางแผ่นดินรกร้างบูรพาในแถบเทือกเขา!

บางทีอาจมีคนแอบไปตรวจสอบหอคอยนี้ ได้ผลมาอย่างไรซูหมิงไม่รู้ ทว่าหนึ่งเดือนหลังจากภัยพิบัติหมาน ซูหมิงก็สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของสำนักวิญญาณอสูร

คนที่ปิดด่านนั่งฌานมานานต่างพากันออกฌานจำนวนมาก บ้างก็มีคลื่นพลังแก่กล้าเผยอยู่บนยอดเขา ศิษย์สำนักฝ่ายนอกเหล่านั้นไม่ออกไปข้างนอกอีก ในทุกวันจะมีศิษย์ที่ออกไปฝึกฝนข้างนอกเหมือนได้รับคำสั่งและพากันกลับสำนักจำนวนไม่น้อย

วงแหวนอาคมคุ้มกันภูเขายักษ์ก็ค่อยๆ ปกคลุมนอกยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ขณะเดียวกับที่ปกคลุมที่นี่ พลังฟ้าดินก็ถูกสูบเข้ามาเป็นวงกว้าง หากมองยอดเขาจากไกลๆ จะมีเมฆหมอกโอบล้อมหนายิ่งกว่าเดิม

กระทั่งศิษย์สำนักฝ่ายนอกที่ถูกลงโทษไล่ลงไปอยู่ใต้ยอดเขา ยังมีหลายคนถูกเรียกกลับสำนักฝ่ายนอกอีกครั้ง และเริ่มเตรียมความพร้อมอย่างจริงจัง

บรรยากาศตึงเครียดอบอวลไปทั้งสำนักวิญญาณอสูร บรรยากาศเช่นนี้ซูหมิงไม่แปลกตาเท่าไรนัก เพราะนี่คือ…..การเตรียมความพร้อมก่อนสู้รบ!

ส่วนเป่าชิว ทุกวันนางจะส่งเม็ดยามาให้ อีกทั้งคุณภาพยังดีขึ้นเรื่อยๆ จากคำพูดของนาง ซูหมิงก็รู้เลยว่าความรู้สึกของเขาไม่ผิดแน่ นี่คือการเตรียมพร้อมก่อนสู้รบจริงๆ ทุกอย่างเป็นคำสั่งจากสำนักวิญญาณอสูรในวันที่สามหลังจากภัยพิบัติหมาน

ในคำสั่งนั้นเผยความโหดเหี้ยมอย่างชัดเจน และในนั้นมีเพียงสองประโยค

“เตรียมสู้รบ พร้อมเข้าสู่สงคราม!”

ในหนึ่งเดือนนี้ ขั้นพลังซูหมิงฟื้นอย่างรวดเร็วด้วยเม็ดยาเหล่านั้น ตามการคาดการณ์แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกสักเดือนหนึ่งตนจะฟื้นกลับมาครบเก้าส่วน หลังจากนั้นครึ่งปีก็จะฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ และบรรลุถึงจุดสูงสุดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ถึงตอนนั้นเขาจะทะลวงขั้นวิญญาณหมาน หากสำเร็จก็จะเมินเฉยต่อหน้าขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ได้!

นี่คือความเชื่อมั่นในตัวเองของเขา!

‘เวลาครึ่งปีมันนานเกินไป…หากเป็นยามปกติคงไม่มีอะไร แต่ตอนนี้หอคอยรกร้างบูรพามีเวลาจำกัดหนึ่งพันวัน ยิ่งข้าทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ดูแล้วคงต้องออกไปข้างนอกสักครั้งเพื่อทดสอบวิชาลับของหงหลัว ดีที่ตอนนี้ขั้นพลังฟื้นกลับมาไม่น้อย พอจะใช้ได้บ้างแล้ว แม้ยังมีข้อเสียอยู่บ้างก็ต้องทำเช่นนี้

หอคอยรกร้างบูรพา….ไม่มีแสงโลหิตสิบล้านลี้ก็จะไม่เปิดออก ทว่าจากคำพูดของเทพหมานรุ่นหนึ่งเหมือนว่าจะเป็นข้อจำกัดของผู้มีคุณสมบัติยี่สิบหกคนนั้น…ไม่ได้เอ่ยถึงข้า

