สู่วิถีอสุรา 973

ตอนที่ 973 บรรพบุรุษธุลีแผดเผา

เหตุที่ต้องกระจายกลิ่นอายพลังเอ้อชางก็เพราะว่าการใช้วิญญาณแผดเผา แปลงกายเป็นของปลอม นี่เป็นการเปลี่ยนเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ทว่าหากชาวเผ่าธุลีแผดเผาคนอื่นๆ กลายร่างเป็นวิญญาณแผดเผา ขั้นพลังจะสูงขึ้นมาก

ดังนั้นหากหลังจากซูหมิงแปลงร่างแล้วยังคงขั้นพลังเดิม มองแวบเดียวอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเป็นของปลอม

แต่หากรวมพลังเอ้อชางเข้าไป ขั้นพลังเดิมของเขาจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นแล้วแม้แต่ร่างกายที่เขาควบคุมอยู่นี้ ขั้นพลังก็จะทะยานขึ้นในพริบตาเช่นกัน ความเร็วในการทะยานขึ้นกับพลังแทบจะเหมือนกับตอนเผ่าธุลีแผดเผาแปลงเป็นวิญญาณแผดเผาทุกประการ

เมื่อซูหมิงส่งกระแสจิตไป พวกเสวียนซางสี่คนจึงเพ่งสมาธิ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์ร่างแปลงเผ่าธุลีแผดเผาพร้อมกันกับสวี่ฮุ่ย ส่วนกระเรียนขนร่วงก็ใช้พลังทั้งหมดร้องเอะอะว่าหินผลึกอยู่ในใจ ประกอบกับสมบัติล้ำค่าของตระกูลเสวียนแล้ว จึงเกิดการแปลงกายขึ้นโดยมีซูหมิงเป็นวิญญาณหลัก

ซูหมิงไม่รู้ว่าตนเป็นบุตรแห่งจ้าวเผ่า เป็นชาวเผ่าธุลีแผดเผาที่มีตราประทับเปลวเพลิงเก้าจุดเวลาแปลงร่างแล้วจะต้องมีรูปลักษณ์อย่างไร เขาทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น

หลังจากแปลงร่าง เปลวเพลิงตรงระหว่างคิ้วก็หลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว ร่างกายยังถูกครอบด้วยเปลวเพลิง ทันใดนั้นปรากฏเปลวเพลิงเหมือนกับวิญญาณแผดเผาก่อนก่อนหน้านี้ขึ้นในหมอกฟ้ากระจ่างดาว

ซูหมิงจงใจให้การแปลงกายช้าลง ดวงตาปิดซ่อนอยู่ในเปลวเพลิง ระหว่างเปลี่ยนร่าง ก็สังเกตสีหน้าคนรอบๆ อย่างเร็วไว โดยเฉพาะชายชราภัยพิบัติตะวันเก้าคน โดยเฉพาะคนที่เตือนให้ตนแปลงร่างเมื่อครู่ สิบคนนี้เป็นจุดสำคัญที่เขาต้องสังเกต

ภายใต้การสังเกต เขาพบว่าขณะตนเปลี่ยนร่าง ชายชราภัยพิบัติตะวันเก้าคนนั้นพลันหยุดชะงัก ไม่ลงมืออีกแต่เพ่งมองมา แต่หลังจากเห็นร่างแปลงของตนเหมือนกับคนอื่นๆ แล้ว เจ็ดคนในนั้นมีสีหน้าปกติ แต่มีสองคนกลับเหมือนถอนหายใจโล่งอก

ภาพนี้ทำให้จิตใจซูหมิงเป็นสมาธิ ตอนที่มองชายชราคนที่เอ่ยเตือนตน เขาก็เห็นความผิดหวังบางๆ ในสีหน้า

ซูหมิงโคจรความคิดอย่างรวดเร็ว วินาทีที่กำลังจะแปลงกายเสร็จนั้น เขายกเท้าขวาขึ้นเหยียบฟ้ากระจ่างดาว ปากก็เอ่ยเสียงตะโกนต่ำ

ทันใดนั้นภายในสัญลักษณ์เปลวเพลิงที่รวมกันเป็นหนึ่งตรงระหว่างคิ้วพลันมีเพลิงสีฟ้าลุกขึ้นมา เปลวเพลิงสีฟ้านี้ก็คือเส้นสีฟ้าตรงแขนขวาของร่างกายที่เขาควบคุมอยู่ ตอนนี้มันปกคลุมทั่วร่างในทันที ทำให้คนยักษ์เปลวเพลิงกลายเป็นมนุษย์เพลิงสีฟ้า

