บทที่ 93 พี่ชายเพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้! (ต้น)
กลางลานหญ้า เด็กหญิงโผล่ออกมาจากด้านหลังของชายชรา นางกระซิบถามผู้อาวุโส “ท่านปู่จี้ พวกเขาจะเป็นอะไรไหมเจ้าคะ?”
ชายชราผุดลุกขึ้นยืน มองเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า ในดวงตาฉายแววบางอย่าง ก่อนเอื้อมมือมาแตะจับศีรษะเล็กๆ ของเยี่ยหลิง “ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาไม่เป็นอะไร เจ้าอยู่ที่นี่ละ อย่าเที่ยวออกไปวิ่งเล่นก็แล้วกัน รับปากสิ?”
เยี่ยหลิงผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง “ท่านปู่จี้ เดี๋ยวข้าไปทำกับข้าวให้ท่านนะเจ้าคะ!”
โดยไม่รอช้า นางหันหลังออกวิ่งตรงเข้าครัวทันที
เยี่ยหลิงตัวสั่นเทาด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้พื้นที่ด้านหลังภูเขาในเวลานี้อย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ อีกทั้งหากนางไป มันก็อาจทำให้พี่ชายต้องประสบความยุ่งยากมากขึ้น
ในมุมหนึ่งของห้องครัว เด็กหญิงทรุดกายลงนั่งงอเข่ากอดไว้แนบอก ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด ได้แต่สายตาเหม่อมองที่เปลวไฟในเตาอย่างเลื่อนลอย
ชั่วขณะนั้นเอง เด็กหญิงนึกย้อนกลับไปสมัยที่ยังอาศัยอยู่กับจวนตระกูลเยี่ย ณ เมืองชิง
หลังจากที่เยี่ยฉวนออกไปข้างนอกแล้ว เยี่ยหลิงจะนั่งคอยพี่ชายเช่นนี้ทั้งวัน……
ในโลกของเด็กหญิง ไร้ซึ่งบิดาดูแล ปราศจากความรักจากมารดา มีเพียงพี่ชาย!
พี่ชายเพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้!
อาจารย์ใหญ่จี้ยังนั่งที่เดิมหลังจากเยี่ยหลิงกลับออกไป พลันชายชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า
เขาสวมผู้คลุมทำจากผ้าลินิน เครายาวลงมาถึงหน้าอกเสื้อ ผมเกล้าเป็นมวยขมวดไว้ที่ท้ายทอย ในภาพรวมท่าทางสง่างามและสุภาพ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตาแก่ขี้เมา!
บุคคลผู้นี้คืออาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ หลี่เสวียนชาง!
คนผู้นี้นับว่าเป็นปรมาจารย์อันดับต้นของแคว้นเจียงคนหนึ่ง!
หลี่เสวียนชางมองชายชราแซ่จี้ที่อยู่เบื้องหน้า พลางสั่นหน้าน้อยๆ “ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าใด เจ้ายังเหมือนเดิม”
อาจารย์ใหญ่จี้ “แต่ยิ่งนับวัน ชีวิตของเจ้ายิ่งเปราะบางมากขึ้น”
หลี่เสวียนชางกวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกับพูดว่า “ข้ายังคิดเสมอว่าที่นี่เป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในแคว้นเจียง”
อาจารย์ใหญ่จี้หัวเราะเบาๆ “ในแคว้นเจียงเวลานี้ หาได้ถูกครอบงำโดยอำนาจแห่งสถานศึกษาฉางมู่ของเจ้าหรือไร?”
หลี่เสวียนชางมองตรงมาที่ผู้เฒ่าจี้ “เจ้าพาคนมาสามคน ข้ารู้ว่าเจ้ามีแผน แต่ในที่สุดพวกเขาต้องกลายเป็นผีเฝ้าทางเดินขึ้นเขาฉางซานวันยังค่ำ เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ ของเจ้า”
อาจารย์ใหญ่จี้พยักหน้า “ถ้าเช่นนี้ก็คอยดู!”
หลี่เสวียนชางคลี่ยิ้มมุมปาก “ได้ คอยดู!”
