ตอนที่ 938 เนตรปีศาจ
ซูหมิงไม่หันกลับไปมอง แต่เมื่อลดมือขวาลง แผ่นดินพลันเกิดเสียงระเบิดสนั่นแก้วหู เสียงร้องโหยหวนนับไม่ถ้วนถูกเสียงระเบิดกลบจนมิด จากนั้นเมื่อเสียงดังก้องกังวานไป ผู้คนที่กำลังเข่นฆ่ากันทั้งสนามรบยามนี้ล้วนตัวสั่นสะท้านประหนึ่งถูกหยุดนิ่ง สายตาของทุกคนจับจ้องพื้นดิน แต่ละคนตาค้างอ้าปากกว้าง สีหน้าดูหวาดกลัวจนปิดไม่มิด
บนพื้นดินมีรอยฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏ ลึกหลายสิบจั้ง ประทับอยู่บนพื้นดิน ข้างในมีเลือดเนื้อแมลงปีกแข็งสีดำอยู่นับไม่ถ้วน!
รอยมือชัดเจนอย่างยิ่งนัก เหมือนกับมียักษ์วางมือบนพื้น ตรงขอบรอยมือเป็นแมลงปีกแข็งที่หนีรอดจากความตาย แต่ละตัวกำลังสั่นงันงก พวกมันนอนหมอบนิ่งอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับ
พวกมันรู้สึกถึงความน่ากลัวที่สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกตนจากในรอยฝ่ามือนั้นได้ นั่นคือพลานุภาพที่พวกมันไม่มีทางต่อต้าน
ซูหมิงมองภาพตรงหน้านี้นิ่งๆ ตอนนี้ชายชราเผ่าลือนามข้างหลังใจสั่นไหว กำลังห้อเหยียดถอยไป ในใจเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจภายหลังและหวาดกลัว เขาเสียใจภายหลังก็เพราะว่าเหตุใดตนถึงเข้ามาใกล้กับคนน่ากลัวผู้นี้ถึงขนาดนี้!
และที่เขาหวาดกลัวคือฝ่ามือของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกไม่อาจต่อต้านอย่างชัดเจน เขาเองก็ไม่เคยเจอผู้กุมชะตาเกิดดับมาก่อนด้วย แต่เคยได้ยินวิชาทรงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ตอนนี้ได้เห็นทุกอย่างกับตา ขณะที่ทุกอย่างวนเวียนอยู่ในความคิด ก็มีเพียงคำว่าผู้กุมชะตาเกิดดับเท่านั้นถึงจะอธิบายสิ่งนี้ได้
“เจ้าคิดว่าจะไปจะมาตามอำเภอใจข้างหลังแซ่ซูได้อย่างนั้นรึ ถ้าอยากไปนัก…ก็ไปซะ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
ชายชราเผ่าลือนามหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขายกมือขวาขึ้นเรียกกลองมา ก่อนจะสะบัดมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เคลื่อนย้ายในพริบตาหายวับไป ตอนนี้เขาตกใจกลัวฝ่ามือของซูหมิงเมื่อครู่เสียแล้ว หากรู้แต่แรกว่าเผ่าลำดับเก้ามีผู้แข็งแกร่งอยู่ ไม่ว่าอยากไรเขาก็คงไม่มีทางพาชาวเผ่าลือนามมา
นี่ไม่ใช่การล่าสังหารเผ่าลำดับเก้าแล้ว แต่นี่คือวิกฤตเผ่าสูญสิ้นจากการที่เผ่าลือนามไปล่วงเกินคนอื่น!
