ตอนที่ 108-5
ยื่นหน้าเข้ามาขนาดนี้แล้ว จะไม่ตบได้อย่างไร
เว่ยหลินหลางได้ออกปากว่าจะเตรียมวัตถุดิบปรุงยาให้เช่นนี้ มู่ชิงเกอจะเกรงใจเขาไปเพื่ออะไร จึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเช่นนั้นภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ข้าจะเขียนรายชื่อสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้และเรื่องหลังจากนั้นก็คงจะต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองเว่ยแล้ว”
“น้องชาย อย่าได้เกรงใจไป ยังจะเรียกข้าว่าเจ้าเมืองอีก หากไม่รังเกียจเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่” เว่ยหลินหลานแกล้งทำเป็นไม่พอใจ
ทั้งสองได้สบตากันความลับบางอย่างได้ถูกซ่อนอยู่ในคำพูด
มู่ชิงเกออมยิ้มและพูดไปตามมารยาทว่า “ถ้าเช่นนั้นน้องก็จะไม่เกรงใจแล้วนะพี่เว่ย”
ความชาญฉลาดของมู่ชิงเกอทำให้เว่ยหลินหลางตาเป็นประกายและพูดกับนางว่า “หลังจากนี้หลานชายและหลานสาวทั้งสองก็ฝากท่านดูแลด้วย หากพวกเขาทำให้ท่านไม่พอใจ ท่านก็สามารถอบรมสั่งสอนได้เลย”
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากและพูดอย่างคลุมเครือว่า “หลานเว่ยฉีและหลานกว่านกว่านล้วนเป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบดี ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสอนอะไร”
“อ่าๆๆๆๆ น้องมู่ก็ชมกันเกินไป!” ราวกับได้แก้ไขปัญหาใหญ่ที่อยู่ในใจสำเร็จเว่ยหลินหลางจึงหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจ
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านอาจจะยังไม่รู้ว่า เพียงแค่เวลาอันสั้นๆ นี้ เขาทั้งสองก็ได้เลื่อนขั้นจากเพื่อนของมู่ชิงเกอ มาเป็นหลานชายและหลานสาวของมู่ชิงเกอแล้ว
หากพวกเขารู้คงทำได้เพียงแค่นํ้าตานองหน้า ที่มีท่านพ่อจอมขวางโลกเช่นนี้!
มู่ชิงเกอเดินเข้ามายังงานเลี้ยงพร้อมกับเว่ยหลินหลางและพบว่างานเลี้ยงนี้ได้จัดขึ้นเพื่อตนเองจริงๆ
นางถูกเว่ยหลินหลางนำทางไปนั่งบนที่นั่งตำแหน่งหลัก ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับเว่ยหลินหลาง พี่น้องตระกูลเว่ยนั่งอยู่ด้านล่างพวกเขา นอกจากลุงโจว และองครักษ์จวนตระกูลเว่ยแล้วก็ไม่มีใครอื่นใดอีก
แน่นอนว่า มั่วหยางคนอื่นๆ ต่างก็ถูกเชิญในฐานะผู้ติดตามของมู่ชิงเกอ
แม้ว่าคนจะน้อย แต่สถานที่ถูกจัดอย่างไม่ธรรมดา ในทุกๆ ที่ล้วนฉายให้เห็นถึงความตั้งใจของเว่ยหลินหลาง อาหารอันเลิศรสที่วางอยู่บนโต๊ะส่งกลิ่นหอมโชย รวมทั้งนางรำที่ทั้งอ่อนโยนสง่าและน่าเย้ายวน แม้กระทั่งอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารก็พิเศษและดูสูงส่ง ในทุกๆ รายละเอียดล้วนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเคารพที่มีต่อมู่ชิงเกอ แขกผู้มีเกียรติท่านนี้
มู่ชิงเกอและเว่ยหลินหลางนั่งอยู่บนเวทีที่สูงกว่าคนอื่นหนึ่งระดับจึงสามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ภายในงานเลี้ยง เว่ยหลินหลางชนแก้วอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้สายตาของผู้คนในจวนตระกูลเว่ยมองมู่ชิงเกอว่าไม่ธรรมดา
