Skip to content

King of Gods 415

King Of Gods

บทที่ 415 : นายเหนือที่ร่วงหล่นจากท้องนภา

จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบงัน รับรู้ได้ถึงจิตสังหารความไม่เป็นมิตรจากหยูลั่ว

ในใจของเด็กหนุ่มปรากฏความจนใจขึ้น อดที่จะส่ายศีรษะไม่ได้

เขายังไม่ได้เอ่ยคำใดออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับจงหว่านเอ๋อร์ กระทั่งหนึ่งคำยังไม่ได้พูดออกไป

แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังถูกหมายหัวด้วยยอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้ผู้หนึ่ง นี่นับว่าเพียงพอจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ ได้แล้ว

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงย่อมไม่ใส่ใจ

หยูลั่วไม่สนใจจ้าวเฟิง มีหรือที่จ้าวเฟิงจะสนใจเขา?

ในยามนี้

เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ สองบุตรสาวที่สวรรค์ภาคภูมิใจได้พูดคุยกันในฐานะของสองสำนักที่ทรงพลัง เอ่ยถึงการร่วมมือกันจัดการหอคอยปีศาจพฤกษา

ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้หกคนยืนเรียงกันดูยิ่งใหญ่ เมื่อคิดดูแล้ว สิบสามแคว้นเมฆาไม่มีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้แม้แต่คนเดียวเสียด้วยซ้ำ

ส่วนลึกในใจของจ้าวเฟิงทอดถอนออกอย่างสะเทือนใจ

จากอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ทั้งสิบ หกคนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ สามอันดับแรกอยู่ที่นี่ถึงสองและกำลังพูดคุยกันถึงวิธีจัดการ ‘หอคอยปีศาจพฤกษา’ อยู่

การวางแผนกลยุทธ์ จ้าวเฟิงไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ทั้งเด็กหนุ่มยังไม่สนใจอีกด้วย

เขาคิดเพียงแต่จะฉวยเวลาในช่วงเวลาวิกฤตของผู้อื่น ทำให้ตนเองได้ครอบครอง ‘ผลปีศาจพฤกษา’ สักผล

ไม่นาน

อัจฉริยะจากสามสำนักก็ได้ตกลงกันในที่สุด เริ่มโจมตีไล่ต้อนหอคอยปีศาจพฤกษาอย่างหนักหน่วง

ครืนนนน

หอคอยปีศาจพฤกษาส่งเสียงคำรามต่ำออกมา พุ่มไม้หนาแปลกประหลาดระเบิดปราณพิษสีเขียวออกมา ราวกับเป็นคลื่นลมแรงที่ถาโถมอยู่ท่ามกลางทะเลที่บ้าคลั่ง นับว่าเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่

ไม่เพียงเท่านั้น

ใกล้ร่างของหอคอยปีศาจพฤกษาได้ปรากฏลมพัดรุนแรง พัดพาทรายและหินกระจัดกระจายออก กลายเป็นพายุที่ทรงพลัง สามารถทำลายปราสาทราชวังลงได้อย่างง่ายดาย

“ไม่ดีแล้ว ทุกคนป้องกันไว้”

หมอกวิญญาณสีดำที่ตำหนักผาดำสร้างขึ้นกลางอากาศได้ถูกสายลมรุนแรงและเศษฝุ่นทรายพัดทำลายลง

ซากศพและโครงกระดูกบางส่วนยังไม่ทันไปถึงในระยะหนึ่งร้อยจ้างรอบหอคอยปีศาจพฤกษาก็ถูกทำลายกลายเป็นเถ้าธุลี

หากไม่มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง กระทั่งลูกหลงจากการโจมตีของหอคอยปีศาจพฤกษาก็คงไม่อาจรับมือ ทำได้เพียงเป็นโล่มนุษย์เท่านั้น

เปรี้ยง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

หอคอยปีศาจพฤกษาถูกวาดออก ซากศพและโครงกระดูกจำนวนมากได้ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ รวมทั้งหุ่นเชิดศพในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายตัว

พุ่มไม้ของต้นไม้ปีศาจยักษ์นั้นราวกับเงื้อมมือของยักษ์ มีพลังโจมตีหนักหนึ่งล้านจินเป็นอย่างน้อย

