ตอนที่ 252 อะไรคือจิตวิญญาณ
แม้ว่าจื่อเชอจะสับสนกับคำพูดของซูหมิง ทว่าก็ยังรีบขานรับ
เขามองซูหมิงเดินออกจากถ้ำ กลายเป็นสายรุ้งยาวออกจากยอดเขา ในแววตามีความไม่เข้าใจ
‘แผ่นไม้นั่นดูธรรมดามาก ไม่เห็นมีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย เหตุใดพออาจารย์อาซูเห็นแล้วกลับเปลี่ยนใจทันที หรือว่าแผ่นไม้เล็กๆ นั่นจะล้ำค่ากว่าเหรียญหิน เปลี่ยนเทพหมาน กระทั่งกระบี่เหมันต์สวรรค์?’ จื่อเชอไม่เข้าใจ
นี่เป็นการออกจากยอดเขาลำดับเก้าครั้งแรกหลังจากซูหมิงต่อสู้กับซือหม่าซิ่น สำหรับเขาแล้ว สำนักเหมันต์สวรรค์ก็ดี ฝ่ายแผ่นดินเหมันต์ก็ดี ล้วนมิใช่บ้านในแดนอรุณใต้ของเขา บ้านของเขามีเพียงยอดเขาลำดับเก้าเท่านั้น
ยามนี้ซูหมิงกำลังทะยานอยู่กลางอากาศ สุดสายตาคือยอดเขาลำดับเจ็ด
คำเชิญหลายครั้งของเทียนหลันเมิ่ง จากเหรียญหินกลายเป็นเปลี่ยนเทพหมาน และเปลี่ยนเป็นกระบี่เหมันต์สวรรค์ จนท้ายที่สุดก็ส่งแผ่นไม้นี้มาให้ ภายในมีลำดับขั้นตอนอยู่ พูดได้ว่าคือการหยั่งเชิง และพูดได้อย่างอีกว่าคือการเปลี่ยนสภาพจิตใจอย่างช้าๆ
หากไม่มีแผ่นไม้นี้ ซูหมิงไม่น่าจะออกจากยอดเขาลำดับเก้า และไม่ไปพบหมายเลขหนึ่งของตารางจัดอันดับแผ่นดินเหมันต์ เทียนหลันเมิ่ง
ซูหมิงถือแผ่นไม้ในมือ ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง
ขณะเดินทาง ด้านหลังเขายังมีสายรุ้งยาวสายหนึ่งกำลังตามมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เงาคนในสายรุ้งยาวก็คือเฉินฉานเอ๋อร์ที่รับคำสั่งให้มาเชิญซูหมิงหลายครั้ง
ซูหมิงไม่หันกลับไปมอง หลังจากเดินทางได้ไม่นานก็มาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้านอกยอดเขาลำดับเจ็ด ยอดเขาลำดับเจ็ดตรงหน้าดูมีความรู้สึกขมุกขมัว เหมือนมีหมอกบางๆ อยู่ ทว่าหากมองดีๆ กลับไม่มี
ความรู้สึกแปลกเช่นนี้ ซูหมิงมองแวบแรกก็รู้แล้ว หลังจากวิหารและหอทั้งหมดบนยอดเขาเปิดออก มันย่อมปรากฏขึ้นจากวงแหวนอาคมของตัวมันเอง
ในจุดนี้ต่างจากยอดเขาลำดับเก้าโดยสิ้นเชิง
ซูหมิงมองผ่านๆ แวบเดียวก็ละสายตากลับ แล้วมองแผ่นไม้ในมือ นัยน์ตาฉายประกาย มือกำแผ่นไม้แน่นกว่าเดิมเล็กน้อย
เขายืนตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย รออยู่ชั่วครู่หนึ่ง เฉินฉานเอ๋อร์ด้านหลังก็ตามมาถึง บางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะรีบบินเกินไป บวกกับนางบินไปกลับหลายครั้งในวันนี้ จึงทำให้หน้าผากมีเหงื่อซึม นางถลึงตามองซูหมิงแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่กล่าวอะไรและบินผ่านเขาไป
ซูหมิงไม่สนใจท่าทางของเด็กสาวคนนี้ เขาตามเฉินฉานเอ๋อร์ไปอย่างสงบ ทั้งสองคนกลายเป็นสายรุ้งยาวตรงขึ้นไปยังส่วนยอดเขา
ช่วงที่เข้าใกล้ภูเขาลูกนี้ หมอกมายาตรงหน้าเฉินฉานเอ๋อร์พลันหายไป แล้วกลับคืนสภาพเดิม ทำให้เฉินฉานเอ๋อร์เข้าไปได้อย่างราบรื่น ซูหมิงก็เคลื่อนตัวตามเข้าไป
มันเหมือนกับการเดินผ่านเนื้อเยื่อกั้นหนึ่งชั้น ทั้งยังคล้ายทะลุผ่านน้ำสองด้าน ยามเหยียบบนยอดเขาลำดับเจ็ด มีสายลมเข้ามากระทบใบหน้าซูหมิง มันมิใช่ลมหนาว แต่เป็นความอบอุ่น ทั้งยังมีกลิ่นหอม