ณ ด้านหลังภูเขา
โม่อวิ๋นฉีหยุดวิ่ง ไป๋เจ๋อดึงตัวเองขึ้นจากในน้ำตก และเยี่ยฉวนเลิกกระหน่ำหมัดชกใส่เนินเขา
บริเวณชายป่า เยี่ยฉวนและอีกสองยืนขนาบซ้ายขวา โดยชายหนุ่มยืนกลาง มีโม่อวิ๋นฉียืนขนาบฝั่งซ้าย ส่วนไป๋เจ๋อขนาบฝั่งขวา
คนที่ยืนฝั่งตรงข้ามคือเฉินเยี่ยน และศิษย์ฉางมู่จำนวนหนึ่ง
ด้านเยี่ยฉวน โม่อวิ๋นฉีพลันถามขึ้นมาว่า “อาจารย์ใหญ่จี้ ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาหรือ?”
สายตาของเขาจับตามองเฉินเยี่ยนและคนอื่นที่มีท่าทีนิ่งเฉย
ตามความสัตย์จริง แม้จะพลาดจากการเข้าสถานศึกษาฉางมู่ ทว่าชายหนุ่มไม่เคยมีความคิดเป็นศัตรูหรือความแค้นต่อสถานศึกษาฉางมู่แม้แต่น้อย เพราะสำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนปฏิเสธ!
เมื่อเข้ามาเป็นศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางหลาน ดังนั้นชายหนุ่มจึงถูกกำหนดบทบาทให้ต้องเป็นศัตรูกับสถานศึกษาฉางมู่ ถึงแม้ตนไม่สร้างปัญหากับศิษย์ฉางมู่ แต่พวกเขาก็สร้างปัญหากับตนจนได้!
ความบาดหมางที่ไม่อาจปริปาก!
อย่างไรก็ตาม เยี่ยฉวนหาใช่คนอ่อนแอ ทว่าในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการต่อสู้และตีรันฟันแทง ในชีวิตของชายหนุ่มไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด!
ขณะนั้นพลันเฉินเยี่ยนก้าวออกมา “สามต่อสาม?”
ชายหนุ่มเหลือบมองโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ ทั้งสองคนพยักหน้าบอกกล่าวว่าเห็นด้วยในทันที!
เบื้องหลังของเฉินเยี่ยนเป็นบุรุษสองคนก้าวออกมา คนทางซ้ายมือสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งวิจิตรและสง่างาม กอรปกับลักษณะภายนอกที่บ่งชี้ว่าเป็นคนประณีตละเอียดลออ
ส่วนคนทางด้านขวามือสวมชุดขาว ร่างค่อนข้างผอมบาง และมีคิ้วดำหนาพาดเฉียงเหนือนัยน์ตาที่ทอประกายเฉลียวฉลาด ท่าที่เฉยเมยราวกับเทพเซียน
บุคคลทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน!
เมื่อเห็นคนทั้งคู่ เยี่ยฉวนหน้าสลดวูบ
ความรู้สึกถึงอันตราย!
ทั้งที่เป็นความรู้สึกที่เกิดจากสัญชาตญาณ แต่ชายหนุ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง มันคือสิ่งที่เขาได้รับจากการฝึกฝนสัญชาตญาณบนเส้นทางการต่อสู้ในแบบชี้เป็นชี้ตายมานับครั้งไม่ถ้วน!
ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสถานศึกษาฉางมู่ไม่ประมาทต่อพวกเขา และจะไม่ให้พวกอ่อนด้อยมาเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกต่อไป!
ชายหนุ่มเหลือบมองไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉี “ระวังด้วย!”
ทั้งสองพยักหน้ารับรู้
ชายในชุดขาวต่อสู้กับโม่อวิ๋นฉี และชายชุดดำต่อสู้กับไป๋เจ๋อ ดังนั้นคู่ต่อสู้ของเยี่ยฉวนคือเฉินเยี่ยน!
