Skip to content

A Will Eternal 1054

บทที่ 1054 นครจักรพรรดิเซิ่ง

เสียงนี้เหมือนดังมาจากแปดทิศ แยกไม่ออกว่ามาจากทิศทางไหนกันแน่ ทั้งยังเหมือนดังสะท้อนผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน แล้วตรงเข้ามาเคาะกระแทกลงบนจิตวิญญาณของทุกคน ซ้ำยังให้ความรู้สึกที่สนิทชิดเชื้อบางอย่าง ซึ่งอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเสียงที่อยู่ในประโยคนี้ มีพลังงานประหลาดบางอย่าง ที่ทําให้จิตใจคนฟังสงบลงได้ในชั่วพริบตา

ร่างของราชาผียักษ์สะท้านเยือก แม้แต่กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยังหายใจไม่เป็นจังหวะ นั่นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกครึ่งเทพบนดินแดนเซียน ที่กําลังจับตามองมายังที่แห่งนี้ด้วยดวงตาฉายประกายกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อน ทั้งยังหันไปคารวะทางทิศที่ตั้งของนครจักรพรรดิเซิ่ง ด้วยความเคารพนบนอบ

ต่อให้เป็นกู่เทียนจวินเองก็ยังหน้าเปลี่ยนสีอยู่หลายที ก่อนที่เขาจะหลับตาลง พอลืมตาขึ้น อีกครั้ง ในดวงตาของเขาก็ไม่เหลือปราณสังหารและความเดือดดาลอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ที่หลงเหลืออยู่มีเพียงปราณแห่งความเยือกเย็นอย่างเดียวเท่านั้น

“สหายนักพรตป๋าย เชิญ!” กู่เทียนจวินเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นรัว เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดในน้ำเสียงจักรพรรดิเซิ่ง ขณะ เดียวกันในร่างของเขา ก็มีพลังความคิดเสี้ยวหนึ่งที่เคยปรากฏตอนเผชิญหน้ากับเวทแห่งเต๋าเทียนจุนของมารดาผี ซึ่งบัดนี้กําลังโคจรและว่ายวนไปทั่วกายเขาอย่างเงียบเชียบ เพื่อขับไล่ความรู้สึกที่ได้รับผลกระทบนี้ออกไป

“จักรพรรดิเซิ่งผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของตัวเองออกมา เพียงคลี่ยิ้มและหันไปคารวะน้อยๆ ให้กับทิศทางของนครจักรพรรดิเซิ่ง ก่อนจะหมุนตัว กลับเข้าไปยืนอยู่บนหัวเรือรบโดยไม่เอ่ยคําใด

กู่เทียนจวินมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชาปราดหนึ่ง ไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน เพียงจําแลงล่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่ทะยานตัวออกไปเบื้องหน้า พวกครึ่งเทพที่อยู่ตรงชายฝั่งก็สูดลมหายใจเข้าลึก ตอนที่แต่ละคนมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ก็บังเกิดความคิดที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้หลายส่วน

“คนผู้นี้ไม่เหมือนกับคนของโลกทงเทียนที่พวกเราเคยเจอมา!”

นี่เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดในหัวใจของครึ่งเทพแทบทุกคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อถอนสายตากลับมา พวกเขาก็ติดตามกู่เทียนจวินเพื่อนําทางให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเป็นทางการ

และการวางอํานาจที่มาพร้อมกับการหมิ่นเกียรติ แต่มากด้วยความเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ ก็ได้ถูกคลี่คลายลงด้วยคารมคมคายอันคมกริบของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นนี้

ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า นําทางเรือรบที่อยู่ด้านหลังไปจากมหาสมุทรหย่งเหิง เมื่อมาปรากฏตัวในถิ่นของนครจักรพรรดิเซิ่ง ก็มุ่งหน้าไปยังนครจักรพรรดิเซิ่ง ด้วยความยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่หวาดเกรงผู้ใด…ไปตลอดทาง

บรรยากาศหนักอึ้งมาพร้อมกับความเคร่งเครียด ไม่มีใครพูดอะไรกันไปตลอดทาง หนึ่งชั่วยามต่อมา อิทธิพลที่มาจากเสียงของจักรพรรดิเซิ่งถึงได้สลายไปจากร่างของราชาผียักษ์ ราชาผียักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จุดลึกในดวงตายังคงมีความตะลึงพรึงเพริดไม่จางหาย

“ตัวอยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่งที่ห่างไปไกลถึงเพียงนี้ ทว่าประโยคเดียวของเขาที่ส่งมา กลับทําให้ข้าผู้อาวุโสสติหลุดได้นานขนาดนี้!!”

