ตอนที่ 941 ใครสร้างความคิดยึดมั่น
ยามโพล้เพล้
ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตแห่งนี้ บนแผ่นดินใหญ่ ซูหมิงมองตะวันขึ้นลงและมองยามโพล้เพล้
เรื่องนี้อธิบายไม่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นฟ้ากระจ่างดาวมืดมิด เห็นๆ อยู่ว่าแผ่นดินใหญ่นี้ลอยอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว แต่เพราะเหตุใดถึงมีแสงตะวัน เพราะเหตุใดถึงมีกลางวันและกลางคืน
ทว่าดวงตะวันนั้นอยู่ตรงนั้นจริงๆ ที่แปลกคือตอนที่เจ้าเหยียบไปบนฟ้ากระจ่างดาวจะมองไม่เห็นมัน ทว่าหากอยู่บนดาวแท้จริง หรือบนแผ่นดินที่เผ่าลำดับเก้าเลือกอยู่กลับเห็นมัน
ซูหมิงเคยถามเรื่องนี้กับตี้จิ่วโม่ซาแล้ว
“นั่นคือ…แสงไฟจากเตาหลอมลำดับห้า ก่อนหน้าเตาหลอมลำดับห้า โลกในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเป็นสีดำมืด เงามืดของที่นี่คงอยู่มานานนม ผู้คนชินกับความมืดกันแล้ว
หลังจากเตาหลอมลำดับห้ามาถึงจะทำให้ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมีแสงสว่าง เพียงแต่ท่านมองเห็นมันแต่จะหามันไม่เจอ เว้นแต่จะเป็นทุกช่วงเวลาหนึ่งที่มันจะปรากฏต่อสายตาทุกคนเอง มีตำนานเล่าว่าตำแหน่งจริงของเตาหลอมลำดับห้าคือในโลกน้ำวน” นี่คือคำตอบของตี้จิ่วโม่ซา
ซูหมิงนั่งอยู่บนหินผา สายตามองตะวันจากเตาหลอมลำดับห้าค่อยๆ ลดระดับลง ยามนี้มองไปจะเห็นว่าดวงตะวันนั้นไม่ใช่ทรงกลม แต่เป็นเค้าโครงของเตาขนาดใหญ่ นั่น….คือเตาหลอมลำดับห้าจริงๆ
แสงยามโพล้เพล้ส่องบนพื้นดิน มาพร้อมกับความอบอุ่นยามกลางวัน หลอมรวมกับสายลมหนาวที่พัดมา เมื่อสัมผัสร่างคน จะบอกไม่ถูกว่ามันอบอุ่นหรือหนาวกันแน่
ซูหมิงนั่งอยู่ตรงนั้นมาสองวันแล้ว หลังมาถึงแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตก็หาได้ยากที่จิตใจเขาจะสงบลง ได้มองตะวันขึ้นลง บางทีผู้ฝึกฌานอาจจะไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตของชนเผ่าที่นี่ แต่สำหรับซูหมิงแล้ว ที่นี่มีความคุ้นเคยในความทรงจำอยู่
คน…มักจะชอบหวนนึกถึงอดีตในความคุ้นเคยที่เคยประสบมาครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ชอบตกอยู่ในห้วงนั้นและหันกลับไปมองชีวิตตัวเอง
เสียงเล่นกันของเด็กๆ ทำให้เขานึกถึงภูเขาทมิฬ มิตรภาพระหว่างชาวเผ่าลำดับเก้าเหล่านั้นทำให้เขานึกถึงยอดเขาลำดับเก้า มองทุกอย่างรอบๆ พลางอดบอกตัวเองไม่ได้ว่าที่นี่…เป็นชนเผ่าที่อาจารย์เคยอยู่เมื่อหลายปีก่อน
คนที่นี่ บางทีอาจมีร่างเงาอาจารย์อยู่ในความทรงจำ
‘หากศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง กับหู่จื่อรู้ข่าวอาจารย์ และได้มาที่นี่พร้อมกันก็คงจะดีน่าดู…’ ซูหมิงส่ายศีรษะ
ตะวันลับขอบฟ้า ฉากกลางคืนมาเยือน
รอบๆ เริ่มเงียบลง เสียงเล่นกันของเด็กๆ เปลี่ยนเป็นเสียงหายใจเป็นจังหวะ คนชรานอบหลับ ชาวเผ่าลำดับเก้าบ้างก็นั่งฌาน บ้างก็นอนหลับ ทำให้ภูเขาแห่งนี้เงียบสงัดโดยสมบูรณ์ในยามกลางดึก
