บทที่ 96 เสียงฝีเท้าจากชั้นสอง (ปลาย)
หลี่เสวียนชางเหลือบมอง เขาไม่โง่จึงย่อมรู้แก่ใจถึงความนัยแห่งคำพูดของอาจารย์ใหญ่จี้ เมื่อใดที่ทั้งสามคนถูกฆ่าตาย อาจารย์ใหญ่จี้จะกระโจนเข้าสู่การประลองชี้เป็นชี้ตาย ถ้าคนซึ่งพลังกล้าแกร่งขั้นสูงเช่นอาจารย์จี้ผู้นี้กระทำการโดยไม่คิดไตร่ตรองเมื่อใด สถานศึกษาฉางมู่คงเป็นฝ่ายเสียหายอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะหากเขาคิดลงมือกับศิษย์สายในและสายนอกรุ่นใหม่พวกนี้ ต่อให้เป็นสถานศึกษาฉางมู่ ยังไม่มั่นใจได้ว่าจะให้ความคุ้มครองแก่พวกเขาทั้งหมดจากผู้เฒ่าจี้คนนี้ได้
ทั้งนี้เพราะการหยุดยั้งบุคคลที่มีขั้นพลังสูงส่งนั้นยากยิ่ง!
นิ่งไปพักใหญ่ หลี่เสวียนชางจึงหันมามองเยี่ยฉวน “เจ้าทำให้ข้าแปลกใจยิ่งนัก แต่ช่างเถิด อย่างไรเสียปีหน้าร่างของเจ้าต้องขึ้นไปแขวนบนยอดเสาริมทางขึ้นเทือกเขาฉางซานอยู่แล้ว”
หลังจากนั้น จึงหันหลังและเดินจากไปพร้อมศิษย์จากฉางมู่
เมื่อคอยจนกระทั่งลับกายของหลี่เสวียนชางและคนอื่น อาจารย์ใหญ่จี้พลันหันมาทางเยี่ยฉวนและอีก
สองคน “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนใส่ชุดขาวและชุดสีดำคือใคร?”
ทุกคนส่ายหน้า
ผู้เฒ่าพูดอย่างใจเย็น “พวกเขาคือสองในสามยอดคนแห่งสถานศึกษาฉางมู่ เจ้านับว่าโชคดีที่วันนี้คนที่สามไม่ได้มา หาไม่ ข้าคงต้องตามเก็บเศษชิ้นส่วนของพวกเจ้าเป็นแน่!”
เยี่ยฉวนและคนอื่นที่ได้ยิน จึงได้แต่นิ่งเงียบ
อาจารย์ใหญ่จึงกล่าวต่อไป “ยอดคนทั้งสอง พวกเขายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่พวกเจ้าต่างก็ทุ่มเททุกอย่างที่มี นี่เองคือสาเหตุที่ข้าปล่อยให้พวกเขาขึ้นมาเพื่อบอกเป็นนัยให้รู้ว่าพลังของพวกเจ้า
นั้นยังอ่อนด้อยเพียงไรเมื่อเทียบกับศิษย์แห่งฉางมู่ ตาแก่ขี้เมาอย่างข้าเพียงอยากจะเตือน ว่าหากพวกเจ้าไม่ฝึกฝนให้หนัก อีกหนึ่งปีให้หลัง ริมทางขึ้นเขาฉางซานจะมีร่างของพวกเจ้าขึ้นไปแขวนเพิ่ม ถึงวันนั้นข้าคงไม่สามารถตามไปเก็บศพของพวกเจ้าได้!”
กล่าวจบหันหลังเดินกลับไปทันที แต่แล้วกลับชะงักฝีเท้าหลังเดินเพียงสองสามก้าว “อ้อ ข้างจำได้แล้ว คนสองคนนั้นหาใช่ศิษย์แนวหน้าของสถานศึกษาฉางมู่เท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์ยอดฝีมือที่สุดสองคน พวกเขาคือเฟินเจี๋ยและเป่ยเฉิน ถ้าด้วยพลังของพวกเจ้าในระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ เชื่อได้เลยว่าสิบส่วนคือตาย และโอกาสรอดไม่มี”
กลางลานกว้าง เยี่ยฉวนและพวกได้แต่อึ้ง
คนทั้งสามมีท่าทีแน่วแน่ ทุกคนต่างรู้ว่าอาจารย์ใหญ่จี้ไม่ได้ขู่ เพราะความกล้าแกร่งของคนชุดขาวและคนชุดดำล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทั้งสามแล้วทั้งสิ้น!
