Skip to content

สู่วิถีอสุรา 866

ตอนที่ 866 ขนนกนางแอ่น

เดิมทีอวี้เฉินไห่ใจหดหู่ ทว่าเมื่อซูหมิงมองมาแวบหนึ่งแล้ว ทุกอย่างก่อนหน้านี้ก็เหมือนกับหายไปในพริบตา เหลือเพียงดวงตาของซูหมิง

ในดวงตาคู่นั้นมีตะวันจันทราและดารา ทั้งสามสิ่งนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดในสายตาอวี้เฉินไห่ จนกระทั่งเข้ามาแทนโลกของเขา ทำให้เขาเหมือนมาอยู่กลางฟ้ากว้างใหญ่ ตัวเขาเล็กจ้อยราวกับมดปลวก คล้ายกับว่าเมื่อเทียบกับฟ้ากระจ่างดาวแล้ว ความกลัดกลุ้มทั้งหมดของตนเล็กจ้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง ไม่คู่ควรกับคำว่ากลัดกลุ้มด้วยซ้ำ

มิหนำซ้ำยามนี้เขายังรู้สึกถึงหิมะปลิวว่อนในฟ้ากระจ่างดาวที่แปลงจากตะวันจันทราและดารา นั่นคือเกล็ดหิมะที่ลอยล่องอยู่ทั้งผืนฟ้าดวงดาว ทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่ใช่เรื่องจริงอันขมุกขมัว ทว่าหิมะที่ตกบนตัวกลับแผ่ไอหนาวคล้ายไปอยู่กลางถ้ำน้ำแข็งพันปี พริบตาเดียวทั้งกายและใจก็หนาวเหน็บ ความหนาวไม่ได้ทิ่มแทงกระดูก แต่กลับทำให้ร่างกายคนจากในสู่นอกจนกระทั่งวิญญาณหยุดชะงักครู่หนึ่ง

ครู่หนึ่งนี้ทำให้ในใจคนสงบนิ่งตามไปด้วย หนำซ้ำยังทำให้อวี้เฉินไห่สูดลมหายใจเข้า และถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ตอนที่มองซูหมิงอีกครั้ง อีกฝ่ายหลับตาลงแล้ว

อวี้เฉินไห่จึงไม่แน่ใจว่าที่ตนกลับมาเป็นปกติเป็นเพราะอีกฝ่ายหลับตา หรือตนหลุดพ้นออกมาเองกันแน่ ถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นจะหายไปแล้ว แต่เขาคิดว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้ไม่มีทางผิดแน่ ซูหมิงคนนี้จะต้องมีบางอย่างไม่ธรรมดา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทำให้ตนใจลอยลืมตัวในแวบเดียวได้อย่างแน่นอน

กระทั่งความรู้สึกเมื่อครู่นี้ยังเหมือนวิญญาณกับร่างกายแยกจากกัน หากอีกฝ่ายคิดร้ายต่อตน เช่นนั้นเมื่อครู่ตนคงยากจะต่อต้าน ถูกจัดการตามอำเภอใจ เหงื่อเย็นๆ ซึมมาจากหน้าผาก ช่วงที่อวี้เฉินไห่มองซูหมิง ในใจก็เกิดความหวาดกลัวขึ้น เขาประสานมือคารวะซูหมิงพลางกล่าวเสียงเบา

“เมื่อครู่นี้ข้าลืมตัวเสียกิริยาไป ขอบคุณที่สหายซูช่วยเตือนสติ” ถึงอวี้เฉินไห่ยังกล่าวกับซูหมิงด้วยความเกรงใจ ทว่าในความเกรงใจมีท่าทีระหว่างคนรุ่นเดียวกันอยู่ แต่ยามนี้เมื่อกล่าวออกไป กระทั่งเขาเองยังไม่สังเกตเลยว่าตนมีท่าทีวางตัวเองให้ด้อยกว่าเล็กน้อย

ศักยภาพ บางครั้งไม่ต้องลงมือก็เผยออกมาได้ เพียงแววตาหรือคำพูดราบเรียบหนึ่งประโยคก็มากพอจะได้รับความเคารพยำเกรงจากคนอื่นแล้ว