เขาหรี่ตาพลางหนีไปโดยไม่สนสิ่งใด เขาต้องออกจากที่นี่ กระทั่งไม่สนใจความเป็นตายของชาวเผ่าคนอื่นๆ แล้ว เขาต้องกลับชนเผ่าให้เร็วที่สุดแล้วอพยพชนเผ่าออกจากที่นี่ไปให้ไกล หากช้าเพียงก้าวเดียว เขาเชื่อว่าสิ่งที่รอชนเผ่าอยู่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ซูหมิงลดมือขวาลง ตบถุงเก็บวัตถุทีหนึ่ง น้ำเต้าล้ำค่าพลันปรากฏขึ้น มันลอยอยู่กลางฝ่ามือ จากนั้นเขาก็ลูบมันเบาๆ หลายครั้ง
“เชิญน้ำเต้าล้ำค่า สังหาร!” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา บนน้ำเต้ามีดวงตาโผล่ขึ้นมา มันจ้องชายชราเผ่าลือนามที่กำลังหนีไปจากข้างหลังซูหมิงด้วยความเย็นชา พริบตาเดียวก็เปล่งแสงสว่างหลายสี ก่อนจะมีคนตัวเล็กถือดาบเล่มหนึ่งบินออกจากน้ำเต้าและพุ่งตรงไปอย่างเงียบเชียบ
ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงร้องแหลมดังในสนามรบอันเงียบสงบเพราะฝ่ามือซูหมิง เสียงดังก้องแสบแก้วหู ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองไป
หลังชาวเผ่าลำดับเก้ามองไปแล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ทว่าชาวเผ่าลือนามที่มองไปกลับหน้าซีดขาว หากฝ่ามือของซูหมิงเมื่อครู่ทำให้ชาวเผ่าลือนามตกใจกลัว ทำให้ความมุ่งมั่นในการรบลดลงถึงจุดต่ำสุด มิหนำซ้ำยังเกิดความกลัวอย่างสุดขีดแล้ว ภาพชายชราเผ่าลือนามที่ร่างแหลกเป็นชิ้นๆ ก็คือระฆังมรณะจู่โจม มันกระแทกใส่ช่องหน้าอกของชาวเผ่าลือนามทุกคนอย่างรุนแรง
“ท่านปู่!”
“หนี หนีไปให้เร็วที่สุด!”
หลังจากพวกเขาตะลึงงันแล้วก็เกิดเสียงดังเกรียวกราว ตอนนี้ในใจชาวเผ่าลือนามทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่มีสิ้นสุด พวกเขาต่างเสียสติและถอยหนีไปข้างหลังทั้งหมด ทุกคนมีความคิดมุ่งไปทางเดียวกันคือหนี!
“ชาวเผ่าลำดับเก้าฟังคำสั่ง ตามข้า….ไปสังหาร หลายปีมานี้เผ่าลือนามสังหารพวกเรามามากพอแล้ว ครั้งนี้…..พวกเราต้องคืนให้พวกมันหลายเท่า!” ตี้จิ่วโม่ซาส่งเสียงตะโกน นัยน์ตาสองข้างฉายแววเคียดแค้นเหลือล้น สิ้นเสียงตะโกนก็ปรากฏร่างเงาคนยักษ์ขนสีดำข้างหลัง รวมถึงร่างเทียนเสียจื่อบนหัวคนยักษ์ที่ทำให้ซูหมิงเพ่งมองอีกครั้ง
เสียงตะโกนพลันดังขึ้นขานรับ นั่นคือการปะทุความอัดอั้นไม่รู้กี่ปีของนักรบเผ่าลำดับเก้า เวลานี้ชาวเผ่าหลายร้อยคนบินออกไปทั้งหมด ต่างกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปสังหารอย่างบ้าคลั่งกับชาวเผ่าลือนามที่กำลังหนีกระจัดกระจายกัน
ด้านหนึ่งหนีโดยไม่สนสิ่งใด อีกด้านหนึ่งล่าสังหารอย่างบ้าคลั่งพร้อมร้องตะโกน เห็นได้ชัดว่าสงครามไม่จบในเวลาสั้นๆ แน่ มันถูกยืดยาวออกไปอีก
ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขาพลางมองเหตุการณ์นี้ เขาถอนหายใจ ชาวเผ่าลือนามไม่มีความแค้นกับเขา โดยหลักการที่เขายึดถือแล้ว หากไม่ล่วงเกินตนก่อน เขาก็จะไม่ฆ่าล้างเผ่าอย่างไร้เหตุผล
อย่างเช่นเผ่าลือนาม วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเผ่านี้
แต่ว่าเขามองอาจารย์บนหัวร่างเงามายาขนดำด้านหลังตี้จิ่วโม่ซาที่กำลังล่าสังหารไกลออกไปแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวนี้ แววตาเขาก็มีความเด็ดขาด
หลักการที่ตนยึดถือเปลี่ยนไปเพราะอาจารย์
“นี่คือเผ่าที่อาจารย์ดูแลในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต มันอยู่เป็นเพื่อนเขายามเหงามาตลอดหลายปี”
ซูหมิงยกมือขวาขึ้นประสานสัญลักษณ์แล้วสะบัดออกไป ทันใดนั้นภาพสัญลักษณ์จากชื่อหั่วโหวบนแขนพลันก่อขึ้นเป็นเมฆเพลิงกลุ่มหนึ่ง เสี้ยวพริบตาเดียวมันก็ไปปรากฏอยู่ไกลยิ่ง ตรงนั้นคือชายแดนที่ชาวเผ่าลือนามยังหนีไปไม่ถึง
ชื่อหั่วโหวเดินออกมาจากเมฆเพลิงตรงนั้นทันที เขามีสีหน้าเย็นชา กางสองแขนออกแล้วคำรามขึ้นฟ้า เพียงแค่คำรามก็มีทะเลเพลิงแผ่กระจายมารอบตัวเขา แวบเดียวก็ปกคลุมแผ่นดินและก่อขึ้นเป็นปราการเปลวเพลิง
ปราการนี้เหมือนกับผนึก เป็นการตัดทำลายชีวิตสุดท้ายของชาวเผ่าลือนามเหล่านี้อย่างสมบูรณ์!
