ตอนที่ 627 หินแสงสว่างหยาง
ซูหมิงไม่รู้ว่าสามคนนี้ใช้วิธีแบบใดแย่งชิงกับศิษย์ร่วมสำนัก สุดท้ายก็เอาชนะได้ หลังจากสังหารศิษย์สำนักซ่อนมังกรที่เฝ้าอยู่สี่คนแล้วก็บุกเข้าไปในวิหารใหญ่หลังที่สาม วินาทีที่เห็นทุกอย่างกว้างโล่งจะมีสีหน้าและอารมณ์แบบใดนั้น ซูหมิงเองก็ย่อมไม่รู้เช่นกัน เขาไม่สนว่าการกวาดสมบัติของตนจะสร้างเงามืดในจิตใจแบบใดให้ทั้งสามคน
ยามนี้เขากวาดสถานที่ในจิตสัมผัสทางซ้ายของสะพานแขวนหมดแล้ว พูดได้ว่าได้รับมาอย่างอู้ฟู่นัก หากไม่ใช่เพราะสิ่งก่อสร้างกับถ้ำทางขวาของสะพานแขวนถูกคนสำนักวิญญาณอสูรเข้าสังหารยึดครองแล้ว เขาจะต้องตื่นเต้นอย่างแน่นอน
ทว่าต่อให้มีคนสำนักวิญญาณอสูรอยู่ ซูหมิงก็ยังมีความคิดจะเข้าไป เพียงแต่ว่าความคิดนี้ถูกชายชราที่มีศิษย์สำนักซ่อนมังกรคุ้มกันสิบกว่าคนดึงดูดไปก่อน
ขณะห้อเหยียดไป ซูหมิงเห็นศพจำนวนมาก ศพเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นคนสำนักซ่อนมังกร และมีบางส่วนเป็นคนสำนักวิญญาณอสูร ทว่าน้อยอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกันเขาก็เห็นผู้ตายเหล่านั้น วิญญาณพวกเขาไม่ได้หายไปแต่ถูกสูบขึ้นฟ้า เพราะบนนั้นมีวัตถุสูบวิญญาณอยู่
ช่วงที่ซูหมิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเขาเป็นประกายวาววับ มองร่างเงาเลือนรางของคนผู้หนึ่งกลางฟ้าไร้ที่สิ้นสุด ตรงหน้าร่างเงานั้นมีขวดเล็กขวดหนึ่ง เป็นสิ่งนี้เองที่กำลังสูบวิญญาณของคนตาย
บนแผ่นดินใหญ่ คนสำนักซ่อนมังกรที่สิ้นใจมีสภาพอนาถยิ่งนัก บ้างถูกควักตันเถียนทั้งเป็นแล้วเอาเม็ดพลังทองคำในนั้นไป บ้างก็ร่างแหลกเป็นชิ้นๆ จากการระเบิดตัวเองตาย
อีกทั้งยังมีบางคนกลางกระหม่อมมีรอยเปิด นั่นคือร่องรอยการถูกบีบวิญญาณแรกให้ออกมา วิญญาณแรกนี้เกรงว่าคงจะถูกคนกินไปแล้ว
ส่วนผู้ฝึกฌานสตรีก็อนาถยิ่งกว่า หากมีใบหน้างดงามคงหลีกหนีไม่พ้นโชคชะตาถูกเสพกาม ระหว่างเดินหน้า ซูหมิงได้เห็นภาพอย่างหนึ่ง มีศิษย์สำนักฝ่ายนอกของวิญญาณอสูรคนหนึ่งกำลังยืนขึ้นพลางยิ้มเยาะ ใช้เท้าเตะศีรษะสตรีบนพื้น จากนั้นนัยน์ตาเป็นประกาย ขณะกำลังจะจากไป เขาได้ยินเสียงถอนหายใจแว่วเข้ามา
นี่คือสิ่งที่เขาได้ยินครั้งสุดท้ายในชีวิต หลังจากเสียงถอนหายใจผ่านไป เขาเบิกตากว้าง ตรงระหว่างคิ้วปรากฏโพรงโลหิตหนึ่งรู ก่อนร่างล้มลงกับพื้น ขนาบข้างกับศพสตรีศีรษะที่เป็นแผลเหวอะ
ลูกตาข้างหนึ่งของศพสตรีตกลงข้างๆ เพราะแรงระเบิดจากศีรษะ ดวงตานั้นจ้องชายที่สิ้นใจเขม็งตราบชั่วนิรันดร์
ซูหมิงเผยตัวออกมาแล้วเดินหน้าต่อไป
เบื้องหน้าซูหมิง ไม่นานนักชายชราที่มีศิษย์สำนักซ่อนมังกรคุ้มกันอยู่สิบกว่าคนในจิตสัมผัสเขาก็ลงหุบเขาพันวารีไป และกำลังห้อวิ่งอยู่ใต้ยอดเขา ตรงหน้าสุดมีอาคมเคลื่อนย้ายกำลังหมุนโคจรอยู่