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งหก ณ ที่แห่งนั้นยังต้องระมัดระวังการโจมตีจากพุ่มไม้ของหอคอยปีศาจพฤกษา

ทุกครั้งที่พุ่มไม้ของต้นไม้ปีศาจนั่นวาดออก สายลมจะพัดหวนรุนแรง สั่นสะท้านทะลุทะลวงแก้วหู สั่นคลอนดวงวิญญาณ สร้างแรงกดดันกราดเกรี้ยวรุนแรง ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปหากเผชิญหน้ากับแรงกดดันนั้นย่อมยากที่จะหายใจได้

“พลังต่อสู้ของหอคอยปีศาจพฤกษาแข็งแกร่งกว่าความคาดหมาย ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดน่ากลัวว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ได้”

จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ ยืนอยู่บนสามปทุม

จากตำแหน่งที่เขาอยู่เพียงอยู่นอกระยะโจมตีของพุ่มไม้พอดี รวมทั้งก็ไม่อยู่ในระยะที่รากจะสามารถรัดพันเขาได้

ไม่นาน

จ้าวเฟิงก็เห็นอัจฉริยะในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดที่ไม่ระมัดระวัง ถูกกดดันไปใกล้พื้นจากลมพายุรุนแรง จากนั้นจึงถูกหอคอยปีศาจพฤกษาจับตัวไว้ เปลี่ยนให้กลายเป็น ‘ปุ๋ย’ ของสัตว์ประหลาดไป

กระทั่งยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งหกยังต่อกรกับหอคอยปีศาจพฤกษาที่กลางอากาศห่างออกมาในระยะหนึ่ง ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้

“มนุษย์… พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับความดื้อรั้นของพวกเจ้า”

น้ำเสียงแหบต่ำคลุมเครือสั่นสะท้านแมกไม้ดังขึ้นจากหอคอยปีศาจพฤกษา

สัตว์ประหลาดอย่างหอคอยปีศาจพฤกษาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงจนมีสติปัญญา กระทั่งสามารถเปิดปากเอ่ยคำพูดค่อนแคะออกมาได้

“ปีศาจต้นไม้นี่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแก่นแท้แห่งดวงตะวันจันทราของฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมันมีพลังเทียบเท่าได้กับปีศาจในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทุกคนอย่าได้เผชิญหน้ากับมันตรงๆ”

ชื่อกุ้ยตวาดเสียงต่ำ ควบคุมหุ่นเชิดศพกลุ่มหนึ่งอย่างระมัดระวัง รับมือต่อสู้กับรากของอีกฝ่ายบนพื้น

รากของต้นไม้ปีศาจนี้เหนียวอย่างมาก กระทั่งหุ่นเชิดศพในขั้นมนุษย์แท้และผู้วิเศษแท้ยังยากที่จะตัดให้ขาดได้

ทว่าอัจฉริยะของตำหนักผาดำมีวิธีการของตนเอง ใช้ปราณศพกัดกร่อนทำให้รากเหล่านั้นเน่าผุ

ชายหนุ่มชุดสีเลือดจากตำหนักมารจันทราใช้วิชาของศาสตร์แห่งโลหิตมาร สร้างคมเขี้ยวธนูสีเลือด ตัดรากและกัดกร่อนมัน

“ฝ่ามือมารเลือดแปลงศพ”

ฝ่ามือของชายหนุ่มชุดสีเลือดส่องประกายสีแดงชาด กลายเป็นกลุ่มหมอกดูลึกล้ำกลุ่มหนึ่ง ทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกขยะแขยงรุนแรง

เปรี้ยง

ด้วยการโจมตีกัดกร่อนของศาสตร์แห่งโลหิตของชายหนุ่มชุดสีเลือด ฝ่ามือนั้นได้ทำลายรากและพุ่มไม้เล็กๆ ไป

การโจมตีนั้นได้ทำให้พลังธาตุไม้ของหอคอยปีศาจพฤกษาถดถอยลงเล็กๆ

รวมทั้ง

บนร่างของ ‘โม่ก่าน’ จากตำหนักผาดำได้ส่องประกายสีเงินหม่น ให้ความรู้สึกราวกับเป็นเกราะหนักของซากศพ