“ไม่!”
“พวกเรายอมสวามิภักดิ์ ยอมเข้าร่วมเผ่าลำดับเก้า!”
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ ทุกอย่างเป็นคำสั่งของท่านปู่ พวกเราจำเป็นต้องมา…” เสียงอ้อนวอน บ้าคลั่งและสิ้นหวังดังก้องกังวาน แต่กลับกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนไปทีละคน ถูกเสียงคำรามด้วยความโกรธและเคียดแค้นของชาวเผ่าลำดับเก้ากลบจนมิด
ซูหมิงหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา
เขาไม่อยากร่วมสงครามนี้ การช่วยเผ่านี้สังหารชายชราที่แกร่งที่สุดคนนั้น ช่วยแก้ปัญญาทะเลแมลง สิ่งเหล่านี้เขาทำเพื่ออาจารย์ แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
เผ่านี้จะเติบโตต่อไปได้หรือไม่ จะขยายอำนาจต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ สำหรับเขาผู้เคยชินกับความเป็นตายแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เสียงร้องโหยหวนดังแว่วมาข้างหูขึ้นๆ ลงๆ กลิ่นคาวเลือดเข้มเข้นไม่จางหาย เมื่อสัมผัสกับทะเลเพลิงแล้วก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์
เวลาผ่านไป เสียงกรีดร้องเบาลงทีละน้อย ทว่าตอนนี้เองซูหมิงพลันลืมตาขึ้นมองทอดไกล จุดที่เขามองคือชายร่างกำยำเผ่าลือนามคนหนึ่ง อีกฝ่ายถูกทะเลเพลิงขวางทางไปเอาไว้และกำลังสู้กับตี้จิ่วโม่ซาอย่างสุดชีวิต
ขั้นพลังเขาไม่ธรรมดา กระทั่งเทียบกับเจ้าปกครองโลกตอนปลาย อยู่ในระดับเดียวกับตี้จิ่วโม่ซา วิชาอภินิหารของสองคนนี้ส่งเสียงครึกโครมดังสนั่น ตอนนี้ดำเนินมาถึงช่วงที่ดุเดือดที่สุดแล้ว
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่กลับแค่นเสียงเย็นชา ตี้จิ่วโม่ซามองไม่ออก เผ่าลำดับเก้าก็ไม่มีใครมองออก แต่ในสายตาเขา เขาเห็นชัดว่าด้านหลังชายร่างกำยำเผ่าลือนามคนนั้นมีอากาศกำลังแยกออกเป็นเส้นเล็กๆ หนึ่งเส้น และกำลังถูกฉีกออกอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่ลมหายใจก็จะเป็นที่ประจักษ์ในสายตาของทุกคน
เสียงเย็นชาของซูหมิงไม่ได้ดังไปไกลมากนัก เพียงดังก้องอยู่ในระยะสิบกว่าจั้ง ทว่าช่วงที่เขาแค่นเสียง รอยแยกเล็กๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็นด้านหลังชายร่างกำยำพลันหยุดนิ่ง
ในเวลาเดียวกัน อักขระต้นกำเนิดจิตใจดวงตาซูหมิงขยับแสงวิบวับ ภายใต้พลังต้นกำเนิดจิต โลกตรงหน้าเขาในเวลานี้เหมือนถูกหยุดชะงัก กลายเป็นภาพนิ่ง
ซูหมิงอึ้งงัน ตอนที่มองไปภาพในสายตาเขาถูกขยายใหญ่ขึ้นเหมือนกับกำลังเคลื่อนไหว ขณะที่มันขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด ก็คล้ายกับว่าระยะห่างของเขากับชายร่างกำยำเผ่าลือนามบีบเข้ามาใกล้กัน จนกระทั่งสายตาเขามองทะลวงผ่านร่างชายกำยำ มองไปยังอากาศที่ดูคล้ายปกติทว่าแยกออกเล็กน้อย
