ตอนที่ 827 ความคิดบ้าคลั่ง
โครม!
ซูหมิงล้มเหลวกลับมาไม่นาน แผ่นศิลาของโจวคังก็ขยับแสงวูบวาบเด่นชัด จากความสูงเก้าหมื่นกว่าจั้งลดลงจนเหลือหลายพันจั้ง จากนั้นโจวคังก็กระเด็นออกมาจากภายในน้ำวนแผ่นศิลา
เขาหน้าซีดขาว เหม่อมองแผ่นศิลานั้นอยู่นาน ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความขมขื่น หลับตานั่งฌาน
เขาก็ล้มเหลวเช่นกัน
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตามองโจวคัง ช่วงที่มองไปเขาพลันหรี่ตา ทั้งร่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เพราะในสายตาเขาเห็นบนมือขวาโจวคังมีเส้นบางสีทองเส้นหนึ่ง เส้นบางนี้มีกลิ่นอายที่ซูหมิงรู้สึกคุ้นเคยอยู่
กระทั่งในสายตาเขา เส้นสีทองในมือขวาโจวคังขยับไหว ราวสะท้อนแสงกับเขาอยู่ไกลๆ
ซูหมิงชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แล้วหันไปมองคนอื่นๆ ที่นี่ในตอนนี้ ครั้นกวาดสายตามองไป จิตใจก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ทว่าสีหน้ากลับไม่เผยเงื่อนงำใดๆ
เขาเห็นว่าในตัวทุกคนมีเส้นบางสีทองแบบนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในมือขวา และก็มีมือซ้าย กระทั่งหลายคนในนั้นมีตรงขาสองข้าง
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน หลังจากล้มเหลวครั้งแรกถึงเห็นว่าทุกคนมีเส้นสีทอง เพียงแต่บางคนมีเส้นทองสว่าง บางคนมีแสงทองอ่อน
“ต้นกำเนิดจิตหรือ…” ครู่ต่อมาซูหมิงพึมพำเสียงเบา เขาพบว่าจุดที่ปรากฏเส้นสีทองบนร่างกายของทุกคนจะเป็นตำแหน่งเดียวกับที่สัมผัสแผ่นศิลา
ขณะตกอยู่ในห้วงความคิด พลันมีเสียงครึกโครมแว่วมาจากแผ่นศิลา ในอากาศไกลออกไปเกิดรอยร้าวยักษ์ขึ้น ก่อนจะมีคนเดินออกมาติดกันเจ็ดคน
การปรากฏตัวของเจ็ดคนนี้ทำให้ผู้ฝึกฌานรอบๆ ต่างมีสีหน้าทะมึน ท่าทีเย็นชา และยังมีเจตนาร้ายแอบแฝง
เจ็ดคนใหม่นี้มีแววตาสับสน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ในใจมีเสียงของซุ่ยเฉินจื่อดังกังวานอยู่ แทบเป็นขณะเดียวกับพวกเขาปรากฏตัว ก็มีดวงจิตเย็นเยียบลงมาเยือน ดวงจิตนี้ลากผ่านไปรอบๆ แล้วไปรวมอยู่บนแผ่นศิลาสูงเจ็ดหมื่นจั้งกว่า แผ่นศิลาพลันเปล่งแสงวูบวาบ มีเสียงร้องโหยหวนแว่วออกมา จากนั้นชื่อบนแผ่นศิลาก็ถูกลบไป
ดวงจิตเย็นชายังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ ซูหมิงกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขาเงยหน้าจ้องกลางอากาศ ในสายตาเขาปรากฏภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาเห็นร่างเงาเลือนรางกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ปรากฏอยู่บนอากาศกลางศูนย์รวมแผ่นศิลาหนึ่งแสนอัน ร่างเงามายานี้เห็นรางๆ ว่าเป็นชายชราคนหนึ่ง เขาเดินไปรอบๆ อย่างเนิบช้า ทุกครั้งที่หยุดจะใช้มือกดแผ่นศิลา จากนั้นแผ่นศิลาเปล่งแสงสว่างทันที แล้วชื่อบนนั้นจะถูกลบหายไป
‘หลังล้มเหลวหนึ่งครั้ง ดวงตาข้า…ตาขวาข้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง! ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ข้าไม่เห็นเส้นสีทองและร่างเงานี้
เขาเป็นใคร หรือว่าจะเป็น…ซุ่ยเฉินจื่อ!’ ซูหมิงลมหายใจกระชั้น เขาเห็นร่างเงานั้นกดมือติดกันหกครั้งแล้ว มีแผ่นศิลาหกอันขยับแสงวิบวับ นั่นหมายความหกคนนี้ตายแล้ว
จนกระทั่งเขาเห็นร่างเงาเดินมาอยู่ตรงแผ่นศิลาของโจวคัง แต่โจวคังกลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย กล่าวจริงๆ คือทุกคนที่นี่ไม่มีใครเห็น!