เขาทิ้งกายลงบนพื้นใกล้ๆ ต่อกรกับรากของต้นไม้ตรงๆ

“ฝ่ามือวิญญาณซากนภา”

ผิวกายของโม่ก่านส่องประกายสีเงินหมองหม่น ร่างกายบิดเบี้ยว แขนขาทั้งสี่ได้ขยายขึ้น ร่างกายราวกับเป็นยักษ์ตัวเล็กๆ

ในฝ่ามือของเขาปรากฏปราณศพรุนแรงส่องประกายสีเงินหมองหม่นน่าพรั่นพรึง ทำให้รากที่อยู่ใกล้ๆ สั่นสะท้านเน่าเปื่อย หลงเหลือไว้เพียงกองของเหลวสีดำ

“หมอนี่เป็นผู้ร่างกายในศาสตร์แห่งซากศพ มีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก สามารถรับมือกับรากส่วนเล็กๆ ของหอคอยปีศาจพฤกษาได้ตรงๆ”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดตามองสถานการณ์ ค้นพบว่าในบรรดาคนทั้งหมด ‘โม่ก่าน’ มีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูงที่สุด กระทั่งสามารถรับมือกับรากและพุ่มไม้ที่ถาโถมเข้าจู่โจมรอบกายได้ตรงๆ

กลางอากาศ

เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ใช้การจู่โจมจากกลางอากาศ ร่ายรำไปตามสายลมดูแล้วสบายตา เทพธิดาและแม่มดร่วมมือกันส่งการจู่โจมรวดเร็วรุนแรงออกไป ต่อสู้กับพุ่มไม้ของหอคอยปีศาจพฤกษาอยู่บริเวณเดียวกัน

ฟุ่บ

พุ่มไม้เล็กๆ บางส่วนบนร่างของหอคอยปีศาจพฤกษาถูกทำลายลง

ทั้งการโจมตีของสตรีทั้งสองยังแหลมคมยิ่งนัก หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไป แม้จะเป็นเพียงพุ่มไม้และใบไม้เล็กๆ เหล่านี้ก็ยังยากที่จะรับมือได้

ทว่า

หลังจากยืดเยื้อไปกว่าครึ่งชั่วยาม สีหน้าของสตรีทั้งสองก็ยิ่งเลวร้ายลง

อย่างมากพวกนางก็ทำได้แค่ทำลายพุ่มไม้ใบไม้เล็กๆ รอบกายของหอคอยปีศาจพฤกษา พุ่มไม้เล็กๆ เหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับเส้นขนของต้นไม้ปีศาจ ไม่นับเป็นสาระสำคัญอันใด

เปรี้ยง ตูม

สตรีทั้งสองพยายามจู่โจมไปยังพุ่มไม้ที่ใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย บนพุ่มไม้ที่ใหญ่โตราวกับกำปั้นของยักษ์นั้นหลงเหลือร่องรอยที่ไม่อาจนับเป็นอันใดได้ขึ้นเล็กๆ

“ฟุ่บ…”

จ้าวเฟิงยิงคันศรหลัวซุยอยู่ห่างออกไป ลูกธนูนั้นเสียบเข้าไปในพุ่มไม้รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ทว่ากลับไม่ส่งผลอันใด

ศรหลัวซุยทั้งสามดอกกลับมายังข้างกาย เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวใช้ดวงตาเทพเจ้ามองไป พบว่าบนกิ่งไม้นั้นปรากฏรอยจางๆ ขึ้นขนาดไม่ถึงหนึ่งนิ้วมือเสียด้วยซ้ำ

จ้าวเฟิงอดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปไม่ได้

หรืออีกนัยหนึ่ง การโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปนั้นก็เป็นเหมือนยุงที่คอยเกาะแกะสำหรับหอคอยปีศาจพฤกษา อาจสร้างความไม่สบายตัวอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บที่สำคัญอันใด

ผู้ที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งที่สุดอย่างเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ไม่อาจที่จะสร้างความเสียหายที่เห็นได้ชัดให้แก่หอคอยปีศาจพฤกษา

ผู้ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดคือชายหนุ่มชุดสีเลือดจากตำหนักมารจันทรา การโจมตีจากศาสตร์แห่งโลหิตของเขาสามารถกัดกร่อนพลังงาน ผนึกความสามารถของธาตุไม้ได้

