ตอนที่ 900 สองมารกระเรียนดำ
ณ เมืองโลกดารา เมืองที่มีนามงดงามเช่นนี้มักจะทำให้ผู้คนที่ได้ยินนามของเมืองนี้เป็นครั้งแรกเกิดภาพฟ้าดินคล้ายกับฟ้ากระจ่างดาวในความคิด
ทว่าความจริงที่นี่เป็นแดนเปลี่ยวร้าง
เมืองดังกล่าวเป็นเพียงถิ่นฐานที่มีน้ำและต้นไม้กลางทะเลทราย กระโจมทุกจุดจะมีแหล่งน้ำสีเขียวอยู่
นี่คือเมืองโลกดาราในยามกลางวัน มองไปเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา ถิ่นฐานที่มีน้ำและต้นไม้คล้ายกับเครื่องประดับ ทำให้ที่นี่ยังมีชีวิตอยู่บ้าง จะเห็นผู้ฝึกฌานกำลังนั่งฌานอยู่กลางทะเลทรายไม่น้อย บ้างก็ไปๆ มาๆ ระหว่างกระโจม
ที่นี่ไม่เหมือนเมือง แต่เหมือนกับตลาดใหญ่และวุ่นวาย
ดวงตะวันร้อนแผดเผาแผ่ความร้อนลงบนพื้นดิน มีผลให้ดินทรายบนพื้นล้วนเกิดความระอุ แม้ที่นี่จะมองไปไกลลิบ แต่หากมองนานๆ ก็จะเกิดความรู้สึกว้าวุ่นใจ
ดังนั้น เมืองโลกดาราในยามกลางวันจึงถูกคนขนานนามว่าเมืองว้าวุ่นใจ
แต่เมื่อถึงยามกลางคืน ทุกอย่างที่นี่จะกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิงราวกับภาพลวงตา การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงนี้มากพอจะทำให้ผู้คนที่เห็นเมืองนี้เป็นครั้งแรกจิตใจเกิดการแปรปรวน
ยามกลางคืน ดวงดาวระยิบระยับ แสงดาวสว่างพร่างพราว หลังจากดินทรายบนพื้นถูกความร้อนมาตลอดทั้งวันแล้ว มันก็จะเหมือนกับหลอมละลายรวมกันเปลี่ยนเป็นหินก้อนใหญ่ วางเรียงอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบยิ่ง
มิหนำซ้ำยังมีม่านสีฟ้าสายน้ำคล้ายกับมายาหนึ่งชั้นปูอยู่บนพื้น เวลาที่ผู้คนยืนอยู่ข้างบนจะมีความรู้สึกสดชื่นเย็นสบายตรงเท้า ประหนึ่งว่าเหยียบอยู่บนน้ำสะอาด
กระโจมอาศัยต่างๆ ล้วนเปล่งแสงสวยงามราวกับสะท้อนแสงกับฟ้ากระจ่างดาว และเปลี่ยนเป็นของแข็งตรงมุมกระโจม ตรงปลายกระโจมล้วนมีลำแสงลอยขึ้นฟ้า มีกระโจมอยู่เท่าไรก็มีลำแสงอยู่เท่านั้น
ลำแสงเหล่านี้เหมือนว่าจะเชื่อมกับท้องฟ้า ระหว่างที่ตัดสลับกันก็มีธารสีเงินปรากฏขึ้นหลายสาย เชื่อมระหว่างลำแสงทุกๆ สาย เชื่อมฟ้าและดิน และยังกลายเป็นเส้นทางธารสีเงินเชื่อมวิหารมายาจำนวนมากบนฟ้าในยามค่ำคืนให้ตัดสลับกัน
วิหารนับไม่ถ้วนดูเหมือนกับมายา ทว่าก็ดูสมจริงอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน ต่อให้เดินขึ้นไป ใช้มือขวาสัมผัส ใช้จิตสัมผัสรับรู้ พวกมันก็มีอยู่
รอบๆ ทะเลทรายที่ดุจดั่งไร้พรมแดนแห่งนี้ ช่วงที่ฟ้ายามค่ำคืนมาถึง กำแพงเมืองจะลอยขึ้นฟ้า โอบล้อมที่นี่ไว้ แล้วเปลี่ยนเป็น…..เมืองแห่งจักรพรรดิในโลกนี้
หากมองจากฟ้าลงมา ธารดาราเหล่านี้ วิหารทุกหลัง พวกมันรวมขึ้นเป็นภาพงดงามอย่างยิ่ง ภาพนี้เหมือนกับบรรดาดาวบนฟ้า ดูงามเป็นเลิศ
ประหนึ่งมองจากพื้นดินขึ้นฟ้า ท่ามกลางความเป็นเลิศ จึงเชื่อมกันเป็น…..เมืองโลกดาราที่อยู่คู่กับโลกดารา
เมืองโลกดาราในยามค่ำคืนครึกครื้นอย่างยิ่ง ผู้ฝึกฌานไปๆ มาๆ จำนวนมาก กระทั่งยังรุ่นเรืองกว่าเมืองวารีดำเล็กน้อย โดยเฉพาะงานประมูลดาวทมิฬกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทำให้ผู้ฝึกฌานที่นี่เยอะมากขึ้นไม่น้อย
ซูหมิงเดินอยู่กลางกลุ่มคน ด้านหลังเป็นอวี้โหรวสวมผ้าปิดหน้าติดตามอยู่ ตลอดทางมานี้นางมีสีหน้าเย็นชาตลอด ความดุร้ายในแววตาเด่นชัดมาก ทุกครั้งที่นึกถึงภาพสุนัขใหญ่สีเหลืองแปลงกายเป็นตนไปประกาศหาสามี นางที่เฉยชามาตลอดจะอดคลุ้มคลั่งขึ้นมามิได้ทุกที
หากไม่ใช่เพราะซูหมิงอยู่ที่นี่ นางคงใช้จิตสัมผัสตามหาสุนัขใหญ่สองตัวนั้นอย่างเต็มที่ไปแล้ว