“นั่งลง” ทันทีที่ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบ อวี้เฉินไห่สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าซูหมิง ในสายตาเขาตอนนี้ ซูหมิงต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ความสงบนิ่งและความรู้สึกที่ว่าแม้ฟ้าดินพังทลายตรงหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้าน ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนยิ่ง

“น่าขายหน้าสหายซูจริงๆ คำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับสหายซูถูกผู้อาวุโสสายเลือดสาขาอื่นๆ ในตระกูลสงสัย ต้องการจะให้สหายซูทดสอบสามวิถีสวรรค์ การทดสอบนี้ต่อให้เป็นผู้มาเยือนจริงๆ ในตระกูลก็ยังมีไม่กี่คนที่ผ่านไปได้

อีกอย่างพวกเขาต้องไม่ให้สหายซูผ่านแน่ หากไม่ใช่เพราะคนสายเลือดนี้ของบรรพบุรุษส่วนใหญ่ไม่สนเรื่องทางโลก ออกไปยังทะเลดาราต้นกำเนิดจิตละก็ พวกเขาคงไม่กล้ากดขี่กันตรงๆ แบบนี้ พวกเขาไม่ยุติธรรมแบบนี้เลยทำให้ข้าโกรธอย่างเมื่อครู่” อวี้เฉินไห่ยิ้มเฝื่อนพลางอธิบาย

ตอนนี้ฟ้าปกคลุมด้วยเมฆดำแน่นขนัด เสียงฟ้าผ่าแว่วมาเป็นบางครั้ง ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมา พัดละอองฝุ่นลอยขึ้นจากพื้น ทว่าละอองฝุ่นยังไม่ทันลอยขึ้นฟ้าก็ตกลงมายังพื้นอีกครั้ง จนกระทั่งทั้งฟ้าดินไม่มีฝุ่นละอองใดกล้าลอยขึ้นมาอีก

ซูหมิงเงียบงัน เขามองฝุ่นละอองเหล่านั้น มองฝนกระหน่ำลงมาอย่างไร้ปรานี มองหมอกฝุ่นมอดดับ ครู่ต่อมาก็มองอวี้เฉินไห่

“อะไรคือความยุติธรรม และอะไรคือความอยุติธรรม?” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง

“เอ่อ…” อวี้เฉินไห่นิ่งอึ้งไป

“ภูเขาไร้ที่ราบ แผ่นดินไม่ใช่ที่ราบทั้งหมด ทุกสิ่งมีชีวิตก็ไม่ราบเรียบเช่นกัน แม่น้ำยิ่งไม่สงบ ดวงดาราขึ้นลง กระทั่งฟ้ากระจ่างดาวยังไม่มีความราบเรียบ เหตุใดเจ้าถึงอยากได้ความยุติธรรม?

ในโลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรม ความยุติธรรมที่ว่าเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งสงสารผู้อ่อนแอ เป็นความน่าสงสารอย่างหนึ่งของผู้อ่อนแอที่เวทนาและตำหนิตัวเอง” ซูหมิงเอ่ยเสียงเรียบ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย เมื่อเข้าถึงหูอวี้เฉินไห่แล้ว จิตใจเขาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ทฤษฎีแบบนี้ คำพูดแบบนี้ ล้มล้างความคิดเขาไปเล็กน้อย ก่อขึ้นเป็นแรงปะทะทำให้เขาแทบจะหายใจกระชั้น

“เจ้าดูฝุ่นละอองพวกนั้น ฝุ่นก็เหมือนชีวิตคนเรา อำนาจสวรรค์ก็เหมือนโชคชะตา ความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนคือสายฝน ตอนที่มันตกลงมาบนพื้นดิน ฝุ่นละอองลอยขึ้นก่อน จากนั้นก็ร่วงลงมา นี่ยุติธรรมหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

อวี้เฉินไห่ตะลึงงัน เขาหันไปมองสายฝนแวบหนึ่ง เงียบอยู่สักครู่แล้วนัยน์ตาก็เหมือนเข้าใจ

สายฝนฟ้าดินเชื่อมเป็นหนึ่ง กลางเส้นขอบฟ้าไกลออกไปมีจุดสีดำหลายจุด นั่นคือนกนางแอ่นที่หลบฝนไม่ทัน พวกมันดิ้นรนอยู่ในสายฝน เพราะปีกเปียกจึงบินได้ลำบากยิ่ง อีกทั้งยังโคลงเคลงเหมือนจะร่วงลงมา

