ตอนที่ 791 ไข่มุกโลหิตจำแนก
เมล็ดพันธุ์สีเขียวคือเกราะพฤกษาที่รวมขึ้นหลังเถียนหลินระเบิดตัว และก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จิงหนานจื่อไว้ชีวิตเถียนหลินเอาไว้ เกราะพฤกษานี้มีขนาดเท่ากำปั้น มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ แผ่ออกมา ทั้งยังมีเส้นใยขยับแสงวูบวาบอยู่ภายใน
ซูหมิงหยิบเกราะพฤกษาขึ้นมาพลางส่งจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน ครู่ต่อมาเกราะเปล่งแสงสว่างพร่างพรายโดยพลัน ครั้นแสงโอบล้อมโดยรอบแล้ว นัยน์ตาเขาแวววาว ก่อนเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกับโยนเกราะพฤกษาลงพื้น
โครม!
พื้นดินสั่นไหวทำให้หินผุพังสั่นสะเทือนตาม ต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหมิง รากไม้จำนวนมากแยกออกแล้วมุดลงดินอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันกิ่งไม้แน่นขนัดเติบโต พริบตาเดียวก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สิบกว่าจั้ง
ชื่อหั่วโหวข้างๆ ตาเปล่งประกาย มองต้นไม้ใหญ่อย่างละเอียดหลายครั้ง ไม่ได้กล่าวอะไร ส่วนกระเรียนขนร่วงเบิกตากว้าง พลันรู้สึกเสียใจภายหลัง ไม่คิดเลยว่าเมล็ดที่กัดแล้วไม่อร่อยนี้จะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่
ซูหมิงยกมือขวากดบนลำต้นไม้ใหญ่ วินาทีที่มือขวาสัมผัส จิตสัมผัสดวงวิญญาณของเขาพลันปะทุเพิ่มขึ้นหลายเท่า ราวกับว่าเขาผสานรวมกับต้นไม้ใหญ่ เหมือนว่าจิตสัมผัสของต้นไม้กลายเป็นการตอบสนองของเขา
ซูหมิงมองหินผุพัง มองฟ้ากระจ่างดาวสีดำนอกหินผุพัง ผืนฟ้ากว้างไกลไร้ขอบเขต บางครั้งก็เกิดแสงในเวลาสั้นๆ และยังมีความเงียบเหงาเกือบจะเป็นนิรันดร์
ผ่านไปพักหนึ่งซูหมิงดึงจิตสัมผัสกลับมาแล้วมองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าพลางหายใจออกยาว
‘ทำให้จิตสัมผัสดวงวิญญาณข้าขยายคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น หากใช้สิ่งนี้ดีๆ จะมีผลมหัศจรรย์ อีกทั้งจิงหนานจื่อยังสนใจ และเถียนหลินต้องจ่ายชีวิตถึงจะสร้างเกราะพฤกษาออกมา น่าจะยังมีประโยชน์มากกว่านี้อีก’ ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ต้นไม้ใหญ่แห้งเหี่ยวอย่างเร็วรี่ พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นเมล็ดเท่ากำปั้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าสีอ่อนลงไปเล็กน้อย
ซูหมิงเก็บเกราะพฤกษาแล้วมองหินโลกที่เต็มไปด้วยพลังดูดวิญญาณสองก้อน เขารู้สึกถึงพลังแห่งโลกจากในหินนั้น
‘หลังก้าวสู่ระดับเจ้าปกครองโลก จะต้องสูบรับต้นกำเนิดแห่งหมื่นโลกเพื่อค่อยๆ ยกระดับพลัง หากอยู่ในโลกที่ต้นกำเนิดโลกยังไม่ยอมรับ จะต้องใช้หินโลกที่หล่อหลอมมาจากโลกของตัวเองเติมเต็มพลังแห่งโลกที่หายไป