หลังจากที่ดื่มจนสมใจแล้ว เว่ยหลินหลางก็ลุกขึ้นและในขณะที่กำลังจะประกาศให้ทุกคน รู้ว่าภรรยาของตนเองได้หายจากอาการป่วยเพราะการรักษาของมู่ชิงเกอแล้วนั้น ก็ได้เห็นบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาจากประตูด้วยความเร่งรีบ
“ท่านเจ้าเมือง มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือนขอรับ” ยังไม่ทันได้เข้าสู่ห้องโถง บ่าวก็ได้คุกเข่าลงและรายงานอยู่ที่หน้าประตู
ในเวลานี้ มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือนอย่างนั้นหรือ
เว่ยหลินหลางขมวดคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อสั่งให้เหล่านางรำหยุดและถอยออกไปอยู่ข้างๆ เสียงดนตรี ก็ได้ค่อยๆ หยุดลงเพื่อรอคำสั่งจากเว่ยหลินหลาง
“ใครมา” เว่ยหลินหลางมองบ่าวที่คุกเข่าอยู่แล้วถาม
บ่าวก้มหน้าลงและตอบว่า “มาจากเมืองฮ่วน และเรียกตนเองว่า องค์ชายสามขอรับ” บ่าวไม่เคยพบองค์ชายสามแห่งแคว้นลี่ฟ่งอวี๋กุยจึงทำได้เพียงตอบตามคำพูดที่อีกฝ่ายพูด
เว่ยหลินหลางหรี่ตาลงแล้วมองลุงโจว
อีกฝ่ายเข้าใจในคำสั่งและรีบเดินออกมาพร้อมพาบ่าวรับใช้ออกนอกประตูไป
‘ฟ่งอวี๋กุยมาที่นี่อย่างนั้นหรือ’ มู่ชิงเกอหลับตาลงแล้วดื่มเหล้า ขนตาอันยาวงอนบดบังความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของนาง
“เจ้าบ้าอำนาจนั้นมาเมืองถัวรึ! หึ!” ทันทีที่เว่ยกว่านกว่านได้ยินว่าองค์ชายสามมา ก็อุทานด้วยความไม่พอใจ
เว่ยหลินหลางมองนางด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไป ด้วยความฉงนใจ “กว่านกว่านพวกเจ้ารู้จักกับองค์ชายสามอย่างนั้นหรือ”
เว่ยกว่านกว่านยังคงโกรธท่านพ่อ จึงไม่ได้สนใจเขา ทั้งยังหันหน้าหนีหลังจากที่อุทาน เว่ยฉีจึงต้องตอบแทนว่า “ท่านพ่อ ในระหว่างที่เราได้กลับมารอมู่เกอที่เมืองอวี้จื้อก็ได้เกิดข้อขัดแย้งกับองค์ชายสามและเราไม่ได้ผิด”
สำหรับเรื่องนี้เว่ยหลินหลางไม่ได้รับรู้ด้วย
อาจจะเป็นเพราะว่าเหล่าโจวคิดว่า เรื่องทุกอย่างได้ผ่านไปแล้วและมันไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดจึงไม่ได้เล่า
การได้ยินเรื่องนี้ในตอนนี้ทำให้เว่ยหลินหลางขมวดคิ้วมากกว่าเดิม
และในขณะนี้เองเสียงของเหล่าโจวก็ได้ดังขึ้น จากระยะอันห่างไกล “เชิญองค์ชายสาม ท่านเจ้าเมืองของเรากำลังต้อนรับแขกอยู่ในงานเลี้ยงได้ข่าวว่าองค์ชายสามมาเยือนจึงให้ข้าน้อยออกมารับเสด็จ”
คำพูดของเขาเป็นการให้สัญญาณผู้คนที่อยู่ในห้องโถง
คนอื่นๆ ในจวนตระกูลเว่ยต่างก็ลุกขึ้นยืนแล้ว ถอยหลังไปสองก้าว
เว่ยหลินหลางเองก็ลงจากเวทีและเดินมุ่งไปทางนั้น
พี่น้องตระกูลเว่ยเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่ขยับตัว จึงได้นั่งอยู่กับที่พร้อมรับประทานอาหารอย่างอึดอัด สำหรับองค์ชายสามที่กำลังจะเข้ามานั้นพวกเขาทำราวกับไม่เห็น
เว่ยหลินหลางเพิ่งจะเดินมาถึงที่ประตูห้องโถง ก็เห็นเหล่าโจวนำจำนวนคน 4-5 คนเดินเข้ามา
หนึ่งในนั้นท่าทางฉายความสามารถอันเต็มเปี่ยมและแฝงความโดดเด่น ส่วนอีกสี่คนดูเหมือนว่าจะเป็นองครักษ์ของเขาซะมากกว่า