ในนั้นมีนกนางแอ่นตัวหนึ่งบินมาถึงนอกลานที่พัก ตอนที่เห็นว่ามันจะร่วงลงมานั้น ซูหมิงยกมือขวาสะบัดไปข้างหน้า มันพลันตัวสั่น ปีกแห้งในพริบตา ประหนึ่งว่ารอบตัวมีมวลอากาศอยู่ ทำให้สายฝนหายไป และทำให้มันที่กำลังร่วงลงมาร่อนเป็นเส้นโค้งงดงามกลางฝนอีกครา จนมาถึงชายคาหอที่ซูหมิงอยู่

“นกนางแอ่นตัวนี้พยายามหาวิธีหลบฝน ทว่าฝนตกลงมาเป็นสายแบบนี้จะต่อต้านได้อย่างไร นี่มันยุติธรรมหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ส่วนอวี้เฉินไห่เงียบงัน

“ข้าช่วยมัน ให้มันหลบสายฝนและบินมาถึงชายคา แต่นกนางแอ่นตัวอื่นไม่ได้รับโชควาสนาแบบนี้ นี่ยุติธรรมหรือไม่?” ซูหมิงมองอวี้เฉินไห่

“สหายซูจะบอกว่าข้าคือฝุ่นละอองพวกนั้น ส่วนผู้อาวุโสในตระกูลคือสายฝนจากอำนาจสวรรค์ ตกลงมากดทับข้าไว้ หมายความว่าไม่ยุติธรรมต่อข้าอย่างนั้นใช่หรือไม่?

และยังมีนกนางแอ่นกลางสายฝน ก็เหมือนกับการแข่งขันของตระกูลอวี้…หวังว่าสหายซูจะช่วยอธิบายให้กระจ่างด้วยว่าหมายความว่าอย่างไร?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้เฉินไห่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาอ่านความคิดซูหมิงไม่ออกเล็กน้อย ถึงในใจจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก

ซูหมิงมีสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้ตอบคำถามอวี้เฉินไห่ แต่ยกมือขวาคว้าอากาศไปทางชายคาบ้าน นกนางแอ่นตัวที่เขาเพิ่งปกป้องพลันถูกดึงเข้ามาอยู่ในมือ นกตัวนี้ไม่กล้าดิ้นรน แต่ตัวสั่นงันงก

“ที่ข้าช่วยมันแต่ไม่ช่วยตัวอื่นก็เพราะว่ามันอยู่ใกล้ข้ามากที่สุด เป็นเพราะ…ข้าชอบขนนกอันนี้ของมัน” ซูหมิงใช้มือซ้ายม้วนขนนกอันหนึ่งของนกนางแอ่น แล้วกระชากเบาๆ กระทั่งตรงปลายขนยังมีเลือดติดมาเล็กน้อย

เขาคลายมือขวาออก นกนางแอ่นตัวนี้บินกลับไปยังชายคาทันที และยังตัวสั่นไม่ยอมหยุด

ซูหมิงมองขนนกในมือซ้าย ก่อนจะส่งไปยังตรงหน้าอวี้เฉินไห่ สีหน้ายังคงปกติ ไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใดๆ ดูเหมือนเย็นชา และเหมือนอบอุ่น ภาพนี้อยู่ในสายตาอวี้เฉินไห่ ทำให้ใจเขาสั่นไหว รู้สึกถึงความชั่วร้ายและประหลาดที่สร้างความหนาวเยือกให้เขาจากตัวซูหมิง

“สหายอวี้ เจ้า…ต้องการให้แซ่ซูช่วยอย่างนั้นรึ?” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ขนนกส่งไปอยู่ตรงหน้าอวี้เฉินไห่ เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นทำให้เขาเงียบ ครู่ต่อมาก็กัดฟันรับขนนกไป จากนั้นคารวะซูหมิง

“หากสหายซูช่วยให้ข้าโดดเด่นในงานประมูลครั้งนี้ ข้าจะยอมเป็นนกนางแอ่น ขอเพียงสหายซูต้องการ ข้าจะทำตามอย่างสุดความสามารถ”

