Skip to content

สู่วิถีอสุรา 901

ตอนที่ 901 สหายเก่า

กระเรียนขนร่วงตัวสั่นเทา เสียงร่ำไห้ดูน่าสงสารยิ่งกว่าเดิม ร้องไห้พลางตะโกนเสียงดัง

“พี่ใหญ่มังกรยมโลก ทะ ท่าน…..ท่านรู้มาตลอดว่าสามปีมานี้ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก ข้ารู้สึกผิดต่อพี่อวี้โหรว ทว่าเหตุใดตอนนั้นท่านต้องบังคับข้า!”

“ข้ารู้ว่าเจ้านายของท่านคืออวี่เซวียน อวี่เซวียนกับซูหมิงมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนบางอย่าง ดังนั้นท่านจึงไม่ถูกชะตากับพี่สาวอวี้โหรว ก็คงเป็นเพราะเหตุนี้ ท่านเลยบังคับข้าผู้น่าสงสารให้ต้องฟังตามคำสั่ง แต่ข้า….ข้าไม่ยอม ข้านึกออกแล้ว ท่านเองก็เคยเปลี่ยนร่างเป็นพี่อวี้โหรวเหมือนกัน…”

หากตอนนี้สุนัขใหญ่สีเหลืองยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นหลายปีมานี้มันก็คงใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่าแล้ว ถึงมันจะบาดเจ็บสาหัส ถึงมันจะไม่ได้เจ้าเล่ห์และฉลาดอย่างกระเรียนขนร่วง แต่ตอนนี้มันจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเจ้ากระเรียนขนร่วงสมควรตายกำลังโยนความรับผิดชอบทุกอย่างมาให้ตน

โดยเฉพาะเสียงเย็นเยียบยังคงดังกึกก้อง และยังมีร่างเงาสตรีคนหนึ่งกำลังเดินมาทีละก้าวพร้อมด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเหลือล้น

“เจ้ากระเรียนขนร่วงบัดซบ!” สุนัขใหญ่สีเหลืองคำรามด้วยความโกรธ มันเตะกระเรียนขนร่วงไปทีหนึ่ง กระเรียนขนร่วงก็ร้องโหยหวนอย่างน่าอนาถ ร่างกระเด็นถอยไปและยังกระอักโลหิตกองใหญ่ มันลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้นหลายที เหมือนจะขาดใจตายอยู่แล้ว มิหนำซ้ำยังพยายามหันหน้าไปมองสตรีที่เดินมา

“พี่…อวี้…โหรว…..ข้า….ขอโทษ….” ว่าจบมันก็ตาเหลือกและนอนแน่นิ่งไป

“ข้าจะสู้กับเจ้า!” สุนัขใหญ่สีเหลืองมีสีหน้าเศร้าเสียใจ มันพลันเปลี่ยนร่างเป็นมังกรยมโลกที่มีขนาดเล็กลงมากตัวหนึ่งราวกับว่าตัวมันคลุ้มคลั่งแล้ว เพียงแต่ว่าบนตัวมันมีรอยแผลอยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่เส้นเอ็นมังกรยังไม่มี ทำให้พอมันแปลงเป็นมังกรยมโลกแล้ว ทั้งตัวจึงดูน่าอนาถ

กระทั่งมีรอยแผลบางแห่งฉีกออกจากการที่มันคลุ้มคลั่งขึ้นมา มีโลหิตไหล รูปร่างนี้มากพอจะทำให้ทุกคนเกิดคลื่นอารมณ์ มันพุ่งตัวไปหาอวี้โหรว ทว่าตอนที่อยู่กลางอากาศมันกลับฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว บาดแผลจำนวนมากบนตัวพ่นโลหิตออกมาพร้อมกัน ทำให้มันดิ่งลงสู่พื้น ช่วงที่ล้มลงบนพื้นยังกระอักโลหิตกองใหญ่

“นายหญิงน้อย ก่อนที่ท่านหลับใหลได้บอกให้ข้าหนีไป ให้ข้าอย่าเปลี่ยนเป็นร่างมังกรยมโลกอีก เพราะข้าบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป หากเปลี่ยนเป็นมังกรยมโลกจะต้องตายอย่างแน่นอน ข้าเชื่อฟังท่าน จึงเปลี่ยนเป็นสุนัขใหญ่สีเหลือง

ทว่าวันนี้ ในเมื่อหลีกหนีความตายไม่ได้ ข้าก็ขอตายด้วยร่างมังกรยมโลก ข้าตาย ก็ยังเป็นมังกรยมโลก!” ชั่วขณะที่มังกรยมโลกกำลังขมขื่น มันตัวสั่นไหว กลิ่นอายมรณะพลันอบอวลไปทั่วร่าง กระทั่งร่างกายมันยังเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว มันหลับตาลงและตายไป