เมื่อเดินเข้ามาใกล้อีกนิด ก็ได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน เว่ยหลินหลางก็ยิ่งมั่นใจในฐานะของผู้มาเยือน เขาเดินไปข้างหน้าเพื่อทำความเคารพ “เจ้าเมืองแห่งเมืองถัวเว่ยหลินหลางคำนับองค์ชายสามพะย่ะค่ะ”
เสื้อคลุมบนร่างกายของฟ่งอวี๋กุยมีนํ้าค้างเกาะอยู่ แสดงถึงความเย็นเยียบในยามค่ำคืน
เมื่อพบกับเว่ยหลินหลาง เขาไม่ได้แสดงการกล่าวโทษที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเองเพียงพูดว่า “ไม่ต้องคำนับหรอก ข้าเองที่มาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันและรบกวนท่านเจ้าเมือง อวี๋กุยผ่านเมืองถัวมาพอดี จึงอยากจะขอพักในจวนตระกูลเว่ย ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่”
แม้ว่าจะแสร้งนอบน้อม แต่คำพูดก็แข็งกระด้าง เว่ยหลินหลางหรี่ตาลง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากองค์ชายสามยินยอมที่จะพักที่นี่ เว่ยหลินหลางจะไม่ต้อนรับพระองค์ได้อย่างไร ทรงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย คงจะยังไม่ได้เสวยอะไร กระหม่อมกำลังจัดงานเลี้ยง เพื่อต้อนรับเพื่อนคนหนึ่ง หากทรงไม่รังเกียจ ขอเชิญร่วมงานพะย่ะค่ะ”
เว่ยหลินหลางเป็นใคร เป็นคนที่แม้กระทั่งฮ่องเต้แคว้นลี่พบเจอยังต้องให้ความเคารพแล้วจะกลัวองค์ชายสามได้อย่างไร
ดวงตาของฟ่งอวี๋กุยเย็นเยียบ และฝืนยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ขอรับคำเชิญ” ในใจกลับคิดว่า ไอ้เว่ยหลินหลาง บังอาจมากที่ให้ข้าที่เป็นถึงองค์ชายเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ!
“แปลกจริง เหตุใดต่อหน้าท่านพ่อองค์ชายสาม จึงได้นอบน้อมเช่นนี้” เว่ยกว่านกว่านพึมพำกับเว่ยฉี
เว่ยฉีขมวดคิ้ว
เว่ยกว่านกว่านหันไปมองมู่ชิงเกออย่างไม่รู้ตัว
อีกฝ่ายยิ้ม ดื่มเหล้าในแก้วและตอบว่า “นั่นเป็นเพราะว่าท่านพ่อของพวกเจ้าคือเว่ยหลินหลางอย่างไรเล่า!”
พลังเวทของเว่ยหลินหลางไม่ได้ตํ่าและสำหรับแคว้นลี่แล้ว เมืองถัวถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับราชวงศ์แคว้นลี่ เว่ยหลินหลางก็ยังคงต้องรักษาเกียรติยศของตนเองเอาไว้
สองพี่น้องพยักหน้าที่ดูเหมือนเข้าใจและไม่เข้าใจในขณะเดียวกัน
ในเวลานี้ เป็นเพราะการนำทางของเว่ยหลินหลาง ฟ่งอวี๋กุยได้ย่างเข้ามาภายในห้องโถงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่ย่างเข้ามา เขาก็จดจ้องไปยังเว่ยกว่านกว่านที่นั่งอยู่กับเว่ยฉี ในส่วนลึกของดวงตาส่องประกายแวบหนึ่ง จากนั้นเขาจึงเคลื่อนสายตาออก
ทันใดนั้น สีแดงอันเจิดจ้าก็ได้สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ทำให้ชุดสีเลือดหมูในตัวเขาดูหม่นหมองลง
เมื่อมองเห็นคนที่มีใบหน้าอันงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นั่งอยู่บนที่นั่งหลักของงานเลี้ยงอย่างชัดเจน สายตาของเขาเย็นชาลง พลันฉายความเย็นเยียบออกมาในทันใด
เว่ยหลินหลางที่อยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง พลางแอบมองมู่ชิงเกอที่ท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วถามว่า “องค์ชายสาม?”