น่าเกรงขามยิ่ง!
ถึงแม้ตอนนี้เยี่ยฉวนจะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณ แต่ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าเขาจะมีชัยเหนือศิษย์ฉางมู่ทั้งสอง บางทีอาจมีโอกาสได้รับชัยชนะหากเขาใช้หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา! อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนี้หาใช่คนที่เก่งที่สุดในสถานศึกษาฉางมู่ไม่!
ความรู้สึกแห่งวิกฤตร้ายแรง!
คนทั้งสามรู้สึกได้ถึงวิกฤตร้ายแรงพร้อมๆ กัน ที่ผ่านมา ทุกคนอยู่อย่างคนไร้หัวใจปราศจากความรู้สึกแม้จะเฝ้าฝึกปรืออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากเพราะถูกบังคับจากอาจารย์ใหญ่จี้ น้อยมากที่การฝึกฝนจะเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ
แต่ในตอนนี้ ทั้งสามต่างตระหนักแก่ใจแล้ว ว่าหากไม่เสริมความกล้าแกร่งในเร็ววัน ชะตากรรมสุดท้ายไม่แคล้วเป็นศพแขวนตามทางเดินเป็นแน่!
กระทั่งเยี่ยฉวน เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแห่งวิกฤต
ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นเช่นไร สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับในฐานะศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางหลานแม้ว่าจะเป็นความปรารถนาหรือไม่ก็ตาม เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความแค้นระหว่างสถานศึกษาฉางหลานและสถานศึกษาฉางมู่ เหนือสิ่งอื่นใดคืออาจารย์ใหญ่จี้เคยช่วยชีวิตเยี่ยหลิงผู้เป็นน้องสาว ดังนั้นเขาจึงสัญญากับอาจารย์ใหญ่ไว้ว่าจะต่อสู้กับสถานศึกษาฉางมู่เพื่อนำร่างของศิษย์ที่เรียงรายตามทางเดินขึ้นเขาฉางซานกลับบ้าน!
การฝึกปรือ!
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มทั้งสามจึงเดินออกจากลานโล่ง และแยกย้ายไปในที่ของตน
เยี่ยฉวนกลับมาฝึกหมัดชกถล่มเนินเขาต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ผ่านมา ผลที่ได้คือเขาเริ่มมีความเข้าใจบางอย่าง ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สักแต่ว่าออกหมัดชกเพียงอย่างเดียวแล้ว หากแต่ยังนำเคล็ดวิชาต่อสู้มาผนวก ร่วมกับพยายามถ่ายเทพลัง ‘แรงผลักดัน’ สู่หมัด
หมัดทลายภูผา!
นี่คือเหตุผลว่าทำอาจารย์ใหญ่จี้จึงสั่งให้เขาออกหมัดชกเนินเขา!
โดยทั่วไป เวลาจะพูดถึงการปล่อยหมัด มันก็หมายถึงหมัดที่ถูกส่งออกไปผนวกกับแรงผลักดัน! นี่คือแรงผลักดันในหนึ่งหมัดมีอานุภาพทำลายพื้นดินถล่มภูเขา!
หลังจากที่เข้าใจจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ชายหนุ่มจึงนำเอาพลังหมัดและแรงผลักดันนำมาผนวกเข้าด้วยกัน การหลอมรวมครั้งนี้ช่วยเสริมความกล้าแกร่ง ส่วนผลลัพธ์ที่ได้มือทั้งสองข้างที่ป่นปี้แทบไม่มีชิ้นดี!
ในตอนกลางคืน เยี่ยฉวนเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส เขาทิ้งตัวลงเบื้องหน้าเนินนอนแผ่ไปบนพื้นดิน หอบหายใจหอบแฮ่ก นัยน์ตามองเห็นแต่ดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
ชายหนุ่มเวลานี้นอกจากความเหนื่อยล้า อีกหนึ่งคือความรู้สึกมหัศจรรย์!
มหัศจรรย์ยิ่งนัก!
หลังปลดปล่อยพลัง เขากลับรู้สึกปลอดโปร่งและโล่งเบา!