เหตุการณ์นี้ทำให้อวี้โหรวที่กำลังเดินมาพร้อมด้วยความแค้นกับกลิ่นอายชั่วร้ายเหลือล้นและอยากที่จะสังหารพวกมันใจจะขาดหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เหม่อมองกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลก

เหตุการณ์นี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางไปเลย นางไม่นึกเลยว่าจะจบลงแบบนี้ กระทั่งยังไม่แน่ใจว่าใครเปลี่ยนร่างเป็นตนกันแน่ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าสุนัขใหญ่สีเหลืองเชี่ยวชาญการแปลงกาย แต่ตอนนี้สุนัขสีเหลืองเหมือนจะเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์มาก…

ด้วยขั้นพลังของนาง จึงมองออกในแวบเดียวว่ามังกรยมโลกตายจริงๆ ดวงจิตสลายหายไป นั่นเป็นเพราะมันบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป หลังจากเปลี่ยนร่างเป็นมังกรยมโลกจึงทนรับไม่ไหวและตายไป

นี่คือความจริง ไม่ใช่เรื่องลวงหลอก

กลิ่นอายมรณะเข้มข้น ร่างกายเน่าเปื่อย ทำให้อวี้โหรวความคิดขาวโพลนเล็กน้อย นางเหม่อมองไปทางกระเรียนอีกครั้ง กระเรียนขนร่วงเองก็ตายสนิทเสียยิ่งกว่า

อดมีเสียงก่อนตายของกระเรียนขนร่วงดังก้องข้างหูนางมิได้ เสียงเหล่านั้นแล่นผ่านไปอย่างจริงใจยิ่ง มาพร้อมด้วยการสารภาพบาปที่จริงใจ ทุกอย่างทำให้นางสับสนเล็กน้อย

และยังมีการตายของมังกรยมโลก นั่นคือการขอตายอย่างมีเกียรติ ทำให้นางพลันเกิดความรู้สึกชื่นชมเจ้านายของมังกรยมโลกเล็กน้อย

“เหตุใด….เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” อวี้โหรวที่มาพร้อมกับความโกรธและกลิ่นอายชั่วร้าย ทว่ายามนี้กลับเปลี่ยนเป็นซับซ้อน นางยืนเงียบๆ อยู่นานมาก จนกระทั่งถอนหายใจแล้วหมุนตัวจากไป

คล้อยหลังนาง ศพมังกรยมโลกกับกระเรียนขนร่วงยังคงเน่าเปื่อย เหมือนกับว่าช่วงที่พวกมันสิ้นชีพไป กาลเวลาได้หมุนเวียนเร็วขึ้นในเวลาอันสั้นที่ตัวพวกมัน

ร่างเงาซูหมิงเดินออกมาจากเงามืดทีละก้าว มายืนอยู่ข้างศพกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลก แล้วถอนหายใจ

ถึงอวี้โหรวจะมีขั้นพลังไม่ธรรมดา ถึงจะอยู่มานานมาก แต่ว่า…..ประสบการณ์ของนางยังเทียบกับเขาไม่ได้ เส้นทางคดเคี้ยวที่นางเดินผ่านมาในชีวิตก็ยิ่งไม่อาจนำมาเปรียบกับของซูหมิง

และอีกอย่างหนึ่ง….นางไม่รู้จักกระเรียนขนร่วง

แต่ซูหมิงรู้จักมัน รู้จักแบบลึกเข้ากระดูก เขามองศพสองตัวบนพื้นพลางส่ายศีรษะ

“ครั้งนี้แสดงได้เนียนมาก…” ซูหมิงยิ้มเฝื่อนแล้วหมุนตัวจากไป

ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของเมืองโลกดารา มีชายวัยกลางคนสองคนสวมงอบและอาภรณ์ยาวกำลังก้าวเท้ายาวอยู่กลางมืองโลกดาว

หากเห็นใบหน้าใต้งอบก็จะเห็นว่าหนึ่งในนั้นเต็มไปด้วยความสัปดน ส่วนอีกคนดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทว่าลึกๆ ในความน่าเกรงขามก็มีความสัปดลถูกบดบังอยู่เล็กน้อย

“หึๆ ท่านกระเรียนเก่งหรือไม่?”

“เจ้าเก่ง!”

“ท่านกระเรียนร้ายกาจหรือไม่!”

“เจ้าร้ายกาจ!”

“ฮ่าๆ เจ้าหนูน้อยอวี้โหรวคนนั้นคงคิดไม่ถึงว่าตอนนั้นที่พวกเราแปลงเป็นนางได้คิดเผื่อเหตุการณ์วันนี้แล้ว หึหึ เรื่องราวซับซ้อนแบบนี้ก็คงยากจะมองออก แผนการนี้มีชื่อว่ากระต่ายเกาขาพริ้มตา[1]!