ซูหมิงยังคงนั่งอยู่บนหินภูเขา สายตามองฟ้ายามค่ำคืน มองไม่เห็นดวงจันทร์ ไม่เห็นดวงดาว เห็นเพียงความมืดมิดไม่มีสิ้นสุด เหมือนกับว่าทั้งโลกในตอนนี้เหลือเพียงตัวเขา เขาชินกับความรู้สึกนี้แล้ว
ในเมื่อชินกับชีวิตโดดเดี่ยวที่เป็นความทุกข์ระทมแห่งโชคชะตาแล้ว เช่นนั้นเหตุใดถึงยังถอนตัวจากความทรงจำไม่ขึ้นอีก แต่มักจะชอบมองฟ้ามืดมิด ในใจลอยขึ้นมาเป็นภาพควันไฟจากการหุงหาอาหารเป็นฉากๆ
ในเมื่อชินกับชีวิตที่ต้องเดินไปเพียงลำพังแล้ว เช่นนั้นหากมีชาติก่อน เขาก็คงวนเวียนเป็นวัฏจักรเป็นพันเป็นร้อยปีแล้ว
ซูหมิงยิ้มอยู่ในเงามืด
คนอื่นมองไม่เห็นความขมขื่นในรอยยิ้ม มีเพียงคนที่เคยยิ้มแบบนี้จริงๆ เท่านั้นถึงจะมองเห็นความขมฝาดที่ละลายอยู่ในน้ำกลางเงาสะท้อนผิวน้ำ มีเพียงคนที่เคยชิมน้ำชนิดนี้เท่านั้นถึงจะรู้รสชาติขมในน้ำ
“เจ้าเป็นอะไร…” เสียงนุ่มนวลไม่ได้ขัดซูหมิงที่ตกอยู่ในห้วงความคิดกลางเงามืด แต่หลอมรวมเข้าไปเบาๆ วนเวียนรอบหูเขา กลายเป็นร่างเงางดงามสวมผ้าเนื้อหยาบค่อยๆ เดินออกมาจากเรือน แล้วนั่งลงข้างเขาอย่างนุ่มนวล
“คิดถึงบ้าน” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เรากลับบ้านกัน” สวี่ฮุ่ยมองซูหมิงในเงามืด เห็นเพียงเค้าโครงรางๆ ทว่านางกลับชอบมองแบบนี้มาก เพราะนางเข้าใจว่ามีแต่ช่วงนี้เท่านั้นที่คนที่นางมองเป็นคนนั้นจริงๆ ไม่ใช่…เต้าคง
นางรู้ นางเข้าใจ แต่ไม่อยากพูด
“เจ้าเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่?” ซูหมิงส่ายศีรษะ
“เชื่อ…” สวี่ฮุ่ยเงียบไปชั่วครู่ ตอนที่แววตามีภาพหลายภาพวูบผ่าน นางตอบออกไปเสียงเบา
“ในผู้ฝึกฌาน คนที่เชื่อเรื่องโชคชะตามีอยู่ไม่มาก” ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ยผ่านเงามืด
“ข้าเชื่อ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาอยู่ที่นี่” สวี่ฮุ่ยพูดเบาๆ
“รอเจ้าหายดีก่อน เจ้าค่อยไปหาเก้าผู้เฒ่ายมโลก แต่ข้า…ยังไม่ถึงเวลากลับบ้าน” น้ำเสียงซูหมิงในเงามืดแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
“เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอให้ข้าหายดีหรือ?” สวี่ฮุ่ยมองซูหมิง
“นอนเถอะ ข้าอยากนั่งฌานที่นี่คนเดียว” ซูหมิงไม่ตอบ เพียงเอ่ยเรียบๆ น้ำเสียงไม่มีการผ่านโลกมาโชกโชนและก็ไม่มีการหวนคะนึงคิดถึงอดีต
สวี่ฮุ่ยไม่รออยู่ที่นี่อีก นางยืนขึ้นเดินไปทางเรือนพัก มอบเงามืดให้ไว้กับซูหมิงเพียงลำพัง
“บางทีเจ้าอาจกำลังคิดถึงบ้าน แต่ที่มากกว่าคือกำลังคิดถึงคนคนหนึ่ง” เสียงสวี่ฮุ่ยแว่วมาจากเรือนพัก เสียงนั้นลอยล่องเข้าถึงหูซูหมิง
ซูหมิงเงียบ เขาหลับตาลงตกอยู่ในห้วงเงามืด นั่งฌานไปอย่างเงียบๆ โคจรขั้นพลังตัวเอง กลางสายลมหิมะ เขาเหมือนกลับไปยอดเขาลำดับเก้า กลับไปนอกถ้ำของเขา นั่งฌานเหมือนกัน มองตะวันขึ้นลงเหมือนกัน
ผู้ฝึกฌานไม่มีความฝัน
เพราะความฝันลอยขึ้นมาขณะหลับ ทว่าสำหรับผู้ฝึกฌานแล้ว การนอนหลับสามารถใช้การนั่งฌานมาแทนได้ แต่คืนนี้ซูหมิงกลับฝันขณะนั่งฌาน
ในความฝัน เขากลับไปยังแผ่นดินใหญ่หมาน ในฝัน เขาเห็นยอดเขาลำดับเก้า ในฝัน…เขายังเห็นภูเขาทมิฬ เห็นร่างเงาในป่ากลางชนเผ่าตอนเยาว์วัย