มีเพียงซูหมิง
เขาเห็นร่างเงานั้นยกมือขวาขึ้น วินาทีที่จะกดลงแผ่นศิลาของโจวคัง ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เขานึกถึงคำเตือนของโจวคัง นึกถึงว่าโจวคังอยู่กับเขามาหกสิบปี ถึงแม้พูดไม่เยอะ ทว่าจะพูดช่วยเหลือกันทุกครั้ง
“โจวคัง!” ซูหมิงพลันกล่าวเสียงดัง
ช่วงที่โจวคังลืมตาขึ้นมองเขา ซูหมิงเห็นว่าร่างเงากลางอากาศที่คนอื่นมองไม่เห็นหันหน้ามามองตน
วินาทีที่ซูหมิงสบตากับร่างเงานั้น ในความคิดพลันเกิดเสียงระเบิด ความเจ็บปวดรุนแรงเกิดขึ้นในใจราวกับถูกทะลวง
ผ่านไปไม่นาน ร่างเงาก็ละสายตากลับ ยกมือขวาขึ้นลังเลใจเล็กน้อย เขาไม่ได้กดบนแผ่นศิลาของโจวคัง แต่กดบนแผ่นศิลาข้างๆ ซึ่งห่างไปสี่หมื่นจั้งแทน ครั้นแผ่นศิลาขยับแสงวูบวาบ ชื่อก็ถูกลบหาย ร่างเงานั้นมองซูหมิงอีกครั้งก่อนค่อยๆ เลือนหายไป
ทว่าวินาทีนั้น มีเสียงแก่ชราดังกังวานอยู่ในใจซูหมิง เสียงนี้เป็นของซุ่ยเฉินจื่อ ทว่ากลับต่างออกไปเล็กน้อย ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่มีความเฉยชามากกว่าเดิม
“แค่ครั้งนี้เท่านั้น!”
ซูหมิงใจสั่นสะท้าน จนกระทั่งร่างเงาหายไป ตอนโจวคังมองมา เขาหลับตาลงแล้ว ผ่านไปนานถึงจะระงับความตื่นตะลึงในใจได้ เขารู้ว่าหลังจากล้มเหลวในห้าระดับแห่งมายาหนึ่งครั้งแล้ว ตนจะได้รับพลังที่คนอื่นจินตนาการไม่ถึง เขายังรู้อีกว่า การคาดเดาของซือหม่าเยวี่ยภรรยาโจวคังที่ว่าผู้ฝึกฝนห้าระดับแห่งมายาจะมีอัตราการถูกคัดออกน้อยกว่า เรื่องนี้…ถูกต้อง!