ในใจของราชาผียักษ์เต็มไปด้วยความ ประหวั่นพรั่นพรึงสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของจักรพรรดิบุพกาลอย่างลึกซึ้ง

“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าเพิ่งเคยสัมผัสกับจักรพรรดิบุพกาลเป็นครั้งแรก ถึงได้เป็นเช่นนี้ แล้วก็โชคดีที่เจ้าเป็นคนของโลกทงเทียน หากเป็นประชาชนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่พลังความคิดของตนได้รับผลกระทบ เกรงว่าเวลาผ่านไปหลายวันก็คงไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้ แต่จะจมอยู่กับความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อนบางอย่าง จนสามารถทุ่มเททําทุกอย่างได้ด้วยความบ้าคลั่ง!”

กงซุนหว่านเอ๋อร์กล่าวพร้อมยิ้มบางๆ เดิมทีนางก็มีตบะเทียนจุนอยู่แล้ว แม้จะถูกปิดผนึก ทว่าขอบเขตของนางกลับยังคงอยู่ การดิ้นรนของเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าในร่างนาง รวมไปถึงการที่ เดิมทีนางก็เป็นนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิแส ล้วนทําให้การฟื้นตัวของนางที่แม้จะเทียบเคียงกับป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ แต่ก็ช้ากว่ากันไม่มากเท่าใดนัก

“เมื่อมีประสบการณ์ครั้งนี้แล้ว หากเจ้าเจอกับสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้ง ขอแค่จักรพรรดิบุพ กาลไม่ได้จงใจทําให้เป็น เจ้าก็ไม่มีทางรู้สึกรุนแรงอย่างครั้งนี้อีก”

หลังจากกงซุนหว่านเอ๋อร์พูดอธิบาย ก็หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ จุดลึกในดวงตานางมีประกายประหลาดเปล่งวูบ

นั่นเป็นเพราะนางมองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีความพิเศษมากกว่าผู้อื่น

“หรือจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ นั่นคือบนโลกนิรันดร์กาลใบนี้ คนที่มีฐานะทัดเทียมกับเขาได้จริงๆ มีเพียงจักรพรรดิใหญ่ทั้งสองท่านเท่านั้น…หรือเป็นเพราะวิชาการฝึกตนของเขา ที่ไม่ยินยอมให้เขาก้มหัวให้จักรพรรดิใหญ่ทั้งสองท่าน!”

ขณะที่กงซุนหว่านเอ๋อร์กําลังครุ่นคิด จิตใจของราชาผียักษ์ก็ค่อยๆ สงบลงได้ แล้วก็หันไปมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน เมื่อหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ เขาก็พลันรู้สึกว่าบางที…ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะกลายมาเป็นความหวังของโลกทงเทียนได้จริงๆ ก็เป็นได้

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของคนทั้งสองที่ส่งมาจากด้านหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่กระนั้นเมื่อความกดดันก่อนหน้านี้คลายลง ความลําพองใจกลับยังคงผุดขึ้นมาตามความเคยชิน

แต่พอนึกถึงความแข็งแกร่งของสองราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่รวมไปถึงขอบเขตบุพกาลของสองจักรพรรดิ์ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอีกครั้ง

“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าจะรู้สึกกดดันทุกครั้งที่คิดถึงแบบนี้ วันหน้าจะปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้อย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ขณะที่กําลังใคร่ครวญ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาบ เพราะคิดอะไรดีๆ ออก

“อันที่จริงชื่อของสองราชวงศ์นี้ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ราชวงศ์จักรพรรดิแส ก็คือ มันปูไม่ใช่หรือ!” (ออกเสียงคล้ายกัน ราชวงศ์จักรพรรดิแส ออกเสียงว่าแสหววฺง ส่วนมันปูออกเสียงว่าแซ่หววฺง)

“แล้วก็ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง..หอยกาบ?” พอคิดอย่างนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันรู้สึกว่า แรงกดดันที่สองราชวงศ์ใหญ่นี้มอบให้ตนลดฮวบลงไปหลายส่วน เขาจึงอดหันกลับมามองกงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่ได้

“หว่านเอ๋อร์ ราชวงศ์มันปูของพวกเจ้าชอบกินปูกันหรือ?”