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ พลางยืนขึ้น เขาตบอาภรณ์แล้วเดินไปยังประตูของลานที่พัก

“ในผืนฟ้านี้ไม่มีความยุติธรรม มีเพียงการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม ไปกันเถอะ ในเมื่อพวกเขาอยากทดสอบ เช่นนั้นก็ต้องทดสอบให้ดี”

“วิชาสามวิถีสวรรค์ไม่ได้มาจากสี่มหาโลกแท้จริง กระทั่งไม่ใช่ของแดนรกร้างคนบาป แต่มาจากเผ่าประหลาดในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตที่ทุกคนเรียกตัวเองว่าวิถีเต๋า

เล่าลือว่าเผ่านี้มีวิชาอภินิหารเฉพาะอยู่ สามารถสร้างภาพมายาไม่มีสิ้นสุด จุดสำคัญคือประโยคหนึ่ง หากเจ้าเชื่อมัน มันก็จะคงอยู่

ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนัก วิชานี้รวมถึงวัตถุที่ใช้สำแดงวิชาล้วนเป็นของที่ผู้อาวุโสในตระกูลได้มาโดยบังเอิญจากในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต หลังจากศึกษามานานปีก็ใช้มันได้บ้าง สิ่งนี้ถือเป็นการทดสอบเพื่อเลื่อนชั้นจากผู้มาเยือนเป็นผู้มาเยือนอาวุโสในตระกูลอวี้

ขอแค่ผ่านมันไป ต่อให้ผ่านแค่ด่านเดียวก็จะได้เป็นผู้มาเยือนอาวุโสของตระกูลอวี้ เท่าที่ข้าจำได้ ผู้มาเยือนของตระกูลที่ผ่านการทดสอบนี้มีอยู่ห้าคน อีกทั้งในห้าคนนี้มีสี่คนที่ผ่านเพียงวิถีสวรรค์ด่านแรก มีเพียงคนเดียวที่ผ่านวิถีสวรรค์ด่านที่สอง แต่ไม่เคยมีผู้มาเยือนคนใดผ่านด่านที่สามไปได้เลย

อีกอย่าง สามวิถีสวรรค์นี้ก็เป็นการทดสอบหลังจากที่คนในตระกูลมีขั้นพลังบรรลุถึงจุดหนึ่งแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้กี่ปีมานี้ ในตระกูลอวี้ของข้ามีเพียงสิบเอ็ดคนที่ผ่านด่านแรกและด่านที่สองในระดับต่างกัน ในนั้นมีเพียงบรรพบุรุษอวี้ชือคนเดียวเท่านั้นที่ผ่านทั้งสามด่านเมื่อแปดพันปีก่อน”

หอแต่ละหลังสูงต่ำต่างกัน ท่ามกลางความขมุกขมัวของทะเลหมอกและสายฝน ซูหมิงเดินอยู่ข้างหน้า อวี้เฉินไห่เดินแนะนำอยู่ข้างๆ คอยอธิบายเกี่ยวกับวิชาสามวิถีสวรรค์ เพียงแต่ตอนนี้ใจเขายังกังวลอยู่ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว

เดิมทีเขาคิดว่าซูหมิงจะไม่รับการทดสอบสามวิถีสวรรค์ อีกอย่างต่อให้รับก็แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย ถึงอย่างไรผู้มาเยือนจำนวนมากตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้ก็มีเพียงห้าคนที่ทำสำเร็จ

ห้าคนนี้ส่วนใหญ่ไม่สนใจทางโลก เอาแต่ปิดด่านนั่งฌานตลอดทั้งปี ต่อให้เป็นผู้มาเยือนเหล่านั้นที่ค่อนข้างคึกคักในตระกูล ความจริงคือ…ไม่มีใครสำเร็จสามวิถีสวรรค์เลย ไม่มีใครได้เป็นผู้มาเยือนอาวุโส ได้เป็นเพียงผู้มาเยือนเท่านั้น ถึงจะมีระดับเหมือนกัน แต่ระหว่างผู้มาเยือนกับผู้มาเยือนอาวุโสก็ต่างกันเรื่องการใช้อำนาจและทรัพยากรจนไม่อาจนำมาเปรียบกัน