อาคมนี้ถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้เพื่อกันไม่ให้คนสำนักวิญญาณอสูรเห็น ยามนี้เพียงเข้าไปในอาคมก็จะออกจากที่นี่ได้ทันทีทว่า ชั่วขณะที่สิบกว่าคนรวมถึงชายชราที่ถูกปกป้องกำลังทะยานไป ทุกคนพลันหยุดชะงัก ทั้งหมดมีสีหน้าหมองหม่นและสิ้นหวัง
ทุกอย่างเป็นเพราะว่านอกอาคมเคลื่อนย้ายตอนนี้มีร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากมวลอากาศ สวมอาภรณ์สีฟ้า ใบหน้าวัยกลางคน สีหน้าเย็นชา ดวงตาให้ความรู้สึกเย็นเยียบ…เซินตง ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณอสูร!
“สหายกู้ เหตุใดต้องรีบร้อนเช่นนี้”
“เซินตง!” ชายชราที่ถูกทุกคนปกป้องหน้าเขียวปัด จ้องเซินตงเขม็ง
“สำนักอสูรของเจ้าหลงระเริงเช่นนี้ กล้าฉีกสัญญาแห่งเซียนและอสูร เรื่องนี้ต่อให้พวกเจ้าปิดบัง สำนักเซียนอย่างพวกข้าต้องรู้แน่นอน ถึงตอนนั้นจะไม่ใช่แค่สงครามของเผ่าหมาน แต่จะเป็นของเซียน!
สำนักอสูรในเผ่าเซียนของเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะรับมือกับการปิดล้อมโจมตีของสำนักอื่นไหว!” ชายชราแซ่กู้ตะโกนกล่าว
“นี่หาใช่เรื่องที่แซ่เซินตัดสินใจได้ สหายกู้ เห็นแก่ที่เจ้ากับข้ารู้จักกัน ส่งหินแสงสว่างหยางมา แล้วข้าจะให้ศพเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะกินเพียงจิตแรกเท่านั้น”
“หินแสงสว่างหยางก้อนนี้ต้องรวมวิญญาณเผ่าเซียนหมื่นตนถึงจะหลอมขึ้นมาได้ เป็นของสำคัญที่สำนักเซียนอย่างข้าต้องใช้กลับเผ่าเซียน และก็เป็นกำลังรากฐานให้กับสำนักที่มาตั้งรกรากในเผ่าหมาน
ฐานะข้าต่ำต้อยเช่นนี้จะไปมีมันได้อย่างไร!” ชายชราแซ่กู้ยิ้มเยาะ กล่าวอย่างเด็ดขาด
“สำนักซ่อนมังกรของเจ้าจะมอบหินแสงสว่างหยางก้อนเล็กหนึ่งก้อนให้กับทุกสาขาย่อย เจ้าไม่ยอมรับไม่เป็นไร สังหารเจ้าแล้ว ข้าก็จะได้มาเอง”
เซินตงเอ่ยพลางเดินหน้าหนึ่งก้าว วินาทีที่จะเหยียบเท้าลง ผู้คุ้มกันด้านหลังชายชราแซ่กู้ต่างพากันใช้วิชา
ทว่ายามนี้เอง ช่วงที่เซินตงก้าวเท้า ร่างกายเขาส่งเสียงดังอื้ออึงแล้วกลายเป็นร่างแยกสิบกว่าคน ร่างแยกเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน พลันห้อเหยียดทะลวงผ่านรอบๆ ชายชราแซ่กู้ดุจลำแสง
ไม่มีเสียงร้องโหยหวน ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม มีเพียงเสียงหึ่งๆ เมื่อทุกอย่างจบลงมันก็ค่อยๆ หายไป ร่างแยกเซินตงก็หายตามไปด้วย เหลือเพียงร่างเดียวอยู่ตรงหน้าชายชราแซ่กู้ไม่ถึงหนึ่งจั้ง
ส่วนผู้คุ้มกันด้านหลังชายชราล้วนมีสีหน้าเหม่อลอยแล้วพากันล้มลง ร่างกลายเป็นโลหิตซึมลงสู่ดินทราย