พลันใจนึกถึงบางอย่างขึ้นมา ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งทันควันพลันแบฝ่ามือ ใจกลางฝ่ามือปรากฏกระบี่ด้ามหนึ่ง!
กระบี่หลิงเซี่ยว!
ชั่วขณะหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงแห่งกระบี่ ซึ่งตนเองยังไม่รู้แน่ชัดเพียงรู้สึกว่าแตกต่างเท่านั้น!
หากจะให้เดา คงเป็นเพราะเขาได้ดูดกลืนกระบี่อีกเล่มหนึ่งในคราวต่อสู้ครั้งก่อน ซึ่งมิใช่เพียงกระบี่ธรรมดา หากแต่เป็นกระบี่ที่มีแก่นเทียบเท่ากับกระบี่จิตวิญญาณ แน่นอนว่าไม่อาจเทียบชั้นกับกระบี่หลิงเซี่ยวได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกสังหารด้วยกระบี่เล่มนี้ไปแล้วในการปะทะ!
แก่นแท้แห่ง ‘กายาไร้เทียมทาน’ คือกระบี่ กระบี่ที่ว่าคือกระบี่ตันเถียน ยิ่งใช้วิธีฝึกปรือที่ส่งผลมากเท่าใด นั่นก็ยิ่งทำให้สามารถดูดกลืนได้หลายกระบี่!
หลายกระบี่!
ชายหนุ่มพลันนึกถึงในสิ่งสำคัญมากได้อย่างหนึ่ง เขากวาดตาไปรอบบริเวณก่อนเข้าสู่หอคอยแห่งเรือนจำทันที
กายถูกโอบล้อมไปด้วยท้องฟ้าพราวพร่างดวงดารา เยี่ยฉวนเข้ามาถึงหอคอยชั้นล่าง เขาแหงนมองยอดหอคอยที่ซึ่งปรากฏกระบี่สามเล่มแทรกอยู่!
จากจุดที่เขายืน หากแหงนมองก็จะเห็นแค่เพียงเค้าโครงของกระบี่ทั้งสาม เยี่ยฉวนปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดูจนใกล้ หากแต่จนบัดนี้เขายังไม่บรรลุขั้นทะยานสวรรค์ดังนั้นจึงยังไม่สามารถใช้พลังทะยานได้ ณ ตอนนี้ทำได้เพียงเฝ้ามองในระยะไกลเท่านั้น
ยิ่งเฝ้ามองกระบี่ทั้งสาม เยี่ยฉวนพลันนัยน์ตาร้อนผ่าว ความเชื่อในใจบอกกับตนว่าเพียงได้ครอบครองกระบี่ทั้งสามไว้ในตันเถียน จะไม่มีกระบี่อื่นใดในโลกหล้าที่ชายหนุ่มไม่ได้มาไว้ในครอบครอง!
ขณะนั้นหอคอยแห่งเรือนจำไหวโยกเล็กน้อย เยี่ยฉวนตกตะลึงชั่วขณะและรีบเดินเข้าสู่ชั้นที่หนึ่ง เขากวาดตามองไปรอบบริเวณ “ผู้อาวุโส?”
ไม่มีเสียงตอบจากสตรีลึกลับ!
หัวคิ้วขมวดมุ่นและกำลังจะอ้าปากเอ่ยถาม ทันใดนั้นเอง พลันเขาเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นยังบน
บรรยากาศเงียบสนิท
ตึง!
เหนือศีรษะของเยี่ยฉวน มีเสียงฝีเท้าดังจากชั้นที่สอง
ทันทีที่ได้ยินเสียงชายหนุ่มเย็นวาบทั่วสันหลัง แรกเริ่มเข้าใจว่าตนเองหูฝาด แต่แล้วต่อมา
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงฝีเท้าเริ่มดังขึ้นและหนักขึ้น!
เยี่ยฉวนนัยน์ตาเบิกกว้าง “นั่นใคร?”
ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงเสียงลงน้ำหนักฝีเท้าทั้งดังและหนักแน่น ในที่สุดพื้นหอคอยชั้นที่หนึ่งเริ่มสั่นสะเทือน
ฉับพลันเยี่ยฉวนมองขึ้นไปยังทางขึ้นชั้นที่สอง เมื่อความสั่นสะเทือนเริ่มรุนแรงขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มพลันนึกในใจว่า “คนผู้นั้นกำลังออกมาเช่นนั้นหรือ?”
— จบตอน —