มีเสี่ยวหง และก็มี…เด็กสาวผู้มาพร้อมกับความงามแบบดื้อรั้น นางสวมเสื้อคลุมยาวขนเตียวสีขาว ยืนอยู่ในพายุหิมะใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพัง นางกำลังรออยู่บนพื้นหิมะคนเดียว
รอคอยสัญญา สัญญาที่จะไปเดินเล่นกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เทือกเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ไกลออกไป เงาขมุกขมัวของดวงจันทร์หนาวเย็นบนฟ้า ต้นสนกับหิมะขาวอยู่คู่กันบนพื้นดิน เด็กสาวที่กำลังรออยู่คนนั้นยังคงเฝ้ามองอยู่ที่เดิมอย่างโง่งม
เศษสายลมหิมะและกาลเวลาผ่านไป นางจะยังมีความสุขได้หรือไม่…
เพียงแต่ว่ากลางเมฆมีฟ้ากระจ่างดาวขวางอยู่หลายทิศ มีท้องฟ้าขวางอยู่หลายชั้น จึงไม่มีจดหมายสวยหรูใดส่งถึงกันได้อีก
กาลเวลาพันปีผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย คล้ายกับต้นสนหิมะในทุกๆ ปีที่ไม่รู้ว่า สีแดงจะลอกออกหรือไม่ ไม่รู้ว่าน้ำนิ่งจะยัง…ไร้ร่องรอยหรือไม่
“เจ้ารับปากความปรารถนาแห่งวันพรุ่งนี้กับข้า ข้ารอเจ้ามาพันปีแล้ว เพียงแต่อย่าให้ข้ารอนานเกินไป อย่าให้ความเงียบกลายเป็นความระทมทุกข์”
ซูหมิงลืมตาขึ้น ข้างหูยังดังก้องเป็นเสียงพึมพำในความฝัน เขาเข้าใจแล้ว บางทีตนอาจไม่ได้คิดถึงบ้านจริงๆ และก็ไม่ใช่คนคนหนึ่ง แต่เป็น…สัญญาเมื่อพันปีก่อน
‘นี่คือความคิดยึดมั่นของข้าหรือ บางทีอาจมีใครบางคนทำให้ข้าเกิดความคิดยึดมั่นนี้’ ซูหมิงมองฟ้ามืดมิดไกลๆ เริ่มส่องแสงสว่าง มองกาลเวลาของค่ำคืนหนึ่งกำลังชะล้างผ่านไปราวน้ำไหล เขากำลังถามตัวเองในใจ
‘ถ้าไม่อย่างนั้น เหตุใดข้าถึงมักจะนึกถึงสัญญานั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว…เหตุใดข้าถึงไม่คิดถึงไป๋หลิง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว…เหตุใดข้าถึงฝันขณะนั่งฌาน!’ นัยน์ตาซูหมิงพลันคมกริบขึ้นมาหลังจากความสับสน และยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหนาวเยือก ประหนึ่งเป็นสัตว์ร้ายโบราณตื่นจากความฝัน แผ่กระจายความรู้สึกว่าห้ามล่วงเกินจากในสายเลือด
กลิ่นอายบ้าอำนาจบาตรใหญ่แผ่มาจากในตัวเขา เขารับแสงตะวันแรกบนฟ้าพลางยืนขึ้น ยืนอยู่ใต้หินผาก้อนนั้น เวลานี้ร่างเงาเขาถูกแสงตะวันปกคลุม ระหว่างที่หมุนตัวกลับเขาก็เพ่งสายตามองฟ้าที่ส่องแสงตะวันมา
เส้นสีม่วงตรงระหว่างคิ้วพลันเปิดออกกลายเป็นเนตรปีศาจ เมฆหมอกในนั้นวนเป็นเกลียวขึ้นเป็นเงาภูตผี จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็มองตามซูหมิงไปด้วยความดุร้าย
ขณะเดียวกัน ในระหว่างที่ไม่มีใครสังเกตเห็น บนฟ้าปรากฏซูหมิงอีกคนหนึ่ง นั่นคือร่างแยกกลืนนภาที่แยกตัวออก ตรงระหว่างคิ้วร่างแยกกลืนนภาก็มีเนตรปีศาจโผล่มาเช่นกัน และยังมองไปยังทิศทางเดียวกัน
จากนั้น ณ แดนประหลาดวงแหวนบูรพา ร่างแยกเอ้อชางที่กำลังนั่งฌานอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวสีม่วง งูน้อยจู๋จิ่วอินกำลังนอนขดอยู่บนแขนเขา ร่างแยกเอ้อชางพลันลืมตาขึ้น พร้อมกันนั้นร่างจริงของเนตรปีศาจก็ลืมตาตรงระหว่างคิ้วเช่นกัน!