ตอนที่แปลงร่าง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในเปลวเพลิงของเขาไม่มีความหละหลวมอีก แต่ดวงตาวาววัว เขาสังเกตเห็นชายชราภัยพิบัติตะวันเก้าคนนั้นทันทีว่าต่างหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน กระทั่งยังมีความตึงเครียดและตะลึง

และยังมีชายชราคนที่เตือนตนก่อนหน้านี้ ความผิดหวังพลันกลายเป็นความตื่นเต้น

ซูหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่ลังเลอีก แม้ยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมาขบคิดมากนัก เขาจึงกัดฟันกลายร่างสมบูรณ์ สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนคือคนยักษ์เปลวเพลิงขนาดหลายสิบจั้ง เปลวเพลิงบนตัวคนยักษ์เป็นสีฟ้าสด กลางฟ้ากระจ่างดาว ภายใต้การโอบล้อมของชาวเผ่าธุลีแผดเผา เพลิงของซูหมิงกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงที่สว่างพร่างพราวที่สุด

หากเพียงแค่แปลงกายคงยังไม่มากพอจะสร้างความตื่นตะลึง ทว่าถึงพลังที่ปะทุออกมาจากตัวซูหมิงยังคงเป็นภัยพิบัติตะวัน ทว่ากลับมีพลังแก่กล้ากว่าภัยพิบัติตะวันธรรมดามาก ก่อให้เกิดแรงกดดันและเสียงโครมคราม บีบให้ชายชราภัยพิบัติตะวันเก้าคนถอยไปด้วยหน้าเปลี่ยนสี

นี่แค่รวมกลิ่นอายพลังของเอ้อชางเข้าไปเท่านั้น ยังไม่ได้ให้เอ้อชางลงมาเยือนจริงๆ มิเช่นนั้นแล้ว มีสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้อยู่ เขาสู้กับยอดฝีมือขั้นกุมชะตาเกิดดับได้!

อีกทั้งสมบัติชิ้นนี้ร่วมมือกับกระเรียนขนร่วงจึงเกิดเป็นการป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้กลิ่นอายพลังเอ้อชางไม่กระจายออกข้างนอกเลย ฉะนั้นแล้วจึงทำให้พิรุธในช่วงสุดท้ายหายไป

แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงกลายร่างเป็นคนยักษ์สีฟ้า ตรงส่วนลึกของหมอก บนแผ่นดินชาวเผ่าธุลีแผดเผา ชายวัยกลางคนที่นั่งฌานอยู่ตรงยอดหอคอยหมื่นจั้ง เดิมทีเขาหลับตาอยู่ แต่ตอนนี้พลันลืมตาขึ้นจ้องดวงตาเปลวเพลิงตรงหน้าเขม็ง ก่อนลุกพรวดขึ้นพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี

“ไม่อยากเชื่อว่าจะบรรลุถึงการเปลี่ยนเพลิงครามแล้ว!”

ขณะเดียวกันด้านบนของหมอก ร่างเงาเลือนรางที่ดูเหมือนเด็กยิ้มมุมปาก ทันทีที่เขาเห็นซูหมิงกลายร่างเป็นคนเพลิงสีฟ้า ความสงสัยทั้งหมดก็หายไป ความจริงต่อให้อีกฝ่ายกลายร่างเป็นเพียงเพลิงแดงฉาน เขาก็จะไม่สงสัยอยู่ดี คงเพียงแค่ผิดหวังเล็กน้อยเท่านั้น

ถึงอย่างไรหลังจากชาวเผ่าทุกคนปลุกตื่นแล้วก็จะบรรลุถึงเพลิงแดงฉาน หากแต่เพลิงคราม…..ยากกว่ามาก ต้องใช้การปลุกตื่นสองครั้ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง จุดสำคัญคือสายเลือด

“เพียงหลายพันปี ขั้นพลังบรรลุถึงภัยพิบัติตะวัน สายเลือดบรรลุถึงการเปลี่ยนเพลิงคราม……เจ๋อหรง เจ้าได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับเผ่าแล้ว!” ร่างเงาเลือนรางยิ้มพลางยืนขึ้น ก่อนเดินลงไปยังสนามรบที่ซูหมิงอยู่