ในมุมมองของอวี้เฉินไห่ ความต้องการของผู้อาวุโสสายเลือดสาขาคือการกดขี่เขาอย่างเปิดเผย ทว่าเขาไม่ยอม ดังนั้นตอนที่มาหาซูหมิง ความโกรธและความอึมครึมเจ็ดส่วนเขาจึงแสร้งทำขึ้นมาเอง เป้าหมายคืออยากจะปลุกเร้าซูหมิงให้ไปทดสอบ กระทั่งเขายังเตรียมคำพูดหลังจากนั้นไว้อย่างดีแล้ว แต่เขาไม่นึกเลยว่าหนึ่งประโยคและหนึ่งสายตาของอีกฝ่ายจะทำให้เขาใจสั่นสะท้าน ทุกอย่างเหมือนต่างออกไป ถึงตอนนี้ซูหมิงจะตกลงเข้าร่วมการทดสอบซึ่งตรงตามเป้าหมายก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าการเปลี่ยนแปลงกลับทำให้เขารู้สึกเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่า

โดยเฉพาะตอนนึกถึงรอยยิ้มทีเล่นทีจริงยามที่ซูหมิงดึงขนนกนางแอ่น รวมถึงกลิ่นอายชั่วร้ายที่บอกไม่ถูก ยิ่งทำให้เขาจิตใจสั่นไหว ไม่รู้ว่าการเชิญอีกฝ่ายมายังตระกูลอวี้เป็นสิ่งที่…ถูกหรือผิดกันแน่

ขณะความคิดในใจซับซ้อน ซูหมิงหยุดชะงัก อวี้เฉินไห่เก็บความคิดไปทันที เขาพาซูหมิงมาถึงบนลานกว้างใหญ่ตรงกลางหอจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว

แทบเป็นช่วงที่พวกเขาสองคนมาถึง ลานแห่งนี้พลันบิดเบี้ยวประหนึ่งฟ้าดินย้อนกลับ แม่น้ำภูเขาผันเปลี่ยน พริบตาเดียวหอรอบๆ หายไป ลานแห่งนี้ก็หายไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือยอดเขาสูงตระหง่าน

ยอดเขานั้นสูงชัน มองไปไม่เหมือนภูเขา แต่เหมือนรูปสลักยักษ์ ตรงยอดเขาคล้ายศีรษะ มีเส้นผมยาวลงมา ดูดุดันดุจดั่งผีร้าย ตัวภูเขาเป็นร่างกาย ข้างๆ มีมือขวายกขึ้น ในห้านิ้วมือมีค้างคาวยักษ์ตัวหนึ่งที่บินออกจากฝ่ามือไม่ได้!

มองไกลๆ เหมือนมีคนยักษ์อยู่ข้างหลัง ศีรษะคนชะเง้อจากยอดเขา ร่างกายเผยอยู่ข้างภูเขาครึ่งหนึ่ง กระทั่งเพราะภูเขาลูกนี้มีสีครามและขาว จึงไม่ต่างกับสีท้องฟ้าเลย มองแวบแรก…เหมือนภูเขาและท้องฟ้าเป็นร่างเดียวกัน ชวนให้คนมองไปแล้วเกิดความรู้สึกว่ามองภูเขาเหมือนฟ้า มองฟ้าเหมือนภูเขา ราวกับว่าภูเขาอยู่ตรงนั้นและก็ไม่อยู่ตรงนั้นเช่นกัน มีเพียงผีร้ายตัวยักษ์ที่เอียงกายอยู่

“ที่นี่คือ…ภูเขาวิถีเต๋า” ทันทีที่อวี้เฉินไห่กล่าวเสียงเบา ก็มีกระแสจิตโผล่มาจากในภูเขาอย่างบ้าอำนาจยิ่ง กดทับลงมายังซูหมิงอย่างรุนแรงอย่างไม่ลังเลพร้อมด้วยความน่าเกรงขามสูงส่ง

“ผู้ฝึกฌานจากข้างนอก ได้เห็นภูเขาวิถีเต๋าถือเป็นโชควาสนาของเจ้า ยังไม่รีบคุกเข่าก้มคารวะสามครั้งอีก!”

ซูหมิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายประกายเย็นชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!