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นอบอวลอยู่รอบๆ ภาพนี้ทำให้ชายชราแซ่กู้หน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม
“ยอดวิชาโลหิตร่างเงา…ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสำเร็จวิชาอสูรนี้แล้ว…” ชายชราแซ่กู้ฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว ถอยหลังไปหลายก้าว แต่ตอนที่ถอยก้าวที่สองร่างเขาก็ระเบิดกระจุยในทันที
การะเบิดตัวเองกะทันหันยิ่งนัก สร้างเป็นแรงปะทะม้วนตลบไปรอบๆ ในร่างชายชราแซ่กู้ที่ระเบิดออกมีวิญญาณแรกม้วนเอาถุงเก็บวัตถุใบหนึ่งห้อเหยียดหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าหนีไปไม่ถึงสิบจั้ง มวลอากาศตรงหน้าเขาก็บิดเบี้ยวแล้วมีคนเดินออกมาคนหนึ่ง บุคคลนี้คือเป่าชิว! วิญญาณแรกของชายชราแซ่กู้ร้องเสียงแหลมก่อนเปลี่ยนทิศทางในทันที เพียงแต่ยังบินไปไม่ถึงสิบจั้งก็มีอีกคนเดินออกมาจากอากาศ จนกระทั่งชายชราแซ่กู้เปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง รอบๆ ตัวเขาล้วนปรากฏตัวคนสำนักวิญญาณอสูรแปดคนที่ตามหลังเซินตงก่อนนี้ พวกเขาพากันขวางวิญญาณแรกชายชราแซ่กู้เอาไว้ด้วยความเย็นชา
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก สหายกู้” เซินตงเดินออกมาจากฝุ่นตลบเนื่องด้วยการระเบิดตัวของชายชราแซ่กู้ เขายังคงมีสีหน้าเย็นชายามกล่าวช้าๆ
วิญญาณแรกของชายชราแซ่กู้สิ้นหวัง ขณะกำลังจะทำอะไรบางอย่างเขากลับอึ้งงัน เขาอึ้งงันอยู่เพียงชั่วพริบตาเดียวแล้วก็หายวับไป จากนั้นโยนถุงเก็บวัตถุออกไปไกล
ครั้นโยนไปแล้วเขาก็บินหนีไปในทางตรงกันข้าม ฉะนั้นแล้วสายตาของทุกคนรวมถึงเซินตงจึงถูกถุงเก็บวัตถุใบนั้นดึงดูดไป
ผู้อาวุโสสำนักวิญญาณอสูรคนหนึ่งอยู่ใกล้ถุงเก็บวัตถุที่สุด เขาคนนี้เป็นผู้มาเยือน มีสายเลือดบริสุทธิ์ ยามนี้นัยน์ตามีประกาย ก้าวตรงไปยังถุงเก็บวัตถุ พอเข้าใกล้ก็ยกมือขวาเตรียมจะคว้ามา
ทว่าวินาทีที่มือจะสัมผัส พลันมีมือหนึ่งยื่นมาจากอากาศข้างๆ แล้วคว้าถุงใบนั้นไปก่อนหน้าเขา
เหตุการณ์นี้กะทันหันยิ่งนัก ทำให้ทุกคนเพ่งสายตามอง ขณะเดียวกัน พอผู้มาเยือนแห่งสำนักวิญญาณอสูรคนนั้นเห็นว่าถุงเก็บวัตถุที่จะถึงมือถูกแย่งไป ยังไม่ทันขบคิดอะไรก็ร้องคำรามด้วยความโกรธพลางทำสัญลักษณ์มือขวา สองนิ้วทำเป็นกระบี่ฟันไปยังมือจากมวลอากาศตรงนั้น
เสียงหึเย็นชาดังกังวาน หลังจากมือในมวลอากาศคว้าถุงเก็บวัตถุไปแล้ว มันกลับไม่สนนิ้วกระบี่แม้แต่น้อย ทั้งยังใช้หลังมือรับเอาไว้
เสียงโครมดังสนั่นในทันที คนสำนักวิญญาณอสูรผู้นั้นตัวสั่นสะท้านแล้วกระอักโลหิตกองใหญ่ ร่างพลันม้วนกระเด็นไปราวกับว่าแรงปะทะจากหลังมือนั้นแกร่งจนบดขยี้เขาได้!