เพราะผู้ฝึกฝนห้าระดับแห่งมายา….จะมองเห็นร่างเงานั้น กระทั่งยังเปลี่ยนโชคชะตาของคนอื่นได้บ้าง
‘ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ถึงผู้ฝึกห้าระดับแห่งมายามีไม่มาก ทว่าในกาลเวลาไม่มีสิ้นสุดจะต้องมีอยู่ไม่น้อย คนเหล่านี้…’ ซูหมิงเงยหน้ามองแผ่นศิลาสูงเกินกว่าแสนจั้งเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าที่นี่มีกี่คนที่ฝึกฝนห้าระดับแห่งมายาเหมือนกับเขา
“มีอะไรรึ?” โจวคังกล่าวขึ้นขัดความคิดซูหมิง ซูหมิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อนแวบหนึ่ง ส่ายศีรษะไม่กล่าวสิ่งใด
โจวคังตะลึงงัน นัยน์ตาพลันแวววาว มองแผ่นศิลาข้างๆ ตนที่ก่อนหน้านี้ถูกลบชื่อไปโดยพลัน ดวงตาเขาเริ่มเป็นประกาย ฉายแววขบคิด
เขาไม่ถามซูหมิงอีก แต่หลับตานั่งสมาธิใหม่
ซูหมิงเงยหน้ามองไปรอบๆ นัยน์ตามีแสงหม่นวูบวาบช้าๆ ก่อนหลับตาลงเช่นกัน หลายวันต่อมาเขาก็เข้าไปในโลกแผ่นศิลาอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอีกครั้ง สิบปี ยี่สิบปี…จนกระทั่งวนกลับมาครบหกสิบปีอีก ในหกสิบปีนี้ ซูหมิงทำให้แผ่นศิลาสูงเก้าหมื่นจั้งสองครั้ง แต่การทดสอบสองครั้งนั้นก็ล้มเหลว
ครั้งแรกเขาขึ้นมาบนดาวแท้จริงโดยเหลือเพียงศีรษะ ครั้งที่สองเหลือครึ่งตัว
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังไม่อาจผ่านการทดสอบ เพราะเขาเริ่มค้นพบว่าหากอยากจะให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้ง ไม่เพียงแต่ต้องให้ร่างกายขึ้นไปบนดาวอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ยังต้อง…ได้รับต้นกำเนิดจิตจากในต้นไม้ใหญ่นั้นด้วย!
ในสองครั้งนี้ เพราะความมหัศจรรย์ของดวงตาขวา เขาจึงเห็นว่าในต้นไม้ใหญ่มีแสงสีทองไร้ที่สิ้นสุดอยู่ แสงทองนี้ก็คือเส้นสีทองที่เขาเห็นจากในตัวทุกคน
นี่คือต้นกำเนิดจิต เป็นพลังพิลึกที่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่รู้สึกได้ว่ามันทรงพลัง
ในเวลาหกสิบปี ประสบการณ์ที่เพิ่มแผ่นศิลาจนสูงถึงเก้าหมื่นกว่าจั้งสองครั้ง ทำให้ในโลกความทรงจำของเขา อักขระในดวงตาขวาหลายร้อยเกือบพันตัวในตอนนั้นเพิ่มขึ้นจนมีถึงห้าพันตัวแล้ว แต่ต่อให้มีถึงห้าพันตัว ก็ไม่อาจให้แผ่นศิลาของเขาบรรลุถึงหนึ่งแสนจั้งได้ ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ ในหัวยังคงมีเสียงของซุ่ยเฉินจื่อดังกังวาน
“เจ้าใช้ได้ทุกวิธี ขอเพียง…ได้รับต้นกำเนิดจิต!”
“ทุกวิธี นี่คือการบอกใบ้ที่ชัดเจนมาก” ซูหมิงพึมพำ สายตามองแผ่นศิลาสูงเพียงสองพันสามร้อยจั้งตรงหน้าของตน ในเวลาหกสิบปีนี้ เขายังคงใคร่ครวญถึงความคิดบ้าคลั่งหลังจากล้มเหลวในครั้งแรกอยู่ตลอด
‘ใช้วิธีปกติทำให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งเป็นเรื่องยากยิ่ง ถึงข้าไม่รู้ว่าคนอื่นทำได้อย่างไรก็เถอะ ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ทำได้มีไม่มาก ดูท่าทุกคนคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