ฉับพลันนั้นเอง ชายชุดดำพลันร่างอันตรธานหายไป ฝ่ายตรงข้ามอย่างไป๋เจ๋อสีหน้าเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เขายกแขนไขว้กระแทกออกไปอย่างดุดัน ในวินาทีถัดมาร่างของชายชุดดำปรากฏต่อหน้าโดยไม่คาดฝัน
ผัวะ!
พลังปะทะระเบิดสนั่น ส่งให้ร่างอันใหญ่โตของไป๋เจ๋อกระเด็นไปไกลหลายจั้ง!
ที่แขนซ้ายมีรอยฝ่ามือสีแดงก่ำดั่งโลหิต!
ในขณะเดียวกัน ชายชุดดำแตะปลายเท้าบนพื้นเพียงแผ่วเบา ผลักส่งให้ร่างลอยละลิ่วสู่อากาศฉับพลันทะยานพุ่งเข้าหาไป๋เจ๋อด้วยความรวดเร็ว ราวกับพญาอินทรีย์ที่หิวกระหายโฉบเข้าตะครุบเหยื่อ
พลังขั้นทะยานสวรรค์!
เยี่ยฉวนซึ่งเห็นภาพตรงหน้า ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ด้วยเพราะคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาผู้นี้บรรลุขั้นทะยานสวรรค์ตั้งแต่อายุยังไม่เต็มยี่สิบ!
ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!
ห่างออกไป สีหน้าของไป๋เจ๋อแปรเปลี่ยนฉับพลัน ชายหนุ่มขยับนั่งชันเข่ายันกับพื้นในท่าถนัด ขณะเดียวกันก็ประกบฝ่ามือออกแรงบีบอย่างรุนแรง ทำให้กล้ามเนื้อทุกกล้ามของร่างกายส่วนบนพองออกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งมองเห็นเส้นเลือดดำทุกเส้นบิดตัวราวกับงูเลื้อยจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นภาพน่าสะพรึงกลัว!
ทันใดนั้น ปรากฏฝ่ามือของชายในชุดดำฟาดจากอากาศลงมาอย่างไม่คาดคิด ราวกับจามด้วยขวานยักษ์ เกิดเป็นแรงกดอัดและพลังปะทะอย่างรุนแรงแม้อากาศธาตุยังแยกออกในทันที
ไป๋เจ๋อเห็นดังนั้น เขาพลันประกบฝ่ามือและผลักขึ้นข้างบน ฉับพลันปรากฏลำแสงแห่งพลังสีเหลืองพุ่งออกจากกลางฝ่ามือ
นี่คือแสงที่เกิดจากทักษะยุทธ์!
เมื่อพลังฝ่ามือของชายชุดดำพลาดเป้าหมาย เสียงหวีดแหลมดังก้องทั้งลานโล่งพลันดังขึ้น พริบตาเดียว ร่างใหญ่ของไป๋เจ๋อก็ถูกพลังผลักออกอย่างรุนแรงจนกระเด็นไปไกลกว่า 6 จั้งเศษ ทว่าชายในชุดดำไม่หยุดยั้ง ร่างของเขาสั่นน้อยๆ และทันใดนั้นเองร่างทั้งร่างลอยเข้าหาไป๋เจ๋อราวสายลมพัดวูบ……
อีกฟากหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับโม่อวิ๋นฉี ชายในชุดขาวพลันล่องหนไปต่อหน้าต่อตา ทำให้ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเหยียดปลายเท้าแตะพื้นนิดหนึ่ง ส่งร่างถอยแล่นออกไปทางหลังกว่า 8 จั้ง หากยังไม่ทันยั้งหยุด พลันชายชุดขาวปรากฏออกมากะทันหันเหนือศีรษะ!
พลังขั้นทะยานสวรรค์!
สีหน้าของโม่อวิ๋นฉียามนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวตกใจไม่น้อย ด้วยไม่อาจฉวยจังหวะถอยเพื่อตั้งหลักได้ดังประสงค์ ในเวลานั้นคงทำได้เพียงส่งมีดคู่บินจากฝ่ามือออกไปเพื่อตอบโต้!
— จบตอน —