“ได้ยินหรือไม่ สองมารกระเรียนกับดำปรากฏตัวอีกแล้ว!” ขณะที่สองคนกำลังเดินอยู่ ซูหมิงพลันหน้าเปลี่ยนอารมณ์ เขาหันหน้ามองไกลออกไป ตรงนั้นมีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ข้างในมีเสียงคุยดังเกรียวกราว ในนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่ง มีผู้ฝึกฌานสามคนกำลังสนทนากันด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“สมควรตาย ที่เจ้าว่าคือสุนัขใหญ่สีเหลืองและหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าท่านกระเรียนใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด นอกจากพวกมันแล้วยังมีใครอีก หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าท่านกระเรียนจะต้องไม่ใช่ชายหรือหญิงแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าท่านกระเรียนได้รึ ตอนนั้นนางพาสุนัขใหญ่สีเหลืองเลวทรามตัวนั้นมา แต่กลับทำให้ตระกูลเล็กหลายสิบตระกูลต่างเดือดดาลอย่างยิ่ง”
“เฮ้อ สหายหวัง ข้าจำได้ว่าตอนประกาศหาสามีในครั้งนั้น เจ้าเองก็เข้าร่วมด้วยไม่ใช่รึ?”
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก ข้ากับหญิงคนนั้นอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!”
“แต่จริงๆ แล้ว หญิงคนนั้นก็หน้าตางดงามมากจริงๆ ข้าเคยเห็นครั้งหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้คนในตระกูลสายตรงของหลายสิบตระกูลคลุ้มคลั่งกันหรอก เล่าลือว่ายังมีอีกหลายคนที่ยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อเอาใจนาง”
“หึ ข่าวเจ้ามันช้าไปแล้ว ตามที่ข้ารู้มา มีหลายคนที่เอาใจนาง จากนั้นต่างหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นสองมารกระเรียนกับดำจะเอาหินผลึกไปมากขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ข้าก็เคยเห็นหญิงคนนี้ เป็นคนที่งดงามจริงๆ ผู้เลอโฉมเช่นนี้เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ไปได้ หากไปหาตระกูลระดับกลางจะต้องถูกรับไว้อย่างแน่นอน กระทั่งตระกูลจุดสูงสุดยังสนใจหญิงงามแบบนี้ หากได้ฝึกฝนวิชามารยา จะต้องแข็งแกร่งยิ่งแน่ๆ”
ซูหมิงฟังไปฟังมาก็มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา เขาเหลือบตามองอวี้โหรว ตอนนี้นางโกรธจนตัวสั่นแล้ว ความดุร้ายในแววตาเข้มข้นถึงขีดสุด แม้แต่รอบๆ ยังหนาวเยือกในพริบตา
นางพลันเดินหน้าหนึ่งก้าว ร่างเงากลายเป็นควันดำมาปรากฏตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ซูหมิงยิ้มเฝื่อนและก็ไม่ได้ห้าม
เขามองอวี้โหรวเข้าไปในโรงเตี๊ยม วินาทีที่เข้าไป ภายในโรงเตี๊ยมพลันเย็นเยียบ ทำให้นางเป็นที่สนใจของทุกคน
พอคนเหล่านั้นเห็นอวี้โหรวที่สวมผ้าปิดใบหน้าแล้วก็ต่างตะลึงงันไป แต่ว่าต่อมาก็มีบางคนหน้าเปลี่ยนสีเด่นชัด กระทั่งมีหลายคนยืนขึ้น จ้องอวี้โหรวตาเขม็งด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย
โดยเฉพาะสามคนที่สนทนากันเมื่อครู่ยังมองอวี้โหรวอย่างไม่วางตา สีหน้าเริ่มเหยเกย ความแค้นเหลือล้นผุดขึ้นมา เพียงแต่ว่าถูกบีบอัดเอาไว้จึงเกิดเป็นความลังเล
อวี้โหรวเห็นสีหน้าคนรอบๆ แล้ว ในใจก็เย็นเยียบไปก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง เดิมทีในใจคิดว่าอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันสลายหายไปมากกว่าครึ่ง ทว่านางก็ยังไม่ยอมรับ จึงเปิดผ้าปิดหน้าออกต่อหน้าทุกคน
เผยใบหน้างดงามเป็นเลิศของนาง
ทันทีที่นางเปิดผ้าปิดหน้าและทุกคนเห็นใบหน้านางแล้ว ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังสนั่นขึ้นในโรงเตี๊ยมราวกับพายุกระหน่ำ
“สองมารกระเรียนกับดำ!”