อีกอย่างต้องใช้เวลานานมาก เส้นทางนี้ข้าควรรู้ว่าควรจะเดินไปเช่นนี้ เพราะว่า…แผ่นศิลาของข้าเดิมทีสูงเพียงสองพันจั้ง ถึงจะเหมือนกับคนส่วนใหญ่มาก แต่ก็มีความต่างเช่นกัน จากการสังเกตหนึ่งร้อยยี่สิบปีมานี้ ขนาดของแผ่นศิลาตอนเริ่มต้นน่าจะมีการพิจารณาและคาดการณ์แต่ละคนอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นเหตุใดตอนเริ่มต้นบางคนถึงมีแผ่นศิลาสูงหลายพัน บางคนเกือบหมื่น บางคนก็มีเพียงหลายร้อยจั้ง
หลังจากล้มเหลวครั้งแรก แผ่นศิลาจากสองพันจั้งจะกลายเป็นสองพันหนึ่งร้อยจั้ง จากนั้นอีกหกสิบปีข้าล้มเหลวไปสองครั้ง ตอนนี้แผ่นศิลาสูงสองพันสามร้อยจั้ง
กล่าวได้ว่าทุกครั้งที่ล้มเหลว ความสูงเดิมของแผ่นศิลาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยจั้ง จนกระทั่งความสูงเดิมถึงแสนจั้งแล้วถึงจะผ่านการทดสอบนี้
ข้าต้องล้มเหลวอีก…เก้าร้อยกว่าครั้ง หากหกสิบปีทดสอบได้สองครั้ง อย่างน้อยข้าต้องใช้เวลาหกสิบปีสี่สิบกว่าครั้ง หรือก็คือ…สองหมื่นกว่าปี
นี่ยังไม่รวมเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอื่นๆ หากทุกอย่างราบรื่นก็แล้วไป แต่สองหมื่นกว่าปีนี้ข้าคงรอไม่ไหว และก็รอไม่ได้ด้วย’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายแสงอ่อนจาง ขณะอักขระซ้อนทับกันห้าพันตัวในดวงตาขวาขยับวิบวับ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ หลับตาลง
‘น่าจะได้แล้ว หากไม่นับความล้มเหลวครั้งแรก จากการสังเกตในความล้มเหลวอีกสองครั้ง ต้นไม้นั้น…ไม่เพียงแฝงไว้ด้วยต้นกำเนิดจิต แต่แฝงไว้ด้วยพลังชีวิต มันคือสิ่งมีชีวิต และก็มีพลังชีวิตมหาศาล!
ครั้งหน้าหลังจากแผ่นศิลาข้าถึงเก้าหมื่นกว่าจั้งแล้ว ข้าต้องดำเนินแผนการนี้!’ ซูหมิงหลับตากล่าวในใจ
‘ใช้ได้ทุกวิธี…เช่นนั้นข้าจะใช้เพียงวิธีเดียวที่คนอื่นไม่มี…ทำให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้ง!’ ภายในดวงตาปิดสนิทของซูหมิงมีความบ้าคลั่งซ่อนอยู่
เวลาผ่านไปอีกครั้ง ทีละปีๆ…ยี่สิบเจ็ดปีต่อมา อักขระในดวงตาขวาเขาเพิ่มมาถึงเจ็ดพันกว่าตัว แผ่นศิลาก็สูงถึงเก้าหมื่นกว่าจั้งเป็นครั้งที่สี่
ซูหมิงยืนอยู่ข้างหน้าแผ่นศิลาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาหันไปมองรอบๆ โจวคังยังอยู่ในแผ่นศิลา คนอื่นๆ โดยรอบส่วนใหญ่ซูหมิงจะคุ้นเคย เขามองตรงจุดที่ตนอยู่มาเกือบหนึ่งร้อยห้าสิบปี นัยน์ตามีความแน่วแน่ปรากฏทีละน้อย
กระทั่งเมื่อมองแผ่นศิลาของตนแล้วเกิดน้ำวนขึ้นบนนั้น ร่างซูหมิงจึงค่อยๆ เลือนรางหายไป แล้วมาปรากฏอยู่นอกทะเลสีทอง กลางฟ้ากระจ่างดาวผืนเดิม
โดยรอบเงียบสงบ เขายืนอยู่กลางฟ้า สายตามองดาวแท้จริงดวงนั้นในทะเลทอง ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยวทีละนิด
‘ขอแค่เจ้ามีชีวิต ข้าก็จะ…ยึดวิญญาณเจ้าเป็นร่างแยก!’ นัยน์ตาซูหมิงเผยแววบ้าคลั่ง นี่คือแผนการหลังจากล้มเหลวในครั้งแรก
ในเมื่อรับต้นกำเนิดจิตจากในต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ เช่นนั้น…เขาจะยึดวิญญาณมัน เปลี่ยนชีวิตของต้นไม้ใหญ่ให้กลายเป็นร่างแยก หากทำสำเร็จจะเป็นร่างแยกที่ไม่เคยมีมาก่อน กระทั่งบรรพบุรุษรุ่นแรกของเผ่ายมโลกก็ยังไม่มี!
หากใช้ร่างแยกนี้ฝึกฝนต้นกำเนิดจิตโดยเฉพาะ อนาคตของซูหมิง…จะไม่อาจจินตนาการ!
เงื่อนไขคือ ต้องทำให้สำเร็จ!