Skip to content

สู่วิถีอสุรา 864

ตอนที่ 864 เจ้าบ้านยุติธรรม

อวี้เฉินไห่ส่งเสียงหัวเราะสดใส มีสีหน้าจริงใจ เหมือนกับว่าเขาเข้าใจเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าคนในตระกูลตนทำไม่ถูกต้อง

ทว่าซูหมิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ต่อให้กฎตระกูลเข้มงวดกว่านี้อีกก็ต้องมีการปกป้องกันทางสายเลือดที่ไม่ต้องสอบถาม ไม่ต้องเข้าใจสถานการณ์ อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังมีสีหน้าทะมึนทึบและทำท่าจะลงมือด้วย แต่เพราะพลังวิชาองเขา ท่าทีอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เรื่องนี้แปลก จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

“แขก?” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ

“ตระกูลอวี้ของเราเป็นหนึ่งในตระกูลจำนวนมากบนดาวทมิฬ มีงานประมูลของตัวเอง ในลานประมูลขนาดกลางเราอยู่อันดับสาม หากสหายซูหมิงยอมเป็นแขก ทุกเดือนจะมอบหินผลึกสามหมื่นก้อนให้ และยังมีตราหยกขาว ซึ่งจะได้รับส่วนลดและการดูแลอย่างมีเกียรติในลานประมูลของเรา

นอกจากนี้ยังอยู่ในขุมอำนาจของตระกูลเรา เราจะมอบถ้ำอาศัยให้กับสหาย ถ้ำแห่งนี้มีพลังวิญญาณเปี่ยมล้น เพียงแค่สหายเสนอมา ขอเพียงมันไม่มากเกินไป ทางตระกูลจะรับข้อเสนอไว้ทั้งหมด

นอกจากนี้ตระกูลอวี้จะไม่เหนี่ยวรั้งสหายซูแต่อย่างใด สหายจะไปได้ทุกเมื่อ ทุกอย่างเป็นอิสระ ในเวลาปกติก็ไม่มีเรื่องใดที่สหายซูต้องทำ ขอเพียงลงมือในช่วงเวลาสำคัญๆ ก็พอแล้ว มิหนำซ้ำเมื่อลงมือหนึ่งครั้งจะมีของมอบให้อีกต่างหาก ไม่ทราบว่าสหายซูคิดเห็นเช่นไร?”

อวี้เฉินไห่ยิ้มกล่าว สายตามีเพียงซูหมิง ไม่ได้มีชายชราที่ถูกผนึกข้างๆ เลย กระทั่งในมุมมองของอวี้เฉินไห่ ซูหมิงที่มีพลังผนึกเจ้าปกครองโลกตอนกลางได้คนนี้สำคัญกว่าหลายคนมาก ถึงเขาจะไม่มีคุณสมบัติเชิญคนอื่นให้มาเป็นแขก ถึงการเข้าร่วมเป็นแขกของแต่ละตระกูลจะเข้มงวดอย่างยิ่ง ไม่เพียงต้องตรวจสอบ ทั้งยังต้องเป็นคนระดับผู้อาวุโสในตระกูลเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เชื้อเชิญ

ทว่า พอนึกถึงวิชาผนึกของซูหมิง ในใจอวี้เฉินไห่ก็ร้อนรุ่มขึ้นมา ขอเพียงซูหมิงตกลง จากนี้เขาก็ค่อยไปตรวจสอบ แล้วใช้ทรัพยากรของตนแลกเป็นคุณสมบัติแขกชั่วคราวให้อีกฝ่าย

“สหายอวี้ไม่กลัวว่าแซ่ซูจะมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝงรึ รีบร้อนเชิญเช่นนี้ มันดูเหมือนเด็กน้อยเล่นกันไปหน่อย” ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ยิ้มให้อวี้เฉินไห่

อวี้เฉินไห่ตาเป็นประกาย ทว่าใบหน้ากลับยังคงยิ้ม ระหว่างส่ายศีรษะก็ประสานมือคารวะซูหมิง

“สหายซูเกิดความไม่เชื่อถือในใจ เรื่องนี้แซ่อวี้บุ่มบ่ามไปเองจริงๆ…..” กล่าวถึงตรงนี้ อวี้เฉินไห่ก็ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พอมองซูหมิงอีกครั้งแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาด

“ไม่ขอปิดบังสหายซูแล้ว แซ่อวี้ไม่มีคุณสมบัติเชิญสหายซูเป็นแขก ทว่าหากจะเชิญสหายให้เป็นแขกชั่วคราว เรื่องนี้แซ่อวี้ทำได้ ถึงสหายซูจะมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงจริงๆ แต่แซ่อวี้ก็จะขอเดิมพันเชื่อใจสหาย” อวี้เฉินไห่มีสีหน้าจริงใจอย่างยิ่ง แล้วโค้งคารวะซูหมิงลงลึกๆ

“อ้อ? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบ

“แม้แซ่อวี้จะเป็นสายเลือดตรงในตระกูล ทว่ามีฐานะไม่สูง เป็นกรุณาของผู้อาวุโสที่รักและเมตตาข้า มอบคุณสมบัติให้แซ่อวี้เป็นเจ้าภาพงานประมูลได้หนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าคนข้างกายที่จะช่วยข้ามีน้อยมาก และยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านการผนึกไปอีกคนหนึ่ง

ดังนั้นพอเห็นวิชาผนึกของสหายซูหมิงจึงเกิดความคิดอยากจะเชิญชวน เมื่อครู่นี้ไม่ได้บอกความจริงไป หวังว่าสหายซูจะให้อภัย” อวี้เฉินไห่เอ่ยด้วยความจริงใจ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะจงใจเข้ามาใกล้ชิด เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้ว่าตนจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประมูลเหมือนกัน ผู้แข่งขันในตระกูลไม่มีทางใช้เวลาเท่านี้จัดหาคนแปลกตาและมีขั้นพลังไม่ธรรมดามาใกล้ชิดกับตนด้วยวิธีนี้ได้แน่

และที่สำคัญที่สุดคือครั้งนี้เขาเคลื่อนย้ายมา การเจอซูหมิงที่นี่ก็เป็นเรื่องบังเอิญ เดิมทีคนที่มาที่นี่ไม่ควรจะเป็นเขา แต่เป็นบิดาตนต่างหาก เพียงแต่ว่าเขามาแทน อีกอย่างบิดาที่เป็นผู้อาวุโสย่อมไม่คิดทำร้ายบุตรของตัวเองแน่

นอกจากนี้จากเบาะแสต่างๆ ก็พอมองออกว่าซูหมิงเหมือนจะไม่รู้ถึงความสำคัญของวิชาผนึกบนดาวทมิฬ เรื่องนี้ก็มองเงื่อนงำออกอยู่บ้างเช่นกัน เพราะมาถึงอีกฝ่ายก็ใช้วิชาผนึกเลย

“เจ้าต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านการผนึกรึ?” ซูหมิงมองเฉินอวี้ไห่

“เกรงว่าสหายซูคงจะเพิ่งมาดาวทมิฬเป็นครั้งแรก บนดาวทมิฬมีคนที่มีวิชาผนึกไม่น้อย ทว่าคนที่ผนึกเจ้าปกครองโลกตอนกลางได้มีไม่มาก ด้วยวิชาผนึกของสหายซู ในทุกๆ ลานประมูลจะได้รับความสนใจแน่นอน กระทั่งหากมีคนแนะนำ ต่อให้ไปสามลานประมูลขนาดใหญ่ก็ยังได้ ข้ามเรื่องที่ว่าคนในตระกูลเหล่านั้นของแซ่อวี้เชิญผู้แข็งแกร่งอย่างสหายซูไม่ได้ไปก่อน ต่อให้เป็นตระกูลอวี้ คนที่ทำแบบสหายซูได้มีเพียงสามคนเท่านั้น ดังนั้นข้ายังต้องกังวลอะไรอีก หวังว่าสหายซูจะช่วย แซ่อวี้จะตอบแทนอย่างงามแน่นอน” อวี้เฉินไห่มองซูหมิงด้วยความจริงใจพลางรอคำตอบ

“เจ้ายังไม่บอกแซ่ซูเลยว่าต้องการวิชาผนึกไปใช้ทำอะไร” ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ

“ผนึกสมบัติในงานประมูล งานประมูลที่แซ่อวี้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้เชิญแขกผู้เชี่ยวชาญผนึกสามคนในตระกูลไม่ได้ เชิญได้เพียงแขกไม่กี่คนที่อยู่ใต้บัญชาของผู้อาวุโสสายเลือดเดียวกับข้าเท่านั้น แต่เกรงว่าพวกเขาคงยากจะทำให้ข้าพอใจได้