หากมีโอกาสก็น่าจะไปดูสักหน่อยว่าข้ามีข้อจำกัดแบบนี้หรือไม่ หากไม่มีละก็….’ นัยน์ตาซูหมิงวาววับ ตกอยู่ในห้วงการฝึกฝนต่อ

พริบตาเดียวก็ครึ่งเดือน วันนี้ยามเที่ยงวัน จู่ๆ ซูหมิงที่กำลังหลับตานั่งฌานสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้น มีประกายวาววูบผ่านนัยน์ตา เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าประหนึ่งสายตามองทะลุหอแห่งนี้

ยามนี้นอกอาคมคุ้มกันของภูเขาสำนักวิญญาณอสูรมีสายรุ้งสามเส้นห้อเหยียดเข้ามา สายรุ้งสามเส้นนั้นเรียงหน้ากระดานกัน มองไปคล้ายดาวตกที่มีหมอกดำโอบล้อม เสียงลากยาวเล็กแหลมดังก้อง ช่วงที่สายรุ้งสามเส้นนั้นเข้ามาใกล้อาคมคุ้มกันภูเขาก็มีแสงดำขยับวูบวาบ ก่อนพวกเขาจะทะลวงผ่านเขตอาคมเข้ามาในสำนักวิญญาณอสูร

การปรากฏตัวของพวกเขาดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที สายตาเหล่านั้นต่างพากันมองทั้งสามคน

“มีคำสั่งจากท่านจี๋อั้น ให้เซินตงแห่งสำนักวิญญาณอสูรออกมารับคำสั่ง!”

แทบเป็นขณะเดียวกับที่กล่าวคำนี้ ก็มีเสียงแว่วมาจากในควันดำลอยที่โชยสู่ท้องฟ้า

“เซินตง คารวะทูตอสูรทั้งสามท่าน”

หลังจากสามคนนั้นประสานมือคารวะไปยังจุดที่มีเสียงเซินตงแว่วมาจากในควันดำแล้ว คนนำหน้าสุดก็หยิบแผ่นหยกมาหนึ่งชิ้น ครั้นบีบจนแตกก็พลันปรากฏร่างเงาหนึ่งกลางมวลอากาศบิดเบี้ยวตรงหน้า

ร่างเงานั้นเห็นรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน เห็นเพียงเสื้อคลุมดำปกปิดใบหน้า กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กระจายมาจากร่างแล้วเข้าปกคลุมสำนักวิญญาณอสูร ทำให้ทุกคนที่จับจ้องอยู่ล้วนใจสั่นสะท้าน ต่างพากันก้มหน้าลงคุกเข่าคารวะ

วินาทีที่กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ออกมา ฟ้าพลันมืดครึ้มในทันที ถูกหมอกหนาปกคลุมจนมองเห็นไม่ชัด

“เซินตง” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากร่างเงานั้น เสียงนี้ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย พอได้ยินแล้วจะเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว

“พาสำนักวิญญาณอสูรของเจ้าไปยังหุบเขาพันวารี เป้าหมายคือสาขาย่อยของสำนักซ่อนมังกร…มีเวลาสิบวัน ภารกิจคือสังหารให้เรียบ!

จากนั้นจงสร้างที่นั่นเป็นแนวต้าน ให้มันเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางของสำนักเซียนอสูรในการบุกสำนักเซียนอื่นๆ!”

มีบุคคลหนึ่งเดินมาจากในควันดำ เป็นชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีฟ้า เขาประสานมือคารวะร่างเงานั้นอย่างนอบน้อม

“ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสั่ง!”

ร่างเงามายาไม่กล่าวอีกแต่ค่อยๆ หายไป ทูตอสูรสามคนก็ประสานมือคารวะเซินตงอย่างเงียบๆ มีสองคนหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งทะลวงอาคมคุ้มกันภูเขาออกไป

ส่วนอีกคนที่เหลือ พอประสานมือคารวะแล้วก็ยืนเงียบอยู่ที่เดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!