นี่ก็เท่ากับว่าสิ่งนี้…ไม่ได้หายากในโลกภายนอก ทว่าในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ทำให้นักโทษเจ้าปกครองโลกทั้งหมดคลุ้มคลั่ง’ ซูหมิงลูบผิวหินโลก รู้สึกถึงความคมผ่านมือ แต่กลับไม่เจ็บ เหมือนกับว่าสิ่งที่ลูบอยู่นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกคมกริบ
‘ใช้มันกับวิชาเงากลืนนภาก็น่าเสียดายเล็กน้อย’ ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ แล้วใช้มือขวาเก็บหินโลกสองก้อนเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ ของหายากยิ่งในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตเช่นนี้น่าจะมีประโยชน์กว่านี้
หลังทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววคะนึงคิด ก่อนยกมือขวาคว้าอากาศ ฉับพลันนั้นทวนยาวสีโลหิตของจิงหนานจื่อบินเข้ามาอยู่ในมือเขา
“ข้าเคยมีทวนยาวแบบนี้อยู่เล่มหนึ่ง” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขานึกไปถึงทวนฝังอสูร ถึงมันจะเป็นของเลียนแบบของเทพหมานรุ่นหนึ่ง ทวนฝังอสูรจริงๆ อยู่ส่วนลึกของราชวงศ์ต้าอวี๋ก็ตาม ทว่ามันก็อยู่กับเขามานานมาก ทั้งยังบุกฝ่าสงครามไปทั่ว จนรวมเป็นวิญญาณนักรบนับไม่ถ้วน
น่าเสียดาย สุดท้ายระเบิดเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเถ้าธุลีหายไป
ทวนยาวสีแดงส่งเสียงอื้ออึงในมือซูหมิง มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ แผ่มาจากตัวมัน ราวกับไม่ยอมให้เขาถือไว้
ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงผลักมือขวาไปข้างหน้า พลันออกแรงห้านิ้วมือกำอย่างแรง พลังโลหิตมหาศาลปะทุมาจากในร่างกาย ไหลไปตามมือสองข้างเข้าปกคลุมทวนยาว
“ถึงไม่ยอม ข้าก็จะใช้เจ้า” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ไม่สนใจดวงจิตในทวนยาว เขาหมุนควงทวนยาวอยู่ข้างหน้า มวลอากาศรอบๆ เกิดเสียงลากยาวแหลม หน้าหลังซ้ายขวารอบตัวล้วนเกิดเงามายาทวนยาว มีมากกว่าหลายพันเล่มจนแยกไม่ออกว่าไหนจริงหรือปลอม
สุดท้ายมือขวาเขาหยุดอยู่ตรงหน้า ปลายทวนยาวส่งเสียงดัง ขณะเดียวกับที่มันปักลงดิน นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดใจ
‘สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงทวนยาว…’ ซูหมิงคลายมือขวาออก แต่กลับใช้ปลายนิ้วดีดตัวทวนยาวที่ปักอยู่บนพื้น ช่วงที่เสียงไพเราะดังกึกก้อง ทวนยาวสั่นไหวพร้อมกับละลายลงตรงหน้าเขา กลายเป็นธารสีแดงนับไม่ถ้วนไหลมาตามปลายนิ้วมือ พริบตาเดียวก็หุ้มทั้งแขนขวากลายเป็นเกราะแขน
เกราะแขนสีแดง มีแสงสว่างพิลึกไหลเวียน โดยเฉพาะตรงหัวไหล่ด้านข้าง ยังมีตัวอักษรตัวหนึ่งที่รวมขึ้นจากอักขระเล็กๆ จำนวนมาก
คำคำนั้นก็คือรักษาการณ์ (卫)!