กลิ่นหอมที่ว่านี้ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ แต่เป็นเพราะสตรีของยอดเขานี้มีจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเป็นกลิ่นที่พิเศษเช่นนี้
เสียงคิกคักดังแว่วเข้ามาไม่หยุด ทุกจุดที่ซูหมิงมองเห็นบนยอดเขาลำดับเจ็ดล้วนเป็นสตรี ศิษย์หญิงเหล่านั้นจับกลุ่มสามถึงห้าคนกำลังคุยเล่นหยอกล้อกัน ทั้งยังมีคนกำลังย่างก้าวบนบันไดภูเขา ดูแน่นขนัด ทำให้ตาลาย
เทียบกับยอดเขาลำดับเก้าที่เงียบสงบแล้ว ยอดเขาลำดับเจ็ดนี้ครึกครื้นเกินไปจริงๆ
ความครึกครื้นเช่นนี้เป็นของสตรีทั้งหมด ทำให้ซูหมิงรู้สึกไม่สบายตัว
แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงมาถึงยอดเขาลำดับเจ็ด มีศิษย์หญิงหลายคนบนยอดเขาสังเกตเห็นเขา เงาร่างคนเสื้อดำ รูปร่างองอาจ และยังมีรอยแผลเป็นใต้ดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้หลายคนมองออกว่านี่คือซูหมิง
“เขาคือ…”
“ข้าจำเขาได้ เขาคือซูหมิงที่ต่อสู้กับศิษย์พี่ซือหม่า คนยอดเขาลำดับเก้า”
“ข้านึกออกแล้ว เขาเคยพูดกับศิษย์พี่ซือหม่าว่าเป็นอาจารย์อาของเขา…เหตุใดเขาถึงมายอดเขาลำดับเจ็ด?”
“ใช่ๆ น้อยนักที่จะเห็นผู้ชายมายอดเขาลำดับเจ็ด เขามาหาใครกัน?”
เสียงสนทนาดังแว่วเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ซูหมิงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติลง เขาเพิ่งเคยเจอสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่อาจปรับตัวได้อย่างเร็ว ทำได้เพียงสาวเท้าไวๆ หลบสายตาจ้องมองเหล่านั้น
จื่อเยียนเดินยืนเส้นยืดสายอยู่ตรงบันไดภูเขา ท่าทางเกียจคร้านเช่นนี้ดูมีเสน่ห์เฉพาะไปอีกแบบ นางหาววอด วางมืองามตรงริมฝีปาก ขณะเงยหน้าก็เห็นซูหมิงกำลังตามเฉินฉานเอ๋อร์มาทางบันไดภูเขา
“หืม!” จื่อเยียนขยิบตา พอเห็นเฉินฉานเอ๋อร์กำลังนำทางซูหมิง นางมีสีหน้าไม่แน่ใจ ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเดินตามขั้นบันไดภูเขาเพื่อไปหาหานชางจื่อ
บนยอดเขาลำดับเจ็ด คนที่เห็นซูหมิงยังมีสตรีอีกคนหนึ่ง
นางสวมอาภรณ์สีม่วง ยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน กำลังรับลมพลางมองทอดไกล ตรงที่นางมองคือยอดเขาลำดับหนึ่ง
นางมีใบหน้างดงามยิ่งนัก แฝงไว้ด้วยความรู้สึกดื้อรั้น ยามนี้หรี่ตาลง ขมวดคิ้วงาม ราวกับนางลังเลใจเพราะอะไรบางอย่าง
ช่วงที่นางเห็นซูหมิงกำลังห้อเหยียดผ่านบนท้องฟ้าตรงสู่ยอดเขา นัยน์ตาเด็กสาวฉายแววเหยียดหยามและรังเกียจ ทว่านางกลับเก็บซ่อนมันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก นางมองยอดเขาลำดับหนึ่งแวบหนึ่ง ก่อนกัดฟันขาว แววตาเด็ดเดี่ยว
‘ไป๋ซู่ ในชีวิตเขาจะต้องมีคนที่หน้าตาเหมือนเจ้ามากอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเจ้าใกล้ชิดกับเขา เขาจะไม่มีทางปฏิเสธ
แต่เรื่องนี้ข้าให้เจ้าไปทำมิได้ ถึงแม้ว่าการปลูกเมล็ดพันธุ์หมานในตัวเขาจะทำให้ข้าออกจากอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ได้แน่นอนก็ตาม ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ยังอันตรายอยู่บ้าง แต่ถึงจะอันตราย ข้าก็ต้องลอง!’