“พสุธาย้อมโลหิตมาร”

ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มชุดสีเลือดส่องประกายสีชาดสว่างจ้าโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ปราณสีเลือดแพร่กระจายออกย่อยสลายรากรอบกายไปจนหมดสิ้น

พื้นดินที่ถูกย้อมอาบด้วยปราณสีเลือดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของชายหนุ่ม ระเบิดพลังปราณโลหิตออกมา ขยายการปนเปื้อนออกไปอีก

แม้ว่าเขาจะสามารถทำลายรากเล็กๆ รอบกายได้ แต่สำหรับหอคอยปีศาจพฤกษาแล้วมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด แต่ในด้านของการสร้างความเสียหายนั้นเขายังทำได้มากกว่าเมื่อเทียบกับพวกเย่หยานหยูทั้งสอง

“ความคิดของอัจฉริยะจากสามสำนักถูกต้อง หากสามารถทำลายระบบรากของหอคอยปีศาจพฤกษาได้ย่อมสามารถปิดกั้นแหล่งกำเนิดพลังของปีศาจต้นไม้นี่ได้ ทำให้พลังของมันอ่อนแอลง”

จ้าวเฟิงส่ายศีรษะอย่างเสียดายเล็กๆ

เขาเห็นอย่างชัดเจนผ่านดวงตาเทพเจ้าของเขา มั่นใจว่าวิธีการนี้ไม่อาจสำเร็จได้

เพราะระบบรากของหอคอยปีศาจพฤกษานั้นหยั่งรากลึกยิ่งนัก แทรกซึมทะลวงลงไปใต้ดินหลายลี้ ศูนย์กลางรากที่ลึกที่สุดอยู่ลึกถึงสิบลี้

การทำลายระบบรากนั้น เมื่อเทียบกับการโจมตีพุ่มไม้แล้วยังยากกว่านับร้อยเท่า

“แม้จะมีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้มาอีกสักสิบยี่สิบคนก็ไม่อาจทำอันใดหอคอยปีศาจพฤกษาได้”

จ้าวเฟิงมั่นใจ

หอคอยปีศาจพฤกษานั่น นอกจากจะไม่สามารถ ‘เคลื่อนย้าย’ ได้แล้ว ทั้งการโจมตี การป้องกัน และด้านอื่นๆ ล้วนเทียบได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ไม่มีความแตกต่างมากมายนัก

กระทั่งด้วยร่างกายและพลังของมัน หอคอยปีศาจพฤกษายังนับว่าเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น

เมื่อวิเคราะห์มาถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงก็เชื่อว่าการฆ่าหอคอยปีศาจพฤกษานั้นไม่อาจเป็นไปได้ เว้นเสียแต่จะมีพลังต่อสู้ในระดับที่ใกล้เคียงกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่างมาก

ยามที่เขาครุ่นคิด สถานการณ์ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงไป

“อ๊ากกกกก”

ใกล้พื้นได้ปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้น

เมื่อมองไปก็เห็นเพียงกลุ่มก้อนของรากต้นไม้ที่ราวกับหนวด แต่ล่ะรากต่างรัดพัน ‘ชายหนุ่มชุดสีเลือด’ ไว้อย่างแน่นหนารอบแล้วรอบเล่า

เปราะ

ชายหนุ่มชุดสีเลือดส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา ร่างกายถูกฉีกกระชากเป็นก้อนเนื้อไม่อาจเห็นเค้าลางเดิม จากนั้นจึงถูกฝังลงในชั้นดินกลายเป็น ‘ปุ๋ย’ รอบใหม่ให้แก่หอคอยปีศาจพฤกษา

ด้วยจุดจบอันน่าอนาถของเขาทำให้ศิษย์จากสามสำนักที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นรู้สึกหวาดกลัว ต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป

กระทั่งสีหน้าของยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งห้าที่เหลือก็ยังย่ำแย่ลงเล็กๆ

“รากของหอคอยปีศาจพฤกษาหยั่งลงในดินลึกยิ่งนัก มิคาดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง โอบล้อมคร่าชีวิตของชายหนุ่มชุดสีเลือดนั่นได้ในครั้งเดียว”

หัวใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก

สติปัญญาของหอคอยปีศาจพฤกษานี่กระทั่งสามารถเข้าใจถึงกลยุทธ์ทิศทางได้

เปรี้ยง แคร่ก

ในเวลาเดียวกัน โครงกระดูกขั้นนายเหนือแท้ที่ชื่อกุ้ยควบคุมอยู่ก็ได้ถูกพุ่มไม้ฉวยไปปล่อยลงมาจากกลางอากาศ กลายเป็นฝุ่นผงสีขาวไป

สองสิ่งนี้แทบจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

มันเท่ากับกล่าวว่า ในเสี้ยววินาที สองตัวตนในขั้นนายเหนือแท้ได้ถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของหอคอยปีศาจพฤกษา

“ถอย”

สีหน้าของจงหว่านเอ๋อร์ดูเลวร้าย

ตำหนักมารจันทราสูญเสียอัจฉริยะในขั้นนายเหนือแท้ไป ทำให้นางสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้

“ถอยชั่วคราว”

สองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ของตำหนักผาดำเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา นำคนของตนเองถอยไปล้อมอยู่ด้านนอก

พลังต่อสู้ที่หอคอยปีศาจพฤกษาแสดงออกมาได้สร้างความตื่นตัวขึ้น ร่างกายต้านทานมีดดาบ น้ำไฟไม่อาจกล้ำกราย พลังมหาศาล ไม่ว่าจะเป้นการโจมตีของพุ่มไม้หรือรากต่างก็มีโอกาสสูงที่จะคร่าชีวิตของผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ในเสี้ยววินาที

ทันใดนั้น

อัจฉริยะจากสามสำนักต่างก็ร่างสั่นสะท้าน

สีหน้าของเย่หยานหยูและหยูลั่วกระตุกสั่น นำคนของตนเองออกห่างจากระยะโจมตีของหอคอยปีศาจพฤกษา

“จริงๆ”

จ้าวเฟิงไม่ประหลาดใจในผลลัพธ์

เหมือนที่เขาคาด แม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้มาอีกสิบยี่สิบคนก็ไม่อาจที่จะเอาชนะหอคอยปีศาจพฤกษาได้ตรงๆ

เหมือนกับที่ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนับสิบหากเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกฝนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป ผลลัพธ์ก็มีเพียงความล่มสลาย

ระหว่างขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและขอบเขตแก่นก่อกำเนิดนั้นมีช่องว่างที่ห่างไกลราวกับฟ้าและดิน

“หาก ‘หอคอยปีศาจพฤกษา’ นั่นสามารถเคลื่อนไหวได้ แม้จะมีความเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของขอบเขตแก่นก่อกำเนิด บางทีคนพวกนั้นคงจะตายไปกว่าเก้าในสิบส่วนแล้ว”

จากการวิเคราะห์ จ้าวเฟิงรู้สึกหวาดกลัวผู้มีพลังในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ฟุ่บ

ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งวูบไปยังเบื้องหน้าของเย่หยานหยูกะทันหัน ขวางทางของสาวงามผู้นี้เอาไว้

“ไอ้หนู เจ้าต้องการอันใด?”

หยูลั่วตวาดเสียงขรึม ประกายจิตสังหารแล่นวูบผ่านแววตา

“เจ้าต้องการเอ่ยอันใด”

เย่หยานหยูรับมือกับ ‘การสบประมาท’ ของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็น ด้วยพลังของนาง นางย่อมไม่มีความลนลานกระวนกระวาย

“จริงๆ แล้วความคิดของพวกเจ้ากำลังไปผิดทาง”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างช้าๆ

“โอ้? เช่นนั้นเจ้าจะเสนออันใด”

เย่หยานหยูปรากฏความสนใจขึ้น ทว่าสีหน้าของหยูลั่วและคนอื่นๆ กลับเต็มไปด้วยความดูแคลน

“การจะฉกฉวยของของหอคอยปีศาจพฤกษานั้นไม่จำเป็นต้องเอาชนะมัน ตัวอย่างเช่นเมืองที่มีการป้องกันแข็งแกร่ง ภายในมีสมบัติล้ำค่าอยู่ การส่งกองทัพไปไม่อาจทะลวงฝ่าได้ แต่เหล่าโจรขโมยที่ชาญฉลาดกลับได้ครอบครองสมบัตินั้นโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงนิด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!