ชื่อหั่วโหวมองซูหมิงอยู่ตลอด โดยเฉพาะพอเห็นแขนขวาซูหมิงปรากฏเกราะแขน นัยน์ตาเขาเป็นประกายวาววับ ส่วนกระเรียนขนร่วงข้างๆ ยามนี้หน้านิ่วคิ้วขมวด ในใจนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง ยิ่งเห็นความอัศจรรย์ของทวนยาวนี้มากเท่าไร มันยิ่งปวดใจมากเท่านั้น
‘ข่มเหงผู้อื่น ข่มเหงผู้อื่นเกินไปแล้ว น้ำเต้าล้ำค่าก็ถูกเขาขโมยไป เมล็ดพันธุ์ล้ำค่าก็ยังถูกเขาขโมยไปอีก หินสวยงามสองก้อนนั้นก็ถูกแย่งไป แม้แต่ทวนยาวทรงอานุภาพขนาดนี้ยังหนีไม่พ้นมือมืด….สมควรตาย ข้าต้องอดกลั้นเอาไว้ ข้าต้องอดกลั้น อดกลั้น อดกลั้น’ กระเรียนขนร่วงกัดฟัน รู้สึกเหมือนถูกกรีดเนื้อทั้งเป็น
“เจ้ามีพื้นฐานดีแล้ว ข้าแนะนำว่าเจ้าควรไปดาวแท้จริงดวงอื่นๆ บางทีอาจหาร่างแยกที่เหมาะสมเจอ นอกจากนี้เจ้าต้องระวังผู้รักษาการณ์ของสี่มหาโลกแท้จริงด้วย ร้อยปีสั้นๆ นี้ยังไม่พอจะให้พวกเขาลืมเหตุการณ์ดาวแดงเพลิง
ตอนนั้นพวกเราออกไปได้ทันเวลา แต่ก็ปิดตายจากโลกภายนอก ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดาวแดงเพลิงจะส่งผลอะไรบ้าง”ชื่อหั่วโหวหัวล้านกล่าวเสียงต่ำ มองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วก็หลับตานั่งฌาน
ก่อนหน้านี้เขาแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะปกป้องซูหมิง ไม่ว่าซูหมิงเลือกอย่างไร เขาจะติดตามไปด้วย
ซูหมิงขยับวูบไหวตัวหายไปจากแดนผนึก แล้วมาปรากฏตัวยืนอยู่บนหินผุพัง ตรงหน้าเขาเป็นฟ้าดวงดาวดำมืด ความมืดของฟ้าในสายตาเขาแฝงไว้ด้วยความจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวจริงๆ
จิตที่เคยมายังผืนฟ้านี้ตอนอยู่แดนมรณะหยินหลายครั้ง ก็ไม่เท่าไรเลยเมื่อเทียบกับตอนนี้
ความมืดมิด ความจริง เขาชอบมันมาก
เขามองอยู่พักหนึ่ง แล้วนั่งบนผิวหินผุพังอย่างเงียบๆ ก่อนใช้มือขวาตบหินผุพังที่มีขนาดเกือบหมื่นลี้ใต้ร่าง
ครืด!
หินผุพังสั่นสะเทือน และเกิดการแตกแยกกับกลุ่มหินผุพังโดยรอบ มันค่อยๆ เปลี่ยนทิศทาง ครู่ต่อมาก็เกิดเสียงดังฟู่ มันออกจากวงโคจรหินผุพัง แล้วมุ่งหน้าไปยังฟ้ากระจ่างดาวมืดมิดไกลออกไปเพียงลำพัง
ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีที่ที่ต้องไป ซูหมิงนั่งอยู่บนหินผุพัง ปล่อยให้หินผุพังลอยไป ยามนี้เส้นผมสีเทาพาดอยู่บนบ่า เสื้อคลุมยาวสีขาวซ่อนดาราเอาไว้ และยังมีเกราะผู้รักษาการณ์บนแขนขวา
ใบหน้าเขาเย็นชา ดวงตาเย็นเยียบ สายตามองท้องฟ้าดาราอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไป
หนึ่งปี สองปี สามปี…
หินผุพังห้อเหยียดอยู่กลางฟ้าเพียงลำพัง มันเป็นสายรุ้งยาวเส้นตรงในฟ้ากว้างใหญ่ ซูหมิงอยู่บนหินผุพัง ราวกับลืมเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากหินผุพังบินมาเจ็ดปี ตรงหน้าหินผุพังปรากฏเรือชำรุดลำหนึ่ง