“เด็กคนนี้บรรลุถึงภัยพิบัติตะวัน แต่กลับไม่มีดวงตะวันของขั้นพลัง นี่อธิบายได้ว่าเขายังไม่บรรลุถึงภัยพิบัติตะวันจริงๆ แต่ได้มาเพราะโชควาสนาบางอย่าง

ดังนั้น จึงอธิบายสาเหตุได้ว่าในเวลาแค่หลายพันปีเหตุใดถึงมีกำลังรบเช่นนี้ ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ!” ร่างเงาเลือนรางเป็นเด็กชายจริงๆ เส้นผมขาว ทว่ารูปร่างกลับดูอายุราวเจ็ดแปดขวบ เขายิ้มพลางเดินหน้าไป ความชื่นชมและสนใจแผ่ลามไปทั้งใบหน้า

บนสนามรบ เมื่อซูหมิงแปลงกายแล้วก็มองภัยพิบัติตะวันเก้าคนที่หน้าเปลี่ยนสีไป โดยรอบเงียบสงบ ชาวเผ่าธุลีแผดเผาเหล่านั้นมองเขาด้วยสายตาต่างออกไป ในสายตามีความเคารพและฮึกเหิม

“พวกเจ้าเก้าคนจะสังหารข้ารึ?” ซูหมิงมองภัยพิบัติตะวันเก้าคนแล้วกล่าวอย่างน่ากลัว แรงกดดันมหาศาลกระจายออกตามคำพูดโดยพลัน ม้วนหมอกรอบๆ ให้หมุนตลบออกไป ส่งเสียงดังสนั่นกึกก้องไปโดยรอบ

เก้าคนนี้หน้าเปลี่ยนสีพลางร้องทุกข์ในใจ พวกเขารู้ว่าในเผ่ามีกฎอยู่มาก โดยจะใช้ผู้มีรอยเพลิงมากเป็นใหญ่ พวกเขาเก้าคนมีรอยเพลิงแค่แปด เมื่อครู่ลงมือไปก็ผิดกฎแล้ว แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังไม่ถือว่าเป็นชาวเผ่า จึงไม่เป็นอะไรมาก

แต่ยามนี้เมื่ออีกฝ่ายแปลงกาย โดยเฉพาะเกิดการเปลี่ยนเพลิงคราม พวกเขาจึงรู้ว่าไม่ต้องให้ใครไปพิสูจน์คนนี้อีกก็ถือว่าเป็นชาวเผ่าธุลีแผดเผาแล้ว บวกกับรอยเพลิงเก้าจุด ทุกอย่างรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นแรงกดดันที่แกร่งกว่าขั้นพลัง

ต่อให้เป็นจ้าวเผ่าก็ไม่มีอำนาจสังหารชาวเผ่าที่มีรอยเพลิงเก้าจุดกับเปลี่ยนเพลิงครามเหมือนกันได้

ขณะที่ภัยพิบัติตะวันเก้าคนเกิดความลังเล ก็มีเสียงหัวเราะยากยาวเข้ามาทำลายความเงียบ หมอกม้วนถอยไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ มีร่างเงาเลือนรางเดินออกมาจากอากาศ ขณะก้าวเดินตัวเขาก็สมจริงขึ้น สุดท้ายกลายเป็นเด็กชายผมขาวคนหนึ่ง

การปรากฏตัวของเด็กชายคนนี้ทำให้ภัยพิบัติตะวันเก้าคนหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง พวกเขารีบคุกเข่าลงในฟ้ากระจ่างดาวอย่างไม่ลังเล

“คารวะท่านบรรพบุรุษ!”

และยังมีชาวเผ่าธุลีแผดเผารอบๆ รวมถึงชายชราที่เอ่ยเตือนซูหมิงเมื่อครู่ พวกเขาต่างคุกเข่าลงด้วยความฮึกเหิมและเคารพพร้อมกัน

ซูหมิงหรี่ตามองชายชราที่เดินมา เขารู้สึกถึงแรงกดดันจากตัวอีกฝ่ายอย่างแจ่มชัด นี่คือ…..ผู้กุมชะตาเกิดดับ

ความรู้สึกทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังสูงสุดทำให้ซูหมิงรู้ว่าอีกฝ่ายบรรลุถึงขั้นกุมระดับสูง ด้านศักยภาพแทบจะเหมือนกับท่านนั้นที่เขาเจอในเขตรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง

“เจ้ามีนามว่าอะไร” เด็กชายยิ้มมองซูหมิง

“โม่!” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ แต่ในใจพวกเสวียนซางสี่คนตึงเครียดขึ้นมาทันที คำตอบของซูหมิงไม่ใช่ตามที่พวกเขาตกลงกันเอาไว้ ทว่าซูหมิงควบคุมทุกอย่าง อีกทั้งตลอดทางมานี้ การตัดสินใจหลายครั้งของเขามีผลต่อจุดสำคัญ เห็นได้ชัดว่าดีกว่าแผนการพวกเขามาก ดังนั้นถึงจะตึงเครียด แต่ก็ไม่ได้ส่งกระแสจิตไป

“อ้อ? เหตุใดถึงชื่อนี้?” เด็กชายขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่นามของเผ่าธุลีแผดเผา

“เพราะตั้งแต่ข้าจำความได้ ที่ที่ข้าอยู่มีคนที่สำคัญอยู่คนหนึ่ง เขาแซ่โม่”

ซูหมิงตอบแบบเรียบนิ่ง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น

“บิดาเจ้าคือใคร?” เด็กชายถามอีกครั้ง

ซูหมิงมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความเย็นชา แต่ไม่ตอบ

เด็กชายก็มองเขาเช่นกัน มองไปมองมา ในใจก็ถอนหายใจโล่งอก เขาเห็นถึงความโกรธแค้นในใจคนนี้ ทุกอย่างไม่ต้องการคำตอบแล้ว ตอนที่เขาเกิดบิดาเขาก็น่าจะตายไปแล้ว เขาถูกคนแซ่โม่ชุบเลี้ยง ดังนั้นที่มาที่นี่ได้ จะต้องเป็นตอนที่เจ๋อหรงฝากเด็กคนนี้ให้คนอื่นดูแล และฝากวัตถุยืนยันกับวัตถุบอกทางเอาไว้ก่อนสิ้นใจแน่ๆ

“ข้าไม่มีบิดา” ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา

“เจ้าพูดอะไร!” เด็กชายตะโกนเสียงต่ำ น้ำเสียงก้องเล็กๆ แล้วกล่าวต่อว่า

“บิดาเจ้ามีนามว่าเจ๋อหรง เป็นจ้าวเผ่ารุ่นก่อนของเผ่าธุลีแผดเผา ข้าดูแลเขาจนเติบใหญ่เอง และเจ้าก็เป็นชาวเผ่าธุลีแผดเผา และยังเป็นจ้าวเผ่าน้อยของเผ่าข้า!

ช่างเถอะ ไว้ข้าค่อยบอกเรื่องเกี่ยวกับบิดาเจ้าทีหลัง ตอนนี้…..เจ้าหนู เจ้ากลับบ้านแล้ว!” เด็กชายมองซูหมิงด้วยความเมตตา

“ข้าไม่ใช่เผ่าธุลีแผดเผา ข้ามาที่นี่เพื่อมาเอามรดกของเจ๋อหรงคนที่เจ้าพูดถึง ในเมื่อเผ่าธุลีแผดเผาทอดทิ้งข้ากับบิดาไว้ข้างนอกหลายพันปีได้ ข้า…..” น้ำเสียงดื้อรั้นเข้มข้นกว่าเดิม ทว่ายังกล่าวไม่จบเด็กชายก็สะบัดแขนเสื้อทันที หมอกทั้งหมดในพื้นที่นี้เกิดเสียงโครมดังสนั่นพร้อมกัน แล้วกลายเป็นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่ง แทบจะกินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งฟ้ากระจ่างดาว กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและรวมขึ้นมาจากหมอก

หลังฝ่ามือโผล่มาแล้วก็กำหมัด ที่กำไม่ใช่เพียงซูหมิง แต่ยังมีชาวเผ่าธุลีแผดเผาทั้งหมดรอบๆ เสียงครึกโครมดังสนั่น เดิมทีซูหมิงต่อต้านได้ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาลงมือ

ท่ามกลางเสียงโครมคราม หากมองหมอกเผ่าธุลีแผดเผาจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าหมอกนี้กลายเป็นฝ่ามือและกำหมัด วินาทีที่กำหมัด หมัดก็สลายกลายเป็นหมอก อีกครั้ง ทว่าชาวเผ่าธุลีแผดเผาข้างในหมอกกลับหายไปทั้งหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!