ภาพนี้กล่าวแล้วเหมือนช้า ทว่าจริงๆ ตั้งแต่เริ่มแย่งชิงกันก็ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ตอนที่ผู้มาเยือนคนนั้นกระอักเลือดล้มลง ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในมวลอากาศ
บุคคลนี้มีรูปร่างสูงตรง สวมหน้ากากสีดำ สวมอาภรณ์สีดำ เส้นผมยาวสะบัดพลิ้ว ในมือถือถุงเก็บวัตถุใบหนึ่งไว้ ดวงตาใต้หน้ากากจ้องทุกคนด้วยความเย็นชา
หน้ากากนี้ทุกคนไม่รู้จัก ทว่าหากเป็นแผ่นดินเผ่าเชมันจะต้องมีไม่น้อยที่รู้จักว่าหน้ากากนี้เป็นของใคร
บุคคลที่สวมหน้ากากนี้ก็คือซูหมิงนั่นเอง!
เขายังไม่อยากเสียสถานที่ฟื้นฟูพลังดีๆ อย่างสำนักวิญญาณอสูรไป ฉะนั้นจึงเผยตัวในยามนี้โดยสวมหน้ากาก แม้หน้ากากจะมีรอยร้าวไม่น้อยและยังเคยแตกหักมาในอดีต แต่ก็ยังพอใช้ปิดบังใบหน้าได้อยู่
“เจ้าเป็นใคร!” เซินตงหรี่ตาจ้องซูหมิงพลางกล่าวเนิบๆ
เป่าชิวมองซูหมิงอยู่ตรงนั้น ด้วยการเชื่อมต่อผ่านจิตวิญญาณ นางมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคนคนนี้คือคุณชายของตน นางกะพริบตาปริบๆ และไม่ได้กล่าวอะไร
“ไม่เห็นต้องพูดเรื่องไร้สาระเช่นนั้น หินแสงสว่างหยางก้อนนี้เป็นของข้าแล้ว!” ซูหมิงเก็บถุงเก็บวัตถุไป แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“โอหัง!” ชายชราผมขาวผู้มาเยือนของสำนักวิญญาณอสูรอีกคนหนึ่งพลันตะโกนเสียงต่ำ พวกเขาคือผู้มาเยือน ย่อมคิดว่าตนสูงส่งเสมอ ยามนี้เห็นว่ามีคนกล้าแย่งของจากพวกเขาไป บวกกับมีจำนวนคนเยอะกว่า จึงกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไป
คนที่เหลือก็เช่นกัน เป่าชิวเองก็ต้องทำเช่นนั้นด้วย เหลือเพียงเซินตงที่หรี่ม่านตาและมีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
แทบจะเป็นช่วงที่ผู้มาเยือนเข้ามาใกล้และทำสัญลักษณ์มือเพื่อใช้วิชา นัยน์ตาซูหมิงมีประกายวาววูบผ่าน
เขาระเบิดพลังกระดูกหมานทั้งหมด ยกมือขวาขึ้นชกใส่พื้นดิน ทันใดนั้นแผ่นดินสั่นสะเทือนแล้วกลายเป็นลูกคลื่นขยับขึ้นลง หมอกดำหลายเส้นลอยขึ้นมาจากใต้พื้น ตอนที่ซูหมิงยกมือขวาขึ้น หมอกดำเหล่านั้นตรงเข้ามารวมอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นทวนยาวสามจั้ง!
ทวนฝังอสูร!
“พวกเจ้าอยากสู้ เช่นนั้น…ก็สู้!” ซูหมิงเงยหน้า มุมปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากยกยิ้มเย็นชา