“หา?” กงซุนหว่านเอ๋อร์งงงัน ไม่ทันเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย แต่พอนางทําความเข้าใจได้ ก็ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุดัน ความรู้สึกผิดปกติก่อนหน้านี้พังทลายลงไปในบัดดล นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่นางได้ยินคนเรียกราชวงศ์จักรพรรดิแสว่า ราชวงศ์มันปู

พอถูกกงซุนหว่านเอ๋อร์ถลึงตาใส่เช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเกรงๆ เล็กน้อย จึงรีบหันกลับมาเอามือไพล่หลัง วางท่าเย่อหยิ่งต่อไป พลางมองทัศนียภาพที่อยู่เบื้องล่าง

ตลอดทางที่ผ่านมา เขามองเห็นเทือกเขาจํานวนนับไม่ถ้วน เห็นแม่น้ำใหญ่สายแล้วสายเล่า รวมไปถึงนครดารดาษ..สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของนครจักรพรรดิเซิ่ง เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ สถานที่ที่เขามาถึงหลังออกมาจากมหาสมุทรหย่งเหิงก็คือ ดินแดนเซียนอันเป็นที่ตั้งของนครจักรพรรดิเซิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นพอเวลาผ่านไปได้หลายวันและพื้นที่ทุ่งราบบนแผ่นดินยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดยามสนธยาของวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองไกลๆ ไป เห็นภูเขายักษ์น่าครั่นคร้ามลูกหนึ่ง!

เมื่อภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ราบจึงทําให้มันสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด ความใหญ่โตของมันมากพอจะเขย่าคลอนนภากาศ ต่อให้อยู่ห่างไปไกลมากก็ยังมองเห็นเค้าโครง รูปร่างที่สมบูรณ์แบบของมันได้อย่างชัดเจน

สามารถพูดได้ว่า นี่คือภูเขาใหญ่ที่น่าตะลึงที่สุดเท่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยได้เห็นมาในชีวิตนี้ ขนาดของมันกินอาณาเขตไปถึงครึ่งหนึ่งของเขตการปกครอง เท่ากับครึ่งหนึ่งของโลกทงเทียนเลยทีเดียว!

หากคนธรรมดาเริ่มขึ้นจากตีนเขาขึ้นมา ใช้เวลาทั้งชีวิตนี้คงปีนได้ไม่ถึงยอดเขา!

และหากจะพูดว่ามันสูงจนทอดติดกับนภากาศก็ยังไม่เกินไปแม้แต่น้อย!

และด้านบนสุดของภูเขาที่สูงราวกับไร้ที่สิ้นสุดลูกนี้ ท่ามกลางชั้นเมฆไม่มียอดเขา แต่มีบ่อสวรรค์ขนาดมหึมาบ่อหนึ่ง!

ภูเขาใหญ่สะท้านฟ้า บ่อสวรรค์นี้เล็กกว่าอยู่หลายเท่า ทว่าก็ยังคงยิ่งใหญ่ไพศาล มีไอหมอก ลอยกรุ่นออกมาจากในบ่อน้ำแล้วไปผสานรวมกับชั้นเมฆรอบด้าน ทําให้สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนดินแดนแห่งเซียนที่แท้จริง

โดยเฉพาะในบ่อสวรรค์นั่นยังมีใบบัวอีกเป็นจํานวนมาก ใบบัวแต่ละใบใหญ่ราวกับเกาะแห่งหนึ่ง เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าบนใบบัวทุกใบล้วนมีสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่หลายหลัง!

ไม่ได้ทํามาจากทองคําเหลืองอร่าม ทว่ากลับเป็นวิหารอาคารที่วิจิตรงดงาม เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน!

ใบบัวมีมากหลายพันใบ กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ บนบ่อน้ำ และจุดศูนย์กลางที่ถูกใบบัวเหล่านี้โอบล้อมเอาไว้ ก็คือดอกบัวดอกหนึ่งที่มีขนาดมโหฬารเกินจะเปรียบ!