จากการเพ่งมองของซูหมิง อากาศนั้นถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดอีกครั้ง หลังขยายใหญ่เป็นหลายร้อยเท่าแล้ว ซูหมิงก็เห็นรอยแยกเล็กๆ เส้นหนึ่ง
พอขยายไปอีกครั้งจนถึงหลายพันเท่า รอยแยกในสายตาเขาก็กลายเป็นร่องหุบเขายักษ์เส้นหนึ่ง เขามองผ่านร่องหุบเขานี้ไปเห็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่ง
เขามองทะลวงผ่านแสงสว่างนั้น จนเห็นแผ่นดินใหญ่สีดำแห่งหนึ่งในแสงสว่าง
บนแผ่นดินมีภูเขาไฟสีดำลูกหนึ่ง ภูเขาไฟกำลังปะทุ ตีนเขามีชนเผ่าที่รวมขึ้นจากหอคอยดำอยู่แห่งหนึ่ง ภายในชนเผ่ามีบุรุษสตรีคนชราและผู้เยาว์ ทว่าตอนนี้ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้นล้อมรอบรูปปั้นหนึ่ง
รูปปั้นเป็นลูกตาดวงหนึ่ง!
ชายชราทั่วร่างเน่าเปื่อยและดูอ่อนแออย่างยิ่งคนหนึ่งกำลังหอบหายใจ นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้นและร้อนใจ เขาขยับตัวไปรอบลูกตาดวงนั้นเหมือนกำลังเต้นระบำ ปากบริกรรมคาถาซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในลูกตาค่อยๆ ปรากฏความขุ่นมัว ราวกับหมอกเมฆและควันเคลื่อนผ่านไปหมื่นปีในเวลาพริบตาเดียว
มองจากลักษณะชาวเผ่าที่คุกเข่าเหล่านั้นแล้ว จึงรู้ว่าพวกเขาคือชาวเผ่าลือนาม และที่นี่ก็คือชนเผ่าของพวกเขา ส่วนลูกตาดวงนั้นจะต้องเป็นเทพที่เผ่าลือนามเซ่นไหว้มาไม่รู้กี่ปีแล้วแน่ๆ
ตอนนี้เอง จะเห็นได้ว่าพวกเขารู้สึกถึงการตายของชาวเผ่าจึงกราบไหว้เทพ หวังให้เทพของพวกเขาสร้างปาฏิหาริย์
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงมองทะลวงอากาศมา ลูกตาที่กำลังถูกกราบไหว้พลันตั้งตาดำขึ้น ตาดำเป็นสีน้ำตาล ภายในเหมือนมีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรนออกมส ทำให้ตอนที่มองไปจะเกิดความรู้สึกถึงสิ่งชั่วร้ายอย่างยิ่ง
ตาดำนั้นหมุนมาและสบตากับซูหมิง
ทันทีที่สองฝ่ายสบตากัน ตาดำในลูกตานั้นพลันหดลง เสียงคำรามแหลมดังก้องในจิตใจซูหมิง เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น โลกตรงหน้าซูหมิงจากสภาวะขยายพลันถูกย้อนกลับ จนถอยออกมาจากมวลอากาศ ออกจากร่องหุบเขา ร่องหุบเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยแยก จนกระทั่งโลกที่เขามองอยู่ไม่ใช่ภาพอีก แต่กลับคืนสภาพเดิม
เสียงเปลวเพลิงลุกไหม้ดังก้อง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย ชายร่างกำยำเผ่าลือนามต่อสู้กับตี้จิ่วโม่ซาต่อ
ซูหมิงขยับตัวถอยหลังไป เหมือนถูกบางสิ่งไร้รูปชนเข้าใส่ นัยน์ตาเขาฉายประกายวาวเย็นเยียบโดยทันที