เกล็ดสามอันของพี่ใหญ่มังกรหลี หนึ่งอันสามารถปกปิดกลิ่นอายพลังของพวกเราไม่ให้ใครพบ อีกสองอันก็เป็นร่างแยกของพวกเรา เว้นแต่จะมีขั้นพลังเหนือกว่าพี่ใหญ่มังกรหลี มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางพบ”

“หึหึ ท่านกระเรียนผู้นี้หลักแหลมรึไม่ ข้าจะบอกเจ้าให้ ที่พวกเราต้องเผยฐานะสองมารกระเรียนกับดำเป็นบางครั้งก็เพื่อวันนี้ เจ้าดู ตอนนี้เรื่องคลี่คลายแล้ว”

“ทว่าเจ้าขนร่วง ข้าอยากถามเจ้ามาตลอดว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่าสองมารกระเรียนกับดำ น่าจะเป็นสองมารกระเรียนกับเหลืองถึงจะถูกไม่ใช่รึ?”

“เหอะๆ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง เสี่ยวหวง เมื่อครู่นี้เจ้ารู้สึกตัวช้าไปเล็กน้อย ข้าเพิ่งเรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่มังกรยมโลก เจ้ากลับยังตะลึงงันอยู่นั่น ถึงบทซ้อมจะบอกว่าควรจะตะลึงงันก็เถอะ แต่เจ้าตะลึงนานเกินไป มันดูปลอมมาก!

อีกอย่างประโยคสุดท้ายที่เจ้าบอกว่าจะสู้กับนาง ข้าจำได้ว่าไม่ซ้อมบทนี้กันแล้ว เจ้า เจ้า เจ้า…..เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเพิ่มบทเฉพาะกาลเป็นเรื่องอันตรายมาก!

ช่างเถอะๆ ตามสัญญาของพวกเราในตอนนั้น ข้าจะช่วยเจ้าทำให้นางมีชื่อเสียงแปดเปื้อน เจ้าก็ต้องให้ความร่วมมือกับข้าด้วย เอาหินผลึกทั้งหมดให้ข้า อีกอย่างสมบัติที่เจ้าซ่อนไว้ในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกต้องเป็นของข้าด้วย”

ชายร่างกำยำสองคนคือร่างแปลงกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลก วิชาแปลงกายของกระเรียนขนร่วงทำให้มังกรยมโลกเปลี่ยนเป็นร่างนี้ ยามนี้พวกมันกำลังสนทนากันพลางค่อยๆ เดินไกลออกไป

เพียงแต่ว่าพวกมันที่กำลังตื่นเต้นกันอยู่ไม่ได้สังเกตเลยว่า ตรงมุมมืดด้านหลังพวกมันมีซูหมิงกำลังมองอยู่พลางยิ้มแห้งๆ

ฟ้ากระจ่างดาวคืนนี้มีดวงจันทร์ส่องแสงสุกสกาว กระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกเดินไกลออกไป อวี้โหรวก็ไปจากที่นี่ด้วยความซับซ้อน ไม่รู้ว่าไปที่ใด ข้างกายซูหมิงเหลือเพียงตัวเขาเอง และยังมีชื่อหั่วโหวที่แปลงเป็นภาพสัญลักษณ์อยู่บนแขนเขา

ซูหมิงส่ายศีรษะแล้วหมุนตัวจากไป เดินอยู่กลางธารดาราแห่งเมืองโลกดารา จังหวะก้าวไม่เร็ว เดินหน้าไปแบบเรื่อยเปื่อย มีผู้ฝึกฌานเดินผ่านเขาเป็นบางครั้ง ในนั้นมีอยู่หลายคนที่เห็นเขาแล้วจะก้มหน้าลง เผยความเคารพน้อยจนไม่สังเกตเห็น คนเหล่านี้บ้างเป็นเผ่าหมานคนตระกูลเลี่ยซาน บ้างเป็นเผ่าหมานภายใต้อำนาจอื่นๆ

ถึงพวกเขาจะไม่รู้จักซูหมิง ทว่าในตัวซูหมิงมีแรงกดดันวูบวาบต่อชาวเผ่าหมานอยู่ ทำให้พวกเขารับรู้ได้ นอกจากนี้ ฐานะของเขา ยังทำให้ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดบนดาวทมิฬ ก็จะได้รับการคุ้มกันลับๆ จากชาวเผ่าหมานตระกูลเลี่ยซานและสังกัดอื่นๆ