ครั้งนี้ งานประมูลจะมีสมบัติของเผ่าประหลาดมาไม่น้อย ต้องการผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญวิชาผนึกคนหนึ่งเพื่อไม่ให้พวกมันเกิดข้อผิดพลาด” อวี้เฉินไห่รีบกล่าว ความจริงเขาพูดไปแล้วห้าส่วน และย่อมไม่มีทางพูดมาทั้งหมดว่างานประมูลของตระกูลอวี้ครั้งนี้คือการแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของพวกเขาคนในรุ่นนี้

งานประมูลมีทั้งหมดหกลาน แบ่งเป็นเจ้าภาพหกคน ผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลจะช่วยไม่ได้มากนัก จะทำได้ดีแค่ไหนก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน

เรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงฐานะในตระกูลของหกคนนี้ในภายภาคหน้าด้วย การรบราชิงดีกันเองภายในเริ่มขึ้นตั้งนานแล้ว กระทั่งของในงานประมูลยังกำหนดให้ตามศักยภาพ อย่างเช่นการเชื้อเชิญผู้ฝึกฌานที่สามารถผนึกเจ้าปกครองโลกตอนต้นมาได้ เช่นนั้นก็จะยื่นเรื่องขอสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่ต้องมีคนผนึกมาได้

หากเชิญคนที่สามารถผนึกเจ้าปกครองโลกตอนกลาง เช่นนั้นก็จะยื่นเรื่องขอสมบัติที่ดีกว่ามาได้ มิหนำซ้ำอวี้เฉินไห่มั่นใจว่าหากคนได้ประมูลสมบัติล้ำค่าระดับนี้ เขามีความมั่นใจสูงมากว่าจะแสดงความสามารถออกมาได้มากสุดในหกคน

“ขอเพียงสหายซูตกลง แซ่อวี้จะมอบหินผลึกให้ห้าล้านก้อนถือเป็นการขอบคุณล่วงหน้า หากแซ่อวี้สำเร็จในงานประมูล จะมอบให้อีกสิบล้านก้อนเป็นการขอบคุณสหายซู

สหายซูวางใจเถอะ กฎตระกูลอวี้ข้อแรกคือเมื่อสัญญาแล้วจะต้องทำให้ได้!” อวี้เฉินไห่ประสานมือคารวะอีกครั้ง

อวี้เฉินไห่เพิ่งกล่าวจบ กระเรียนขนร่วงที่หมดสติอยู่ข้างๆ พลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายเหมือนหินผลึก มันตื่นเต้นจนตัวสั่นอีกครั้ง อยากจะตอบตกลงเรื่องนี้ทันที

ทว่าขณะที่กำลังจะกล่าวตอบตกลงแทนซูหมิง มันก็เห็นซูหมิงถลึงตามองตนทีหนึ่ง จึงเงียบไปทันที แต่ในใจกลับเจ็บปวด

“หินผลึก หินผลึกของข้า…” กระเรียนขนร่วงคอตก มีท่าทีน้อยใจ

ตอนนี้เอง นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง เขาไม่คิดเลยว่าตระกูลบนดาวทมิฬจะมั่งคั่งเช่นนี้ หินผลึกสิบล้านก้อนเหมือนเป็นเพียงจำนวนน้อยๆ เท่านั้น นี่มันต่างกับสภาพดาวอื่นๆ ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมากเกินไป

ด้วยประสบการณ์เขาจึงมองออกว่าคำพูดของอวี้เฉินไห่มีส่วนที่หาใช่ความจริงไม่ ทว่ารวมๆ แล้วไม่น่าจะลวงหลอก ยามนี้เขาหรี่ตาลง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

“เมื่อคนตระกูลอวี้พูดแล้วจะต้องทำให้ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ผิด นี่คือกฎของตระกูลอวี้เรา สหายซูวางใจได้” อวี้เฉินไห่ยิ้มพลางกล่าวขึ้น

“ทุกคนเป็นเช่นนี้?” ซูหมิงมองอวี้เฉินไห่

“ทุกคนเป็นเช่นนี้” อวี้เฉินไห่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เกิดความไม่แน่ใจในความหมายแฝงคำพูดซูหมิง

ซูหมิงกระแอมทีหนึ่ง แล้วยกมือขวาชี้ไปยังชายชราที่ถูกผนึกอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวเรียบๆ

“เมื่อครู่เขารับปากข้าไว้ว่าจะมอบหินผลึกพันล้านก้อนเป็นการขอโทษ ในเมื่อสหายอวี้อยู่ที่นี่ ก็คงจะได้ยินคำสัญญาของเขาด้วยตัวเอง เจ้าต้องเป็นพยานให้ข้า”