ดอกบัวนี้ชูช่อบานสะพรั่งโดดเด่น ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้คนลุ่มหลง และตรงเกสรดอกบัวก็มี…พระราชวังหลังหนึ่ง…ที่ขาวพิสุทธิ์ราวกับหยกเนื้อดี!!

นําดอกบัวมาทําเป็นพระราชวัง ใบบัวคือนครที่ห้อมล้อมซึ่งพอประกอบเข้าด้วยกัน ก็กลายมาเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง นครจักรพรรดิเซิ่ง!

นครเช่นนี้อยู่เหนือจินตนาการของป๋ายเสี่ยวฉุนไปอย่างสิ้นเชิง เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะ มีภูเขาใหญ่ขนาดนี้ มีนครแบบนี้อยู่ในบ่อสวรรค์เช่นนี้ได้?

ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น ที่สะท้านสะเทือน ราชาผียักษ์ก็ยิ่งเป็นเช่นเดียวกัน ตอนที่มองไปเห็นบ่อสวรรค์แห่งนั้นไกลๆ เขาก็ถึงกับอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าเมื่อเปรียบเทียบกับที่แห่งนี้แล้ว ทุกสิ่งที่อยู่ในโลกทงเทียนกลับล้าสมัยไปอย่างสิ้นเชิง

มีเพียงกงซุนหว่านเอ๋อร์เท่านั้นที่สีหน้าเป็นปกติ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างในนครจักรพรรดิเซิ่งแห่งนี้ เป็นสิ่งที่นางรู้อยู่แล้ว และสําหรับนาง หากเอานครจักรพรรดิเซิ่งมาเปรียบเทียบกับ นครหลักของราชวงศ์จักรพรรดิแส นครจักรพรรดิแสก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่นัก

พอสังเกตเห็นท่าทางตะลึงงันของป๋ายเสี่ยวฉุน กู่เทียนจวินที่นําทางอยู่เบื้องหน้ามีสีหน้า เป็นปกติ ทว่าพวกครึ่งเทพที่อยู่รอบๆ กลับมีสีหน้าภาคภูมิใจ นครจักรพรรดิเซิ่งคือสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา แล้วก็เป็นความภาคภูมิใจของพวกเขาเช่นกัน

ยามนี้เมื่อเรือรบขยับเข้าไปใกล้ สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สังเกตไปเห็นว่าในบ่อน้ำของบ่อสวรรค์ คล้ายจะมีปลามังกรหลายตัวที่กําลังแหวกว่ายอย่างอิสระเสรี พวกมันแผ่กลิ่นอายของความสูงศักดิ์ บางครั้งปลามังกรพวกนี้ก็กระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เกล็ดสีทองที่พออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ก็สาดสะท้อนประกายแสงพริบพราว

ทําให้ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยเกลียวเมฆ ยิ่งงดงามเหนือไปกว่าดินแดน แห่งเซียน!

ยามนี้พวกนักพรตที่อาศัยอยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งต่างก็สังเกตเห็นว่า บนท้องฟ้ามีกลุ่มคนและเรือรบกิ้งก่ากระดูกขาวอันน่าครั่นคร้ามทะยานผ่านมา

สายตาของแต่ละคนพลันหันมามอง โดยเฉพาะในวังหลวงที่มีขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสํานักหลายพันคน ซึ่งถูกจักรพรรดิเซิ่งเรียกตัวมาคล้ายกําลังประชุมขุนนาง บัดนี้แต่ละคนต่างก็เงยหน้าขึ้น สายตาบางคนฉายความใคร่รู้ บางคนสายตาคมกริบ และบางคนก็ยิ่งมองด้วยสายตา ที่เหมือนผู้ปกครองแคว้นใหญ่มองประชาชนของแคว้นเล็กๆ ที่ยากจน

และเวลานี้เอง เมื่อพวกป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้ามาใกล้นครจักรพรรดิเซิ่ง เสียงหวีดแหลมเสียงหนึ่ง ที่ดังจากในวังหลวงก็พลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

“จักรพรรดิเซิ่งมีราชโองการ เรียกพบป๋ายเสี่ยวฉุน ผียักษ์นักพรตแห่งโลกทงเทียนให้ไป เข้าเฝ้าในวังหลวง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version