บทที่ 137 หลิงเอ๋อร์ พี่กลับมาแล้ว! (ต้น)
“ข้าจะทำอย่างไร?”
ภายนอกเยี่ยฉวนปราศจากความกระวนกระวาย ทว่าภายในสมองกำลังระดมความคิดอย่างสับสน
วุ่นวาย
ทั้งนี้ก็ด้วยตระหนักในสถานการณ์ของตนเองขณะนั้น ว่ายิ่งตื่นตระหนก เท่ากับยิ่งเร่งจุดจบ!
ฉะนั้นเมื่อร่างกายลอยอยู่ที่ความสูงเหนือพื้นดินราวร้อยจั้ง เขาจึงเรียกกระบี่หลิงซิ่วและกำกระบี่ด้วย
มือทั้งสองจนแน่น “ความเป็นและความตายของข้าขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
ขาดคำพูดของเยี่ยฉวน พลังชี่พลันแผ่ซ่านภายในกายกระจายสู่กระบี่หลิงซิ่วผ่านออกที่ฝ่ามือทั้งสอง
ร่างของเยี่ยฉวนลอยละลิ่วอยู่เบื้องบนอากาศ เสียงคำรามกับตนเอง “นำพาข้าและบินออกไป!”
ถึงกระนั้น ปฏิกิริยาแห่งกระบี่หลิงซิ่วเพียงแสดงอาการสั่นสะท้านจากพลัง ทว่าหาบินได้ดังใจต้องการไม่……
เยี่ยฉวนยังไม่ละทิ้งความพยายาม เขายังคงเสริมพลังสู่กระบี่หลิงซิ่ว เหตุเพราะการไม่ละทิ้งความ
พยายามเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดตาย!
“ควบคุมกระบี่! พลังชี่หลอมรวมลมปราณ……หลอมรวมลมปราณ ควบคุมกระบี่……”
ความคิดหลั่งไหลอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะหนึ่งเขาคลายฝ่ามือทั้งสองออก ฉับพลันกระบี่ในมือแปรเปลี่ยนสู่ลำแสงกระบี่ทะยานไปในอากาศ
เมื่อเห็นเช่นนั้นความปิติฉายวาบในแววตาของเยี่ยฉวน อย่างไรก็ตาม กระบี่หลิงซิ่วซึ่งทะยานออกดู
เหมือนจะไม่มีทีท่าหวนกลับ ทั้งยังคงพุ่งตรงมุ่งหน้าห่างออกไป
ยามนี้ภายในหัวใจของชายหนุ่มกลับกลายเป็นตระหนกสุดขีด ทันใดนั้นเขาจึงร้องตะโกนสุดเสียงเรียกกระบี่ “กลับมาก่อน!”
เสียงนั้นลอยหายไปในอากาศ เขาจึงได้แต่หลับตาลงช้าๆ ขณะนั้นเองชายหนุ่มเริ่มสัมผัสระหว่างตัว
ของตนและกระบี่หลิงซิ่ว เยี่ยฉวนจึงทำการรวบรวมพลังชี่แห่งกระบี่ภายในกาย……
ในเวลานี้ร่างกายของเขาอยู่สูงจากพื้นดินเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น ฉับพลันกระบี่หลิงซิ่วก็ได้วกกลับมา ด้วยปรากฏแสงแปลบปลาบพุ่งตรงมายังชายหนุ่ม ซึ่งในขณะนั้นเขาลอยอยู่เหนือพื้นดินเพียงห้าจั้ง!
เมื่อร่างตกกระทบพื้นล่าง กระบี่หลิงซิ่วพลันเกิดอาการสะท้านสะเทือนอย่างแรง ก่อนในพริบตากระบี่
จะดึงร่างของเยี่ยฉวนขึ้นสู่อากาศ ทว่าขึ้นไปได้เพียงห้าจั้ง คราวนี้ทั้งคนทั้งกระบี่พลันตกลงสู่พื้นดินมาพร้อมกัน!