ฟ่งอวี๋กุยกลับไม่ได้ตอบ เพียงจ้องมู่ชิงเกอแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้ายังจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก!”
หลังจากที่สิ้นเสียงนี้ พี่น้องตระกูลเว่ยก็หันไปมองเขา ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการระแวดระวัง
เว่ยหลินหลางหรี่ตาทั้งสองข้างลง โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนดูอย่างเงียบๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เว่ยหลินหลางไม่มีการเคลื่อนไหว แน่นอนว่ากำลังคนของจวนตระเว่ยเองก็เช่นกัน
มีเพียงพวกของมั่วหยางที่รู้ใจมู่ชิงเกอ ในตอนนี้ต่างก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาอันโหดเหี้ยมทั้งคู่ จ้องฟ่งอวี๋กุยและผู้ติดตามทั้ง 4 คน ราวกับว่า เพียงคำสั่งเดียวของมู่ชิงเกอ พวกเขาก็พร้อมจะลงมือฆ่าทั้ง 5 คนให้สิ้นซาก
ในคำพูดของฟ่งอวี๋กุยแฝงความอันตราย ทำให้มู่ชิงเกอกระตุกรอยยิ้มเบาๆ นางวางแก้วเหล้าในมือลง พลันเงยสายตาขึ้นมองฟงอวี๋กุยที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง แล้วเผยรอยยิ้มอันเบิกบานดั่งดอกไม้ว่า “ดูเหมือนว่าฝ่าบาทต่างหากที่มาปรากฏ ตัวต่อหน้าข้า”
คำพูดนี้ทำให้ฟ่งอวี๋กุยใบหน้าแข็งกระด้างเพราะความโกรธ กลิ่นอายทั่วทั้งร่างพลันเย็นเยียบ
เขาพูดด้วยนํ้าเสียงอันโหดเหี้ยมว่า “เจ้าทำอะไรจูลี่ อาไว้ คงรู้อยู่แก่ใจ หากยังอยากจะเดินออกจากจวนตระเว่ยอย่างมีลมหายใจ ก็รีบมอบยาถอนพิษออกมา!”
“จูลี่อย่างนั้นรึ” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม พลันย้อนถามว่า “เขาเป็นอะไรรึ”
ภายใต้รอยยิ้มของนาง ฟ่งอวี๋กุยสัมผัสได้ถึงความเจตนา ตอนแรกเขาไม่ได้เชื่อคำพูดของจูลี่มากนัก ที่คิดว่าบุคคลผู้งดงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนวางยา อาจจะ เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ แต่ว่าในตอนนี้ เขาเริ่มสงสัยแล้วว่า บางที อาจจะเป็นอย่างที่จูลี่พูดว่าพิษอันรุนแรงที่อยู่ในร่างกายของเขานั้นเป็นของคนที่อยู่ตรง หน้า
“หลังจากที่เขาบังเอิญพบกับเจ้า ร่างกายก็มีตุ่มผุดขึ้นมาจำนวนมาก ทั้งบวมและมีหนองไปทั่วทั้งร่างกาย ทั้งเขาและเจ้าเคยมีเรื่องบาดหมางกัน ดูเหมือนว่ายาพิษ นั้นเจ้าจะเป็นคนวางจริงๆ” ฟงอวี๋กุยหรี่ตาแล้วพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบ
“ฝ่าบาททรงเดินทางไกลมาถึงเมืองถัว ก็เพื่อที่จะมาหาข้าน้อย และถามว่าข้าน้อยเป็นคนวางยาจูลี่หรือไม่อย่างนั้นหรอกรึ” มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มและแฝงความขบขัน
“คนแซ่จูโดนวางยาพิษอย่างนั้นหรือ เหอะ! ไอ้ลูกเต่านั้นตายไปเสียได้จะดีที่สุด คนชั่วก็ย่อมเป็นไปตามกรรม ทำไมรึ มันจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาใส่ความมู่เกอของเราอีกหรือ” หลังจากที่ได้ยินสภาพอันยํ่าแย่ของจูลี่ เว่ยกว่านกว่านก็รีบปรบมือแสดงความยินดีในทันที