ระหว่างที่เนตรปีศาจลืมตาขึ้น ร่างแยกเอ้อชางก็หันหน้าไปเพ่งสายตามองไปทางเดียวกับซูหมิง
นี่คือการใช้พลังแห่งเนตรปีศาจพร้อมกันสามร่างแยก รวมถึงระเบิดพลังจากขั้นพลังทั้งหมดพร้อมกันแล้วมองไปยังมวลอากาศไม่มีสิ้นสุดนั้น
สายตาพวกเขามองทะลุมวลอากาศประหนึ่งข้ามผ่านกลางเวลา ข้ามผ่านเขตรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง ข้ามผ่านทางเข้าแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต มองไปยังโลกแท้จริงดาราสัจธรรม!
มองเข้าไปในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมที่ขยายใหญ่ขึ้น เห็นว่าแดนเซียนตอนนี้กำยังเกิดสงครามอยู่ นั่นคือ…สงครามระหว่างเซียนกับสำนักดาราสัจธรรม มีผู้ฝึกฌานเหลือคณนานับกำลังใช้อภินิหารวิชาไม่มีสิ้นสุดในชีวิตอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว
และยังเห็นอีกว่าด้านหลังสนามรบไร้พรมแดน ภายในวงแหวนอาคมที่รวมขึ้นจากเศษแผ่นดินใหญ่จำนวนมาก ตรงใจกลางนั้นมีร่างกายนอนอยู่ร่างหนึ่ง
เห็นว่าข้างกายร่างนั้นมีร่างเงาเสื้อคลุมดำทั้งตัวยืนอยู่คนหนึ่ง คนนี้ยกมือขวาแห้งเหี่ยวเล็กน้อย และกำลังกดตรงกลางกระหม่อมร่างกายนั้น ข้างๆ ยังมีอีกคนหนึ่ง คนนี้สวมเสื้อคลุมดำเช่นกัน ทว่ามองจากรูปร่างแล้วนางเป็นสตรี นางกำลังพูดพึมพำเสียงดังก้อง
“…เพียงแต่ว่า อย่าให้ข้ารอนานเกินไป อย่าให้ความเงียบกลายเป็นความระทมทุกข์” เสียงสตรีคนนั้นนุ่มนวล น้ำเสียงมาพร้อมกับการหวนคิดถึง มาพร้อมกับความทุกข์ระทม ช่วงที่นางเอ่ยจบประโยค ร่างเงาเสื้อคลุมดำสูงใหญ่ที่ใช้มือขวากดตรงกลางกระหม่อมร่างกายนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่า
เสียงโครมดังขึ้น แรงปะทะพลันกระจายออกเป็นวงกว้าง แรงปะทะนั้นมาพร้อมกับสายลม มันไม่ได้ม้วนเสื้อคลุมดำของร่างเงาสูงใหญ่ แต่กลับเปิดผ้าคลุมหัวของสตรีข้างๆ เผยเป็นใบหน้าชัดเจนในสายตาซูหมิง
นั่นคือ…ใบหน้าของไป๋หลิง!
สีหน้านางต่างกับความทุกข์ระทมจากในคำพูดก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง สีหน้านางเย็นชา มีความสงบนิ่งที่ไม่มีคลื่นอารมณ์อยู่ภายในแม้แต่น้อย