ทันทีที่ร่างกายตกถึงพื้นดิน……
พลั่ก!
เยี่ยฉวนตกลงมาพร้อมกระบี่กระแทกกับพื้นดิน ส่งให้พื้นผิวดินในบริเวณนั้นสะเทือนเลื่อนลั่น บังเกิด
ฝุ่นควันก้อนใหญ่ลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ!
คนที่เพิ่มตกลงมานอนหงายแผ่หลา ส่งเสียงหัวเราะลั่นราวคนบ้า!
ช่วงเวลาที่กระบี่หลิงซิ่วผลักร่างของเยี่ยฉวนขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดการลดแรงกระแทก
จากการที่ร่างกายตกจากที่สูง และด้วยความที่เป็นผู้มีพละกำลังทางกายเป็นทุนเดิม จึงทำให้เยี่ยฉวนทนทาน
ต่อแรงกระทบจากการตกลงมาในระดับความสูงห้าจั้ง และถึงแม้จะไม่ได้ลงอย่างนุ่มนวล แต่ก็ไม่ถึงกับตาย!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เยี่ยฉวนเริ่มประจักษ์แจ้งถึงการควบคุมกระบี่ในสภาวะคาบเกี่ยวระหว่างความเป็น
และความตาย!
เขาประจักษ์ด้วยตนเอง!
“การควบคุมกระบี่!”
“พลังหลอมรวมลมปราณในการควบคุมกระบี่!”
หลังจากที่นอนแผ่หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง พลันเยี่ยฉวนนึกขึ้นได้จึงรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และวิ่งออกไป
จากสถานที่นั้นในรวดเร็ว ไม่นานนักเขาก็พบว่าตนเองเข้าสู่ป่าทึบ ว่าแล้วก็รีบแฝงตัวเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้ใบหนา
แน่นทันที!
เขานั่งแหงนหน้ามองเบื้องบนท้องฟ้า ภายในจิตใจค่อยๆ สงบเยือกเย็นลงทีละน้อย!
“น่าประหลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงมีผู้คิดโจมตีเรือเหาะของสำนักอัปสรเมรัย?”
“ใครที่กล้ากระทำการเช่นนี้?”
ฉับพลัน เกิดความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว สถานศึกษาฉางมู่!
“ทั่วทั้งแคว้นเจียงเห็นจะมีเพียงสถานศึกษาฉางมู่เท่านั้นจึงกล้าทำเช่นนี้ ทว่าทำด้วยสาเหตุอันใด?”
ทันใดนั้นเอง บังเกิดพลังชี่ขึ้นในระยะไกลออกไป เมื่อประสาทรับรู้ความคิดแปรเปลี่ยน ชายหนุ่มจึงลงจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อลงมาถึงพื้น เขาก็พลันก้มตัวลงทันทีทันใดก่อนปรากฏภาพจำลองแห่ง ‘ปฐพี’ ขึ้นตรงกลางระหว่างหัวคิ้ว
กฎแห่งเต๋า!
เยี่ยฉวนนอนราบไปบนพื้นดิน ขณะเดียวกันเขาก็ใช้พลังปฐพีทำให้ร่างกายกลืนไปกับพื้นดิน ทั้งกลืน
กลิ่นกายให้กลายเป็นกลิ่นดิน!
ไม่ไกลนักปรากฏร่างคนสองคน ชายชราหนึ่งและหญิงสาวหนึ่ง
เมื่อเห็นหน้าตาของคนทั้งสอง สีหน้าของเยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนเหี้ยมเกรียมด้วยคุ้นเคยกับคนทั้งคู่อย่างดี เพราะนั่นคือเป่ยเฉินและโม่ซ่ง ซึ่งคนหลังคือรองอาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่!
โม่ซ่งกวาดตาทั่วบริเวณจากนั้นหันไปพูดเสียงเบา “เหตุใดจึงไม่มีร่างของมัน?”
