ตอนที่ 626 กวาดเรียบ
เมื่อเทียบกับสำนักวิญญาณอสูรที่บุกเข้ามา สำนักซ่อนมังกรดูอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในตัวพวกเขาไม่มีความบ้าคลั่งและกระหายเลือดอย่างสำนักวิญญาณอสูร
ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรที่มีเลือดเนื้อวนเวียนรอบตัวล้วนดวงตาแดงก่ำ เสียงคำรามของพวกเขาสร้างความตื่นกลัวอย่างมากให้กับคนสำนักซ่อนมังกร
บวกกับความแกร่งของเซินตง จุดที่เขาผ่านไป หากมีใครขวางจะถูกคว้ามาฉีกร่างทันที แล้วดึงวิญญาณแรกที่กำลังจะหนีออกมา ก่อนกลืนกินเข้าไปทั้งเป็นภายใต้ความหวาดผวาของผู้คนโดยรอบ
ภาพนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับสำนักซ่อนมังกร จนแทบจะบรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว
“หัตถ์ภูตผีบูรพา!”
ซูหมิงอยู่นอกวิหารใหญ่ทางซ้ายของสะพานแขวน พอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแวบหนึ่งแล้วก็เดินหน้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน การปรากฏตัวของเขาแทบจะไม่มีใครเห็น ปล่อยให้เขาเดินเข้าไปในวิหารใหญ่
ภายในวิหารใหญ่บูชารูปปั้นใหญ่หลายรูป รูปปั้นเหล่านี้สร้างขึ้นจากหินวิญญาณ ยามนี้ในวิหารใหญ่มีผู้อาวุโสอยู่เจ็ดคนกำลังนั่งฌานสมาธิด้วยสีหน้าทะมึน สองมือประกบเข้าด้วยกัน ตรงใจกลางพวกเขามีตะเกียงน้ำมันอยู่หนึ่งอัน
ตะเกียงนี้มอดดับ ทว่าพอเจ็ดคนเผยกลิ่นอายพลัง มันก็เหมือนมีเค้าลางว่าจะติดไฟขึ้น เทียบกับเสียงครึกโครมข้างนอกแล้ว ที่นี่เงียบสงบอย่างยิ่ง
‘เจ็ดคนนี้มีพลังเทียบวิญญาณหมานตอนกลาง…’ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ช่วงที่เดินเข้ามาในวิหารใหญ่ ชายชราเจ็ดคนกำลังหลับตาอยู่ ไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลย ซูหมิงเดินมายืนอยู่ข้างรูปปั้นสามรูปในวิหารใหญ่ ขณะมองนัยน์ตามีประกายวาววูบผ่าน
‘สิ้นเปลืองไปเล็กน้อย…’ เขาส่ายศีรษะพลางสะบัดแขนเสื้อ รูปปั้นสามรูปพลันหายไปจากวิหารอย่างไร้ร่องรอย
ขณะซูหมิงกำลังจะจากไปกลับเอียงศีรษะมองตะเกียงน้ำมันตรงกลางเจ็ดคนแวบหนึ่ง ยังมีเบาะนั่งใต้ร่างเจ็ดคนนี้อีก เบาะนั่งนี้ถักสานขึ้นจากสมุนไพรจึงมีกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ
‘ว่านวิญญาณสวิน (ชื่อหญ้าหอมชนิดหนึ่ง) สำนักซ่อนมังกรร่ำรวยจริงๆ…’
ซูหมิงรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก เขารู้จักสมุนไพรชนิดนี้ หนึ่งต้นขายเป็นหินวิญญาณระดับล่างได้เกือบร้อย ตอนนี้เบาะนั่งสมุนไพรหนึ่งอันใช้สมุนไพรราวๆ ร้อยต้น กล่าวได้อีกอย่างว่าเบาะนั่งหนึ่งอันเท่ากับหินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นก้อน…
‘ฟุ่มเฟือย!’ ซูหมิงขมวดคิ้ว ก่อนเดินไปยืนข้างชายชราที่กำลังนั่งฌานอยู่เจ็ดคนแล้วสะบัดแขนเสื้อ เจ็ดคนนี้รู้สึกเพียงหนาวเย็นไปทั้งร่าง หลังจากรู้สึกตัวแล้วก็พากันลืมตาขึ้น ทว่าต่อมาก็ต้องเบิกต้ากว้างอ้าปากค้าง
สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือของวิเศษตะเกียงของสำนักซ่อนมังกรที่กำลังจะจุดไฟอยู่หายไป และยังพบว่าเบาะนั่งถักสานจากสมุนไพรวิญญาณสวินก็หายไปด้วย
สุดท้ายตอนที่พวกเขามองไปรอบๆ โดยสัญชาตญาณ พวกเขาเจ็ดคนล้วนตะลึงงันอยู่อย่างนั้น ไอหนาวกระจายทั่วกายใจ เพราะพวกเขาเห็นว่ารูปปั้นสามรูปในวิหารใหญ่…หายไปเช่นกัน
หลังจากออกจากวิหารใหญ่ ซูหมิงก็ก้าวเดินต่อไป ตรงหน้าเขายังมีอีกหนึ่งวิหารใหญ่ ยามนี้เสียงเข่นฆ่าดังสนั่น สายรุ้งยาวบินขึ้นจากผืนดินหลายเส้น และยังมีสายรุ้งยาวบินลงจากฟ้าเช่นกัน การเข่นฆ่า ปล้นชิง เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและเสียงร้องโหยหวน ทุกอย่างอัดแน่นอยู่ในโลกใบนี้
หลังจากซูหมิงเดินมาหลายก้าวก็พลันหยุดชะงัก แล้วก้มหน้ามองพื้นอิฐใต้เท้าแวบหนึ่ง
‘สำนักซ่อนมังกรร่ำรวยเท่าไรกันแน่…’ ซูหมิงนั่งยองลง พอเคาะพื้นอิฐแล้วนัยน์ตาก็เปล่งประกาย ก่อนใช้มือขวากดลงบนพื้นดิน ทันใดนั้นพื้นอิฐรอบๆ ล้วนสั่นไหวแล้วลอยขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นซูหมิงจึงสะบัดแขนเสื้อเก็บมันไปทั้งหมดในคราวเดียว
ซูหมิงมีสีหน้าตื่นเต้น อิฐพวกนี้ไม่ใช่หินวิญญาณและก็ไม่ใช่สมุนไพร แต่เป็นกากสมุนไพร!
กากสมุนไพรเหล่านี้คือเศษหลังจากหลอมเม็ดยาล้มเหลว เดิมทีมันเป็นขยะ ทว่าในนี้ก็ยังมีแก่นสำคัญอยู่เล็กน้อย ถ้าขึ้นรูปมันเป็นอิฐสมุนไพรแล้วปูบนพื้น จะใช้สรรพคุณสมุนไพรของมันได้ เมื่อผสานรวมกับพลังวิญญาณฟ้าดินแล้วผลลัพธ์จะดียิ่งกว่าเดิม
นัยน์ตาซูหมิงลุกโชติช่วง มองวิหารใหญ่ตรงหน้าด้วยความเฝ้ารอคอย ก่อนจะขยับกายก้าวเดินให้เร็วขึ้นอีก
ในวิหารใหญ่ที่สองนี้ไม่มีคน เห็นได้ชัดว่าออกไปสู้กับสำนักวิญญาณอสูรข้างนอก ที่นี่มีคัมภีร์วางอยู่จำนวนมาก คัมภีร์เหล่านี้ล้วนเปล่งแสงอบอุ่น ซูหมิงกวาดสายตามองแล้วก็เก็บมาทั้งหมด ก่อนมองไปยังชั้นวางตำราอีกครั้ง พอเดินเข้าไปสำรวจก็ต้องถอนหายใจยาว
‘ไม้ดินระเบิด…สำนักซ่อนมังกรหนอ…’ ซูหมิงส่ายศีรษะพลางเก็บของทุกอย่างในวิหารเข้าถุงเก็บวัตถุอย่างไม่เกรงใจ แล้วจึงมองสิ่งก่อสร้างของวิหารอีกแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเสียดาย
“วัตถุของสิ่งก่อสร้างพวกนี้ไม่เลวเลย น่าเสียดายจริงๆ ที่เอาไปไม่ได้” ซูหมิงเอ่ยพลางมองรูปแกะสลักบนกำแพงรอบๆ รูปแกะสลักพวกนี้ล้วนเป็นสัตว์มงคลที่นุ่มนวลอ่อนโยน ดวงตาสองข้างประดับด้วยหินวิญญาณชั้นสูง
ซูหมิงเดินออกมาแล้ววนรอบๆ วิหารนี้ หลังจากเก็บหินวิญญาณในดวงตาสัตว์มงคลมาหมดแล้วก็มองวิหารใหญ่อีกครั้ง ก่อนฟันคานของวิหารใหญ่ออกมากกว่าครึ่ง แล้วเก็บมันจากไปด้วยความเสียดาย