ขณะอวี้เฉินไห่ตะลึงงัน ชายชราที่ถูกผนึกแต่ยังได้ยินพลันลืมตาขึ้น เขาดิ้นรนอย่างรุนแรง นัยน์ตาฉายแววโกรธแค้น ความโกรธแค้นนี้ประหนึ่งแผดเผาโดยรอบ คล้ายกับว่าหากหลุดไปได้ เขาจะคำรามด้วยความโกรธอย่างสุดเสียง

กระทั่งในความเกรี้ยวโกรธยังมีความสิ้นหวังและอึดอัดใจ นั่นคือความสิ้นหวังจากจิตวิญญาณ เป็นความอัดอั้นจากในจริงที่ทำให้เขาแทบจะคลุ้มคลั่ง

กระเรียนขนร่วงพลันเบิกตากว้าง ลมหายใจกระชั้น

มันตัวสั่นไปด้วยความตื่นเต้น มันมองซูหมิงอีกครั้ง ทันใดนั้นมันรู้สึกดีใจและนับถือซูหมิงด้วยใจจริง เกิดมโนภาพซูหมิงอยู่สูงส่งอย่างยิ่ง

‘ย่ากระเรียนมันเถอะ เดิมทีคิดว่าท่านกระเรียนผู้นี้ชั่วร้ายแล้ว ไม่นึกเลย ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าซูหมิงที่ปกติชอบอยู่เงียบๆ จะเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงหินผลึกสิบล้าน แต่เขากลับเปลี่ยนให้เป็น…พันล้านก้อน!

ชายหนุ่มแซ่อวี้นั่น เขาต้องการเชื้อเชิญซูหมิง จะต้องยอมเป็นพยานให้อย่างแน่นอน เรื่องนี้…มันสุดยอดไปเลย!’

“พะ….พันล้าน?” หลังจากอวี้เฉินไห่อึ้งงันก็เอ่ยขึ้นโดยจิตใต้สำนึก สองคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังเบิกตากว้างดูประหลาดใจ พวกเขาย่อมมองเงื่อนงำออก นี่คือการขู่กรรโชกอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พวกเขาสองคนเองก็ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน

“หืม? ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่สหายอวี้ได้ยินด้วยตัวเองแล้วหรอกรึ เขารับปากว่าจะให้หินผลึกแซ่ซูพันล้านก้อน หรือว่าเขาหลอกข้า?” ซูหมิงขมวดคิ้ว แล้วแค่นเสียงหึเย็นชา

“ข้ากำลังตัดสินใจเรื่องเป็นแขกตระกูลอวี้อยู่ หากเขาหลอกลวงอย่างชั่วช้า แซ่ซูคงต้องขอใคร่ครวญอีกสักพัก”

อวี้เฉินไห่ยิ้มเฝื่อน เขามองชายชราที่กำลังสิ้นหวังใกล้จะคลุ้มคลั่งแต่พูดไม่ได้ด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะพยักหน้าให้ซูหมิงทันที

“ไม่ผิด แซ่อวี้…..ได้ยิน….กับหูตัวเอง ทว่าเขาไม่น่าจะมีหินผลึกมากขนาดนั้น ทว่าสหายซูวางใจ หินผลึกที่เขาสะสมมาทั้งหมดจะเป็นของสหาย หากไม่พอก็ใช้ชีวิตแลกมา!” กล่าวถึงตรงนี้ นัยน์ตาอวี้เฉินไห่ก็ฉายแววเด็ดขาดและเหี้ยมโหดน้อยๆ

‘กับอีแค่คนที่ใช้ของวิเศษประหลาดฝืนบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ชีวิตนี้คงไม่ก้าวหน้าอีกแล้ว อีกอย่างก็เป็นคนในตระกูลสายเลือดสาขาอีก ถึงจะเป็นผู้ใต้บัญชาบิดาข้า ทว่า…..สละชีพไปก็แล้วกัน’ อวี้เฉินไห่ตัดสินใจอยู่ภายใน ตอนที่มองซูหมิงอีกครั้ง มโนภาพคนตรงหน้าในแววตาเปลี่ยนไปมาก

“ขอบคุณที่สหายอวี้เป็นเจ้าบ้านที่ยุติธรรม เช่นนั้นพวกเราจะไปดาวทมิฬเมื่อไรกันดี?” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!