“เป็นสองมารกระเรียนกับดำ สมควรตาย เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีกรึ คืนหินผลึกข้ามา!”
“หินผลึกของข้า ข้าเตรียมจะเอามันไปซื้อของวิเศษ เจ้าๆๆ…..ชาตินี้ข้ากับเจ้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”
เสียงคลุ้มคลั่งดังก้องกังวาน ทั้งยังมีผู้ฝึกฌานพุ่งออกมาไม่น้อย ความดุร้ายในแววตาอวี้โหรวเข้มข้นถึงขีดสุด นางไม่สงสัยอีกแล้ว สุนัขสีเหลืองสมควรตายตัวนั้นเปลี่ยนเป็นตนจริงๆ
กระทั่งเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมยังตาแดง ไม่รู้ว่าไปหยิบขวานมาจากที่ใด พุ่งตรงมาหาอวี้โหรวพร้อมกับตะโกนเสียงต่ำ
“สมควรตาย เป็นเจ้านี่เองที่หลอกเอาหินผลึกข้าไป!”
เห็นผู้ฝึกฌานเหล่านี้พุ่งเข้ามา อวี้โหรวจึงยกมืองามสะบัดออก ผู้ฝึกฌานทั้งหมดในโรงเตี๊ยมล้วนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพากันกระเด็นถอยไป เสียงโครมครามดังสนั่น ผู้ฝึกฌานทั้งหมดต่างกระอักเลือดและถอยไป นี่คือจิตสังหารที่อวี้โหรวอดกลั้นเอาไว้แล้ว นางแค่นเสียงหึเย็นชาก่อนหมุนตัวเดินหายออกจากโรงเตี๊ยม
กระทั่งซูหมิงนางยังไม่สนใจอีก แต่หลังเดินออกจากโรงเตี๊ยมแล้วก็แผ่กระจายจิตสัมผัสในทันที กวาดเมืองโลกดาราตามหาสุนัขใหญ่สองตัวที่ในใจนางอยากจะสังหารใจจะขาด
ซูหมิงยิ้มเฝื่อนพลางส่ายศีรษะ เห็นอวี้โหรวขยายจิตสัมผัสไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ขยับวูบไหวไกลออกไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเหลือล้น กลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไป เขาลอบถอนหายใจทีหนึ่งแล้วตามไป
เมืองโลกดารา ในมุมหนึ่ง ชายชราผู้มีท่าทางเคร่งขรึมคนหนึ่งกำลังลูบเคราพลางยิ้มหยีตามองชายวัยกลางคนสองคนตรงหน้า
“อะแห่ม สหายทั้งสองท่าน ตำราภาพนี้ข้าให้พวกเจ้าดูได้เพียงสามหน้าแรกเท่านั้น หากอยากจะเอาไปทั้งหมดก็ต้องจ่ายห้าร้อยหินผลึก” ชายชรากล่าวเนิบช้าและสงบนิ่งมาก ใต้เท้ามีสุนัขใหญ่สีเหลืองนอนหมอบอยู่ตัวหนึ่ง มันจ้องชายวัยกลางคนสองคนอย่างดุร้ายและส่งเสียงเห่าขู่ตลอด คล้ายกับว่าอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกร่างสองคนนี้ ทุกครั้งที่มันดูดุร้ายจนขีดสุดแล้ว ชายชราจะเตะเข้าไปทีหนึ่ง สุนัขใหญ่สีเหลืองก็จะลดความดุร้ายลงเล็กน้อยทันที
ครู่ต่อมา ชายวัยกลางคนสองคนก็นำตำราภาพจากไป ชายชรานับหินผลึกอีกครั้ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มลำพองใจ ก่อนก้มหน้าเอ่ยกับสุนัขใหญ่สีเหลือง
“บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว เวลาที่ควรดุร้ายก็ต้องดุร้าย เวลาที่ไม่ควรดุร้ายจะต้องอ่อนหวาน เจ้าเจ้าเจ้า…..ช่างเถอะ ครั้งนี้ข้าหักเจ้าสามส่วน”
“เจ้ากล้ารึ!” สุนัขใหญ่สีเหลืองยืนขึ้นเหมือนคน แล้วจ้องชายชราอย่างดุร้าย
ชายชรารีบเค้นรอยยิ้ม แล้วเดินเข้าไปกอดสุนัขใหญ่สีเหลือง
“ฮ่าๆ พวกเราสองคน…..เฮ้ย เจ้าอย่ากัดข้า เอาล่ะๆ เอาเป็นพวกเราสองสหายดีหรือไม่…..พวกเราสองสหายต้องคุยกันดีๆ ข้าจะไม่หักส่วนของเจ้าแล้วพอใจรึยัง” ชายชรากอดคอกับสุนัขตัวใหญ่สีเหลือง ฉับพลันนั้นก็มีความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติแผ่กระจายออกมาอย่างเข้มข้น
“ข้าขอพูดกับเจ้าหน่อย เราต้องเผยฐานะสองมารกระเรียนกับดำตลอดเวลา แบบนี้ถึงจะรุ่งเรืองต่อไปได้ ฐานะนี้ดีจะตาย เจ้าก็รู้ว่ายิ่งรุ่งเรืองเท่าไร ภายภาคหน้าตอนที่พวกเราออกไปข้างนอกอีกก็จะยิ่งทำให้ผู้คนตกใจมากเท่านั้น” ชายชราหัวเราะเฮอะๆ ก่อนเดินไกลออกไปพร้อมกับสุนัขใหญ่สีเหลือง
ทว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ชายชราพลันตัวสั่น รีบเหลือบตามองสุนัขตัวใหญ่สีเหลือง ตอนที่เห็นมันมีสีหน้าปกติ เขาก็กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว
‘ขั้นพลังมันเสียหายอย่างหนัก ตอนนี้ไม่สังเกตเห็นก็ถูกแล้ว’
“อะแห่มๆ พี่ใหญ่มังกรยมโลก?” ชายชราหดตัวลงโดยพลัน มีท่าทางว่าสุนัขตัวใหญ่สีเหลืองเป็นจ้าว
เหตุการณ์นี้ทำให้สุนัขตัวใหญ่สีเหลืองอึ้งงัน
“จริงๆ แล้วน้องเล็กมีข้อสงสัยมาโดยตลอด พี่ใหญ่มังกรยมโลก เห็นแก่ที่ข้าทำงานอย่างดีมาตลอดสามปีมานี้ ช่วยบอกข้าหน่อยเถอะ” ชายชราย่อตัวลง มีสีหน้าประจบประแจง ก่อนวิงวอนด้วยเสียงอ่อน
ไม่รอให้สุนัขใหญ่สีเหลืองตอบ เขาก็รีบกล่าวต่อทันที
“เอ่อ…..เหตุใดตอนนั้นท่านต้องให้ข้าเปลี่ยนร่างเป็นพี่สาวอวี้โหรวผู้เลอโฉมน่ารักไม่มีผู้ใดเปรียบ นุ่มนวล จิตใจดี และเป็นที่รักใคร่บูชาในส่วนลึกของใจข้าด้วย? กระทั่งข้ายังรู้สึกว่านางยังดูสง่างามกว่าเจ้าซูหมิงนั่นอีก
ท่านก็รู้ นี่คือความทุกข์ใจตลอดสามปีมานี้ของข้า กระทั่งเจ็บปวด ข้า….ข้าไม่อยากเปลี่ยนเป็นนาง ทว่าท่าน…..เหตุใดท่านต้องบังคับให้ข้าเป็นนางด้วย?” ชายชรากล่าวพลางคุกเช่าลง สองมือจับหัวตัวเองและร้องไห้ด้วยความปวดร้าว
สุนัขใหญ่สีเหลืองนิ่งอึ้งไปเลย
ตอนนี้เอง ทันใดนั้น แดนห่างไกลผู้คนบริเวณนี้พลันถูกความหนาวปกคลุม กลางความหนาวมีเสียงหนึ่งที่คล้ายกับยอดเขาจะระเบิดดังแว่วมา
“สองมารกระเรียนกับดำ!”