วิหารที่สาม มีศิษย์สำนักซ่อนมังกรสี่คนเฝ้าระวังด้วยความตึงเครียด ทุกคนล้วนเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว การมาของซูหมิง สี่คนนี้ย่อมไม่สังเกตเห็น กระทั่งตอนที่ซูหมิงก้าวเข้าไปในวิหารที่สาม สี่คนด้านนอกก็ยังไม่รู้ตัว
ซูหมิงมองวิหารนี้ แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้วก็ยังตะลึงงัน สูดลมหายใจเข้าลึก
วิหารใหญ่ที่สามนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรนับไม่ถ้วน สมุนไพรเหล่านี้ล้วนถูกหุ้มอยู่ในวงแสงอบอุ่นและเติบโตอยู่ในนั้น ขณะเดียวกันในวิหารใหญ่ยังมีผนึกจำนวนมาก ผนึกที่ว่าก็มีไว้เพื่อปกป้องสมุนไพรเหล่านี้
เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นคลังสมุนไพรของสำนักซ่อนมังกร จะแจกจ่ายหรือแลกเปลี่ยนตามความต้องการที่ต่างกัน ของศิษย์ หรืออาจเป็นรางวัลตามคุณูปการ
ทว่าตอนนี้ ที่นี่เป็นของซูหมิง
ช่วงที่ซูหมิงออกจากวิหารหลังที่สาม จังหวะก้าวเขาเร็วขึ้นจนร่างแทบจะกลายเป็นสายฟ้า ตรงไปยังวิหารที่สี่ซึ่งอยู่ไกลออกไป ระหว่างทางเขายังใช้จิตสัมผัสแกร่งกล้าตรวจสอบพลางตรงเข้าไปอย่างเร็วรี่ จากนั้นวัตถุที่น่าสนใจสำหรับซูหมิงในจิตสัมผัสล้วนถูกขโมยหายไปในชั่วพริบตา
บนท้องฟ้า ชายชราคนหนึ่งมีสีหน้าตึงเครียด เขาพุ่งขึ้นฟ้าไป ด้านหลังยังมีสามคนตามติดมา สามคนนี้ล้วนเป็นเด็กชาย สองมือของทุกคนถือกระบี่ล้ำค่าโบราณและเรียบง่ายหนึ่งเล่ม
ตรงหน้าชายชรามีแส้ขนหางจามรีหนึ่งอัน เขาถือมันไว้ในมือ ขนแส้นี้แผ่ไอหนาวออกมา หากมองดีๆ มันจะไม่ใช่เส้นขน แต่คือเส้นน้ำแข็งที่เป็นเหมือนขนอ่อนๆ!
ทว่าช่วงที่ชายชราพาเด็กชายผู้ปกป้องสมบัติสามคนด้านหลังบินขึ้นฟ้า ก็พลันมีลมหนาวพัดเข้ามา ชายชราอึ้งงัน หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ตอนที่หันกลับไป เขาเห็นว่ากระบี่ล้ำค่าสามเล่มในมือเด็กชายสามคนที่กำลังสับสนหายไปแล้ว
“ใคร! เป็นใครกัน!” ชายชรามีสีหน้าโกรธเกรี้ยว ขณะร้องตะโกนก็ได้ยินเสียงเบาๆ แว่วมา
“แส้ขนนี้ไม่เลว ข้าขอล่ะ” เสียงนี้ดังกะทันหันยิ่งนัก ชายชราตัวสั่น ตอนที่หันศีรษะกลับไปมอง แส้ขนในมือก็หายไปแล้ว การเชื่อมต่อผ่านจิตสัมผัสก็ถูกตัดขาดไปด้วย
ในถ้ำแห่งหนึ่งของสำนักซ่อนมังกร
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด ในตัวเขามีระลอกคลื่นพลังขั้นเปลี่ยนวิญญาณของเผ่าเซียน เขากำลังจ้องหม้อยาตรงหน้าตาเขม็ง หลังลังเลใจอยู่พักหนึ่งถึงยกมือขวาตบด้านบนหนึ่งที หม้อยาพลันแตกกระจาย เม็ดยาสามเม็ดลอยมาจากข้างใน ครั้นเก็บเม็ดยาเข้าถุงเก็บวัตถุอย่างรีบร้อนแล้วก็รีบจากไปยังห้องลับอีกห้องหนึ่งในถ้ำ จนกระทั่งเก็บของทุกอย่างเข้าถุงเก็บวัตถุแล้ว เขาก็มองทุกคนที่กำลังต่อสู้บนฟ้าแวบหนึ่ง มองผู้ฝึกฌานสำนักซ่อนมังกรตายไปจำนวนมาก มองคนสำนักวิญญาณอสูรกระจายกันเข้ามาและเข่นฆ่าปล้นชิงอย่างบ้าคลั่ง