เว่ยฉีเองก็พูดกับท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ จูลี่ผู้นี้คอยขัดขวางเราทุกทาง ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเมืองฮ่วนก็แทบจะฆ่าเรา พอมาถึงเมืองอวี้จื้อเพราะมีองค์ชายสามคอยหนุนหลังจึงอยากจะสร้างความอับอายให้กับเรา หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอมาได้ทันเวลา ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองถามลุงโจวดู”
คำพูดของเว่ยฉี ทำให้ท่าทางของฟ่งอวี๋กุยเย็นเยียบลง
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” สายตาอันเฉียบคมของเว่ยหลินหลางกวาดผ่านฟ่งอวี๋กุยไปยังเหล่าโจวที่ยืนอยู่ข้างหลัง
เหล่าโจวพยักหน้า ทำให้เว่ยหลินหลางเข้าใจทุกอย่างในทันที
เขามองฟ่งอวี๋กุยและพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นๆ ว่า “องค์ชายสาม คนที่คิดจะทำให้ลูกทั้งสองของข้าอับอายขายหน้าตอนนี้มันอยู่ที่ใด”
ฟ่งอวี๋กุยสะดุ้งทีหนึ่ง เขาไม่คิดว่าเว่ยหลินหลางจะไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ แต่ว่า เขาก็ไม่สามารถจะเป็นศัตรูกับเว่ยหลินหลางได้ เพราะหากเรื่องแดงออกไป เขายังจะมีสิทธิ์อะไรที่จะแย่งตำแหน่งรัชทายาทกับเสด็จพ่ออีก
เมื่อไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขาจึงทำได้เพียงแค่พูดว่า “เขาถูกคนผู้นี้วางยา ในตอนนี้เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องขอบคุณน้องมู่เป็นอย่างมาก” เว่ยหลินหลางมองมู่ชิงเกอพลันประสานหมัด
ฉากนี้ทำให้ฟ่งอวี๋กุยโกรธจนเกือบจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนี แต่พอนึกถึงเป้าหมายที่มาที่แห่งนี้ ไม่คุ้มเลยที่จะขัดแย้งกับเว่ยหลินหลางเพราะจูลี่ เขาจึงรีบพูดว่า “ในตอนนั้น อวี๋กุยไม่รู้เลยว่าทั้งสองเป็นลูกของท่าน ถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมโดนจูลี่หลอกใช้เป็นอันขาด ในวันนี้จะต้องขออภัยทั้งสองต่อหน้าท่านเจ้าเมือง”
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านไม่สนใจ เว่ยหลินหลางเองก็ไม่ได้แสดงความดีใจเพียงเพราะคำพูดนี้
ในใจของฟ่งอวี๋กุยเกลียดทั้งเว่ยหลินหลางและมู่ชิงเกอ พลันหันไปมองเว่ยหลินหลางแวบหนึ่งก่อนจะกัดฟัน พูดว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ เพราะเป้าหมายหนึ่ง อวี๋กุยได้ข่าวว่าฮูหยินกำลังป่วย ข้าพอจะรู้เรื่องยาอยู่บ้าง อาจจะสามารถดูอาการของฮูหยินได้”
พูดจบ เขาก็เชิดหน้าและยืดหลังตรง รอคอยความเคลื่อนไหวของเว่ยหลินหลาง
ไหนบอกว่า เว่ยหลินหลางใส่ใจอาการป่วยของท่านผู้หญิงของนางเป็นอย่างมาก และไม่ยอมพลาดทุกโอกาสที่จะสามารถรักษาได้
ฟ่งอวี๋กุยกำลังรอ รอคอยให้เว่ยหลินหลางขอร้องเขา แต่ไม่ได้สังเกตถึงบรรยากาศที่แฝงความขบขันอันแปลกประหลาดรอบๆ