เรือลำนี้มีใบเรือ ราวกับฟ้ากระจ่างดาวเป็นมหาสมุทร ด้านบนมีผู้ฝึกฌานซูบผอมหลายสิบคน และในแต่ละมุมของเรือ พวกเขาจะใช้ขั้นพลังเพื่อให้เรือเดินทางต่อไปได้
ผู้ฝึกฌานซูบผอมเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ระดับดิน มีเพียงสองคนที่อยู่ระดับฟ้า สองคนนี้นั่งฌานอยู่ตรงหัวเรือ คล้ายกับกำลังควบคุมทิศทางเรือ
ด้านหลังสองคนนี้มี…เตียงใหญ่หนึ่งเตียง บนเตียงมีคนอ้วนอย่างยิ่งนอนอยู่คนหนึ่ง คนอ้วนผู้นี้กำลังหยีตา ในอ้อมอกมีผู้ฝึกฌานสตรีตัวเตี้ยและซูบผอมที่พอจะเห็นถึงความงามอยู่บ้างคนหนึ่ง
เรือชำรุดลอยร่องอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวลำนี้อยู่ตรงข้ามกับหินผุพังของซูหมิงพอดี ทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ จึงดึงดูดความสนใจของเรือ โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานระดับฟ้าสองคน พวกเขายืนขึ้นด้วยความตื่นตัว สายตามองทอดไปไกล
แวบแรกที่พวกเขาเห็นคือซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินผุพัง เสื้อคลุมขาวทั้งตัว เส้นผมสีเทา ดูเด่นตาอย่างยิ่ง อีกทั้งซูหมิงยังหลับตานั่งฌาน แผ่คลื่นกลิ่นอายพลังเพียงระดับดินเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดความรู้สึกประหลาด
“บุคคลผู้นี้แปลกๆ อย่าไปสนใจเลย รีบไปให้เร็ว ครั้งนี้ท่านว่านโซ่วแห่งผืนฟ้าวงแหวนบูรพาให้กำเนิดบุตรชาย จะไปสายไม่ได้”
ช่วงที่ผู้ฝึกฌานระดับฟ้าสองคนมองไปด้วยความตื่นตัว ก็มีเสียงเล็กแว่วมาจากข้างหลัง เสียงนี้มาจากคนอ้วนตัวใหญ่บนเตียง
คนอ้วนหยีตา มองซูหมิงที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง
ไม่นานหินผุพังกับเรือก็เข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นการปะทะกัน ชั่วขณะที่สองฝ่ายกำลังจะตัดสลับกัน ซูหมิงยังคงหลับตานั่งฌาน ไม่ได้สนใจใดๆ
หากแต่ตอนที่หินผุพังกับเรือแล่นผ่านกันนั้น กลับมีแสงสีแดงสว่างจ้าแผ่ขยายมาจากหน้าอกผู้ฝึกฌานระดับฟ้าสองคนบนเรือ
ขณะเดียวกัน ภายในอาภรณ์ของคนอ้วนก็มีแสงสีแดงเปล่งออกมาเช่นกัน แสงสีแดงสามเส้นนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้สามคนล้วนอึ้งงัน
คนอ้วนพลันหน้าเปลี่ยนสี เขาหยิบวัตถุเปล่งแสงสีแดงออกมาจากอกเสื้อโดยพลัน นั่นคือไข่มุกเท่ากำปั้นเด็กทารก เวลานี้มันส่องแสงคล้ายโลหิตดูน่าสะพรึงกลัว ในจังหวะเดียวกัน คนอ้วนก็มองซูหมิงบนหินผุพังที่ยังไปไหนไม่ไกลนัก
“ไข่มุกโลหิตจำแนกที่ผู้รักษาการณ์มอบให้มากกว่าครึ่งแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตเมื่อร้อยปีก่อน สะ…สว่างแล้ว หรือว่า….จะเป็นเขา!” คนอ้วนพลันยืนขึ้น นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นอย่างชัดเจน
“เขาเป็นผู้ฝึกฌานระดับดินจริงๆ ขวางเขาเอาไว้ อย่าให้หนีไปได้!”