เสียงคนที่ยืนด้านหลังตอบมาอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าเชื่อมั่นว่าในการประลองครั้งหน้า ข้าสามารถสังหารเขาได้แน่!”
ชายชราโม่ซ่งส่ายศีรษะเป็นเชิงไม่เห็นด้วย “เจ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ข้ารู้ว่าชายคนนี้เบื้องหลังของมันหาใช่ธรรมดา ด้วยมันมิได้เพียงมุ่งหวังเป็นปรมาจารย์กระบี่ ทว่ายังมุ่งหวังเป็นปรมาจารย์ด้านวิทยายุทธ์อีก
ทาง อีกอย่างว่ากันว่าเขาได้สังหารหัวหน้าเรือเหาะคนหนึ่งของสำนักอัปสรเมรัย แต่สำนักอัปสรเมรัยกลับไม่
เรียกร้องหาความรับผิดชอบจากคนผู้นี้……”
“ครั้งหนึ่งเมื่อเจ้าประมือกับคนผู้นี้ที่เมืองชายแดน พลังของมันบรรลุสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณแล้ว แต่
เมื่อเข้าเมืองหลวงพลังของมันกลับเพิ่มความกล้าแข็งด้วยสามารถต่อสู้กับเจ้าได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าขั้นพลังได้ทะยานสู่ขั้นที่สูงขึ้นภายในระยะเวลาไม่นาน……”
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ เขาหันมาทางเป่ยเฉิน “ใช่ว่าข้าไม่เชื่อมั่นในฝีมือของเจ้า เพราะถึงอย่างไรสถานศึกษาฉางมู่จะต้องเป็นผู้ชนะการประลอง จะไม่มีทางผิดเพี้ยนเป็นอื่น สถานศึกษาฉางมู่ของเราคงความยิ่ง
ใหญ่ด้วยชื่อเสียงมานับพันปี ดังนั้นพวกเราจะต้องพยายามอย่างดีที่สุดในการปกป้องชื่อเสียงเอาไว้”
เป่ยเฉินนิ่งเงียบอย่างปราศจากข้อโต้แย้ง
เสียงของผู้อาวุโสดังขึ้นมาอีกว่า “เจ้าไม่ต้องคิดมาก สถานศึกษาเชื่อมั่นทั้งเจ้าและเฟินเจี้ย เรื่องของ
เยี่ยฉวนมีเพียงข้อคลางแคลงใจเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเขาที่มีกายากระบี่ตามตำนาน ถ้าพวกเราปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป อีกหน่อยจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของสถานศึกษาฉางมู่แน่ เวลานี้ไม่มีผู้คอยช่วยเหลือ ส่วนผู้
เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นอันก็ได้ออกจากแคว้นเจียงไปแล้ว จึงเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะจัดการสังหารเขาเสียเพื่อในภายหน้าจะได้ปราศจากก้างขวางคอ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องทำ”
เป่ยเฉินมีท่าทีลังเล ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเรื่องนี้แพร่งพราย……”
เสียงโม่ซ่งคำรามตอบนาง “แพร่งพรายหรือ? ไม่มีใครล่วงรู้ ถึงแม้ว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งเดาออกว่า
เป็นฝีมือของฉางมู่ แต่ใครจะกล้าเอาผิด? ใครกล้าหรือ? ในแคว้นเจียงไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น ให้เวลาผ่านไป
สักเดือน ถึงตอนนั้นใครๆ ต่างลืมชื่อเจ้าเยี่ยฉวนจนหมดสิ้นแล้ว”
หญิงสาวนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
จากนั้นผู้เป็นอาจารย์จับตาสังเกตทั่วบริเวณพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงไม่ปรากฏร่าง
ของเขา?”