ชายวัยกลางคนกัดฟัน ก่อนตรงไปยังเส้นทางเล็กลึกลับซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทว่ายังไปไหนไม่ไกลกลับมีลมหนาวพัดเข้ามา จากนั้นเขารู้สึกปวดศีรษะแล้วหมดสติล้มลงตรงนั้น
ซูหมิงเผยตัวด้วยสีหน้าราบเรียบ หลังจากเก็บถุงเก็บวัตถุของชายผู้นั้นมาแล้วก็ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบต่อ ในจิตสัมผัสเขาเห็นอยู่ที่หนึ่งค่อนข้างน่าสนใจ ในนั้นมีรักษาการณ์อยู่หลายสิบคน สิ่งที่พวกเขาปกป้องคือชายชราผู้มีสีหน้าเคร่งคนหนึ่ง ชายชราคนนี้กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว
“ของที่ดีที่สุดมักจะไม่อยู่กับที่ แต่ในช่วงภัยพิบัติจะมีคนเอามันไป…”
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ก่อนก้าวเดินไป
ยามนี้คนสำนักวิญญาณอสูรกระจัดกระจายกันไปทั่ว มีอยู่สามคน ผู้นำหน้าคือชายร่างซูบผอมที่เคยคิดจะสังหารซูหมิงตอนเซ่นไหว้โลหิต พวกเขาเข้าไปในวิหารใหญ่หลังแรกทางซ้ายของสะพานแขวน ชายชราเจ็ดคนในวิหารนี้หายไปแล้ว เมื่อมองไปจึงเป็นวิหารโล่งๆ ไม่มีรูปปั้น ไม่มีเบาะนั่ง ไม่มีอะไรเลย ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมจึงแค่นเสียงหึเย็นชา แล้วเดินออกจากวิหารนี้ไปอย่างรวดเร็ว สองคนด้านหลังก็ตามมาติดๆ มุ่งหน้าไปยังวิหารใหญ่หลังที่สอง
ทว่าระหว่างทาง สามคนนี้เริ่มมีสีหน้าประหลาดใจทีละน้อย
“สมควรตาย ใครมาเคาะเอาอิฐบนพื้นไปก่อนหน้าพวกเรา!” ชายร่างซูบผอมมีสีหน้าบึ้งตึงพลางก่นด่า สองคนด้านหลังก็อึ้งงันอยู่ชั่วครู่ สีหน้าดูประหลาดยิ่งกว่าเดิม
“ดูท่าคงจะยากจนยิ่งนัก…..พื้นอิฐยังไม่เว้น…..” ทั้งสามคนห้อวิ่งมาถึงวิหารใหญ่หลังที่สองอย่างรวดเร็ว ทว่าพอเข้าไปแล้วทุกอย่างกลับกว้างโล่ง ทั้งสามคนจึงยิ่งมีสีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม
“ใครมาก่อนพวกเรากันแน่ เจ้าคนนี้…..ไม่อยากเชื่อว่าแม้แต่ดวงตาภาพแกะสลักพวกนี้ก็ยังไม่ละเว้น!” สองคนข้างๆ ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมพลันด่าว่า
“นี่ยังไม่เท่าไร เจ้าดูข้างบนนั่น” อีกคนถอนหายใจแล้วชี้ขึ้นไปด้านบน ตอนที่อีกสองคนเงยหน้ามองวิหารใหญ่ แล้วเห็นว่าคานวิหารหายไปมากกว่าครึ่ง สองคนนั้นเงียบกริบในทันที
“ตามไป ดูว่าเป็นใครกันแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งกลับมา!” ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมกัดฟันเอ่ยอย่างเคียดแค้น สามคนนี้ห้อเหยียดออกจากวิหารหลังที่สอง ช่วงที่พวกเขามาอยู่หน้าวิหารหลังที่สามแล้วเห็นคนสำนักซ่อนมังกรสี่คนกำลังเข่นฆ่ากับศิษย์สำนักวิญญาณอสูร ทั้งสามก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“มีคนเฝ้าอยู่ นั่นหมายความว่าไอ้ตัวละโมบสมควรตายนั่นยังไม่ได้เข้าไปในวิหารนี้!” ทั้งสามคนพุ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้นโดยพลัน