เด็กสาวคนนี้ก็คือไป๋ซู่
ขณะดวงตาฉายความแน่วแน่ เสียงนุ่มนวลของซือหม่าซิ่นเมื่อสองเดือนก่อนดังก้องในความคิด
“พี่ใหญ่ซือหม่า ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นอันตรายในอุโมงค์เหมันต์สวรรค์…..”
ไป๋ซู่พึมพำเบาๆ หมุนตัวกลับ สายลมพัดผ่านเส้นผมดำของนางจนปลิวไสว ไป๋ซู่พุ่งตัวไกลออกไป เงาร่างของนางก็ตรงขึ้นสู่ยอดเขาเช่นกัน
ส่วนบริเวณยอดเขาลำดับเจ็ด ซูหมิงลดระดับร่อนลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเทียนหลันเมิ่ง
นางเป็นหญิงสาวผมยาว สวมอาภรณ์สีแดง นั่งฌานสมาธิอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่นูนออกมาตรงขอบยอดเขา เวลานี้นางกำลังมองเขา คิ้วและดวงตาราวกับภาพวาด รอยยิ้มอ่อนโยน ไม่มีความรู้สึกแปลกหน้าใดๆ กลับเหมือนได้พบสหายเก่า
“น้องฉานเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หญิงสาวผมยาวกล่าวเบาๆ เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างนางได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วจากไป เพียงแต่ตอนเดินผ่านซูหมิง นางยังไม่ลืมถลึงตามองอย่างเหี้ยมโหด เห็นได้ชัดว่าการเดินทางไปยอดเขาลำดับเก้าหลายครั้ง อีกทั้งซูหมิงยังปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เด็กสาวคนนี้โมโหเพียงใด
“ฉานเอ๋อร์ยังเด็ก สหายซูอย่าถือสา” รอจนเด็กสาวไปแล้ว หญิงสาวผมยาวจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวกับซูหมิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ตัวนางมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่อบอุ่น เอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้มีความสุภาพเยือกเย็นและความนุ่มนวล ขับเน้นให้นางดูสูงส่ง
ซูหมิงกวาดสายตามองหญิงสาว นางมีใบหน้างดงามยิ่งนัก
แม้จะอบอุ่น ทว่าซูหมิงกลับรู้สึกเหมือนมีหมอกอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ทำให้ต้องมองผ่านหมอก ไม่อาจเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน
ซูหมิงเดินหน้าอย่างสุขุม เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าก่อนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าหญิงสาวบนหินก้อนใหญ่
“ช่างเถอะ แซ่ซูรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำเชิญจากเจ้าหลายครั้ง” เมื่อซูหมิงนั่งลง เขาก็มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง พลางกล่าวเรียบๆ
ขั้นพลังของหญิงสาว เขามองไม่ออก
“ขอแสดงความยินดีกับสหายซูด้วยที่ขั้นพลังพัฒนาขึ้นอีกแล้ว คนยอดเขาลำดับเก้าโดดเด่นจริงๆ…ในจุดนี้กลับเป็นข้าเองที่เมื่อก่อนมองข้ามไป” หญิงสาวผมยาวเทียนหลันเมิ่งยิ้มกล่าว สายตาจับจ้องซูหมิง ทั้งสองประสานสายตากัน
ซูหมิงไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่สบสายตากับเทียนหลันเมิ่ง หลายลมหายใจต่อมา มีสายลมพัดเข้ามา ทำให้เส้นผมดำของนางปลิวไสว ผมหลายเส้นเหล่านั้นเข้ามาขวางกั้นระหว่างสายตาของทั้งสอง
“สหายซู ลายเส้นที่ข้าลอกแบบเป็นอย่างไรบ้าง?” ผ่านไปนาน เทียนหลันเมิ่งกล่าวเบาๆ ทำลายความเงียบ
“ลอกแบบจิตวิญญาณของมัน มีลักษณะของมันพร้อม มีจิตวิญญาณ…ทว่าขาดเนื้อในเล็กน้อย” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“อะไรคือจิตวิญญาณ?” เทียนหลันเมิ่งพลันกล่าว
“จิตวิญญาณคือจิตใจ คือความคิด คือจินตนาการ เป็นการหวนนึกในจินตนาการท่ามกลางจิตใจ สิ่งนี้เรียกว่าความคิด และก็เป็นจิตวิญญาณ” ซูหมิงมองเทียนหลันเมิ่งแวบหนึ่ง สายตามองท้องฟ้าด้านหลัง
“ข้ามีความเห็นที่ต่างจากสหายซูเล็กน้อย” เทียนหลันเมิ่งมองเข้าไปในดวงตาของซูหมิง มีบางอย่างต่างไปเล็กน้อย
“เชิญอธิบาย” ซูหมิงละสายตากลับจากท้องฟ้า แล้วจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวผมยาวอีกครั้ง
“จิตวิญญาณคือเต๋า (วิถี)!” เทียนหลันเมิ่งกล่าวเบาๆ
“มิใช่ความคิด ความคิดมีขีดจำกัด ทว่าเต๋าไร้ขอบเขต เต๋า คือระดับที่คนในต่างแดนแสวงหา ทุกคนล้วนมีเต๋าที่ต่างกัน เต๋าไม่มีร่องรอย คนที่ได้รับเต๋าจะมองผ่านฟ้าดิน ได้ค้นพบและกลายเป็นสัจธรรม
ข้าต้องขอบใจสหายซูที่ต่อสู้กับซือหม่าซิ่น ทำให้ข้าได้ตระหนักรู้และเข้าใจความหมายแฝงของประโยคหนึ่ง ประโยคนั้นข้าอ่านเจอมันในคัมภีร์ม้วนหนึ่ง เป็นคำพูดที่เผยแพร่มาจากต่างแดน…มีเต๋าไร้วิชาก็มีวิชาได้ มีวิชาไร้เต๋าวิชาก็จบสิ้น!” น้ำเสียงของเทียนหลันเมิ่งค่อยๆ ล่องลอย กึกก้องโดยรอบ
“เพราะข้าเข้าใจ แม้ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าเต๋าก็ตาม แต่ในความเข้าใจข้ามันก็คือเต๋า เพราะข้ามีเต๋า ข้าจึงมองและลอกแบบลายเส้นนั้นได้ ดังนั้นจิตวิญญาณก็คือเต๋า มิใช่ความคิด จิตใจ และจินตนาการอย่างที่เจ้าว่า สหายซู เจ้าเข้าใจคำพูดของข้าหรือไม่?” เทียนหลันเมิ่งยิ้มเล็กน้อย
ซูหมิงมองรอยยิ้มบนใบหน้าเทียนหลันเมิ่ง ในรอยยิ้มนั้นไม่มีการเย้ยเยาะ ไม่มีการเหยียดหยาม มีแต่ความชัดเจนและยึดมั่น เหมือนว่ากำลังรอคำตอบจากซูหมิง
“สรรพสิ่งในโลกใบนี้มีเล็กมีใหญ่ ความเข้าใจของข้าในความคิดเจ้าเป็นสิ่งคับแคบ เป็นสิ่งเล็กจ้อย อย่างเช่นเต๋าที่เจ้าพูด นั่นคือระดับของความเข้าใจในฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง เหมือนสองจุดที่มีทิศทางต่างกัน เหมือนกับสองขั้ว” ซูหมิงหลับตาลง กล่าวเนิบช้า
“ทว่าสำหรับข้าแล้ว จิตใจคือความปรารถนา จิตวิญญาณคือระดับที่บรรลุถึง ทางที่เจ้าเดินคือเส้นทางแห่งสวรรค์ แม้เส้นทางของข้าจะเป็นประตูแคบบนแผ่นดิน แต่เมื่อเดินผ่านไปแล้ว สิ่งที่ข้าค้นหาก็เพียงแค่ลืมตาขึ้นมอง เจ้าเข้าใจคำพูดของข้าหรือไม่?” ในความคิดซูหมิงพลันผุดคำพูดประโยคสุดท้ายในตำราหนังสัตว์
‘โลกที่ข้ามองเห็น พวกเจ้า…มองไม่เห็น’