คนเหล่านี้มีอยู่ทุกมุมของเมืองโลกดารา

กระทั่งตระกูลหวาแห่งเมืองโลกดารายังถูกจับตามองอย่างรอบคอบ พวกเขาก็ได้เบาะแสอะไรบางอย่างเช่นกัน บรรพบุรุษของพวกเขาจึงถูกเรียกให้ออกฌาน และกระจายคำสั่งไปทั้งตระกูลว่าห้ามออกไปข้างนอก มิหนำซ้ำยังให้ผู้แข็งแกร่งในตระกูลเฝ้าระวังตลอดเวลา จากการชี้แจ้งไป แขกทุกคนที่มาตระกูลหวาห้ามออกไปข้างนอกคืนนี้

จากอุทาหรณ์ของตระกูลไท่ฉือก่อนหน้านี้ พวกเขา…..จึงไม่ยอมล่วงเกินคนที่ห้ามล่วงเกินและไม่เสียมารยาทต่อคนที่ไม่ควรไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม

สองก้านธูปต่อมา มีชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินมาอยู่หน้าซูหมิง เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง หลังจากมอบแผ่นหยกให้ซูหมิงอย่างนอบน้อมแล้ว ก็เอ่ยลากเตรียมจากไปด้วยแววตาฮึกเหิม

“ข้าชอบความสงบ” ก่อนชายร่างกำยำจากไป ซูหมิงเอ่ยเสียงเรียบๆ

ชายร่างกำยำขานรับทันที แล้วจากไปด้วยความเคารพ

ซูหมิงมองบนแผ่นหยก ในแผ่นหยกระบุจุดที่เยี่ยวั่งอยู่ตอนนี้ เขามองแวบหนึ่งแล้วบีบแผ่นหยกจนแตก ก่อนเดินไปช้าๆ

ไม่นานผู้ฝึกฌานตรงหน้าเขาน้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้าย เส้นทางธารสีเงินทั้งหมดมีเพียงเขาที่เดินอยู่ ไม่มีผู้ฝึกฌานเลย เทียบกับเสียงคนคึกคักบนเส้นทางธารสีเงินอื่นๆ แล้ว ตรงนี้เงียบสงบอย่างยิ่ง

ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นที่นี่ เพราะหากมีคนสังเกตเห็น ก็จะมีบุคคลในเงามืดเข้าไปหาทันทีและเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ซูหมิงก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้

เขาชอบความสงบ ดังนั้น…..ตระกูลเลี่ยซานจึงมอบความสงบให้เขา

ตลอดทางมานี้ ซูหมิงเดินมาครึ่งชั่วยามแล้ว เขาไม่รีบร้อน จนกระทั่งตรงหน้าปรากฏหอหลังหนึ่ง เดิมทีมันเป็นโรงเตี๊ยมสำหรับผู้ฝึกฌาน ทุกห้องจะมีวงแหวนอาคมส่วนตัวและพลังวิญญาณหนาแน่น

ตอนนี้เอง เดิมทีที่นี่ควรจะคึกคัก แต่ตอนนี้…..มันกลับเงียบสงัด ในห้องโถงใหญ่ไม่มีร่างเงาคน แม้แต่ห้องเกือบร้อยที่เดิมทีเต็มแล้ว ยามนี้กลับว่างทั้งหมด มีเพียงห้องเดียวที่เป็นของเยี่ยวั่ง

ความเงียบสงบรอบๆ กับเสียงครึกครื้นดังแว่วมาจากที่ห่างไกลเกิดเป็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ เขาเดินเข้าไปใกล้ประตูใหญ่โรงเตี๊ยม เดินขึ้นบันได เดินมาถึงสุดทางของชั้นสาม มาอยู่หน้าห้องๆ หนึ่ง

เขายกมือขวาวางบนประตูแล้วเคาะเบาๆ

ก๊อกๆๆ

“ท่านไล่ผู้ฝึกฌานที่นี่ไปหมด ในระยะร้อยลี้ไม่มีเสียงใดอีก ทำให้เมืองโลกดาราครึกครื้นในช่วงใกล้งานประมูลดาวทมิฬเกิดความเงียบสงบและไร้ผู้คนอันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้…คนที่มีฐานะและอำนาจเช่นนี้ ในเมื่อมาอยู่นอกห้องแซ่เยี่ยแล้ว ไฉนต้องเคาะประตูกันอีก” เสียงเย็นชาดังมาจากในห้อง ความเย็นชาของเสียงถึงขั้นไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เลย

“มาอยู่หน้าห้องสหายเก่าแล้ว จะไม่เชิญเข้าไปหน่อยรึ” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบ

สิ้นเสียง ภายในห้องพลันเงียบไป ผ่านไปพักหนึ่งประตูห้องถึงเปิดออกอย่างเงียบเชียบ มีสายตาซับซ้อนและเหลือเชื่อคู่หนึ่งมองซูหมิงมาจากข้างโต๊ะในห้อง

“ไม่ได้เจอ….กันนาน”

………………

[1] กระต่ายเกาขาพริ้มตา หมายความว่า ทำให้เรื่องราวซับซ้อนยากจะเข้าใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version