ตอนนั้นหญิงสาวหันไปสำรวจโดยรอบอีกครั้งก่อนนางพูดว่า “เขามีพลังขั้นหลอมรวมลมปราณเท่านั้น ฉะนั้นบางทีเขาอาจตายเสียก่อนที่ร่างจะตกจากที่สูงลงสู่พื้น อาจเป็นไปได้ว่าร่างกายเสียดสีกับอากาศจนฉีก
ขาดกระจุยกระจายไปจนหมด”
ชายชราพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็พอเท่านี้ พวกเราไม่ต้องตามหาซากของเขาแล้ว
เช่นนั้นกลับเมืองหลวงกันเถิด! เฟินเจี้ยกำลังไปเมืองหลวง เมื่อถึงเมืองหลวงจงมอบหน้าที่นี้ให้แก่เขา พวก
ศิษย์ฉางหลานต้องได้ลิ้มรสของการ ‘ตกนรกทั้งเป็น’ โชคร้ายเจ้าเยี่ยฉวนมาด่วนตายเสียก่อน มิเช่นนั้นข้าจะให้เฟินเจี๋ยเป็นคนลงมือด้วยตนเอง”
จากนั้นทั้งสองคนจึงหันกลับออกไปจากสถานที่และลับกายไป
ในเวลานั้นเยี่ยฉวนซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่มีสีหน้าเยือกเย็นยิ่ง
ด้วยแน่นอนแล้วว่าหายนะที่มีขึ้นเป็นฝีมือของสถานศึกษาฉางมู่!
แสดงว่าความกล้าแกร่งของตนเองก่อให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงต่อสถานศึกษาฉางมู่อย่างชัดเจน!
“พวกมันใช้วิธีสกปรก!”
เยี่ยฉวนดีดตัวขึ้นจากพื้นดิน แววตาฉายประกายเหี้ยมเกรียม “รอก่อน ไว้ข้าจะกลับไปแก้แค้น!”
แน่นอน ความกังวลครอบงำภายในใจของเยี่ยฉวน “ตอนนี้ในสถานการณ์แห่งความเป็นและความตาย หากมิใช่เพราะประจักษ์ต่อการควบคุมกระบี่ด้วยพลังหลอมรวมลมปราณ เกรงว่าข้าคงได้เละเป็นวุ้นไปแล้ว!”
แต่ถึงปากจะบอกเช่นนั้น หากแต่ก็นับว่าเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้เสมือนกระดิ่งสัญญาณเตือนเยี่ยฉวนว่ากลุ่มอำนาจในเมืองหลวงชั่วช้าเลวทรามยิ่งกว่าที่เมืองชิงนัก!
เพื่อให้พวกของตนเองบรรลุในสิ่งที่ต้องการ พวกชนชั้นสูงและสถานศึกษาต่างทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้
มาซึ่งอำนาจในมือ!
ชายหนุ่มดึงสติกลับคืนมา หลังจากนั่งพักสักครู่เขาจึงเริ่มออกเดินทางย้อนกลับเข้าเมืองชายแดน
ด้วยตนเองไม่อาจใช้วิธีวิ่งตลอดเส้นทางเพราะเมืองหลวงอยู่ไกลเกินไป ถ้าเข้าเดินโดยการวิ่งไปเมือง
หลวง คาดว่าคงต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนจึงถึงที่หมาย!
ในการเดินทางกลางหุบเขา เยี่ยฉวนวิ่งด้วยฝีเท้าอย่างรีบเร่ง โดยมีกระบี่หลิงซิ่วลอยตัวอยู่เบื้องหน้า!
เพราะเขายังไม่สามารถใช้กระบี่นำพาและบินไปได้ จึงได้แต่รู้สึกเสียใจเล็กน้อยด้วยตนเองยังไม่รู้วิธี
อย่างไรก็ตามเวลานี้เขาสามารถควบคุมกระบี่ได้แล้ว!
อีกไม่นานเขาจะสามารถใช้กระบี่ในการต่อสู้ต้านทานศัตรูได้แน่!
สำหรับเยี่ยฉวน มันคือทักษะการฆ่าซึ่งมีพลังมหาศาล! เช่นเดียวกับการบินด้วยกระบี่ เขาเพียงปล่อยให้มันเป็นไป!
— จบตอน —
