บทที่ 1226 เริ่มการเดินทางแห่งห้วงจักรวาล
พอถูกกงซุนหว่านเอ๋อร์จับมือไว้ด้วยสีหน้าอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม รวมไปถึงประกายประหลาดเหมือนมีเหมือนไม่มีในดวงตานาง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เหมือนกลายมาเป็นตะขอตัวหนึ่ง…
นี่คือความรู้สึกที่ตรงที่สุดของป๋ายเสี่ยวฉุน ตะขอนี้เหมือนบินออกมาจากในร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์แล้วพุ่งเข้าสู่ร่างของตนเพียงชั่วพริบตา จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนกลับออกจากถ้ำของกงซุนหว่านเอ๋อร์มาถึงห้องลับของตัวเอง เขาก็ยังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อยู่ไม่เลิก
“ตอนที่ตบะของกงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ฝ่าทะลุ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ จนมารดาผีคว้าโอกาสไว้ได้ หรือว่า…เป็นความจงใจของนางกันแน่?”
ปัญหาข้อนี้ไม่มีคำตอบสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน
แต่จากความเข้าใจที่เขามีต่อกงซุนหว่านเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ในสันนิษฐานข้อหลังจะมีอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ
วางความวุ่นวายที่หาคำตอบไม่ได้ลง ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับพักใหญ่ถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง เรียกเอาวิญญาณจำนวนมากออกมาแล้วเริ่มทดลองหลอมไฟยี่สิบสามสี
ไฟยี่สิบสามสีที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่าทั่วทั้งห้วงจักรวาลชนิดนี้ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าที่เดินมาได้ไกลที่สุดบนเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์สายนี้ ทั้งยังมีพรสวรรค์ของป๋ายฮ่าวในอดีตคอยช่วยปูทางให้ราบรื่น
ทว่าเขาก็ยังต้องใช้เวลานานหลายปีถึงจะค่อยๆ สร้างตำหรับหลอมไฟยี่สิบสามสีออกมาได้สำเร็จ ต่อให้ตอนนี้ในสมองของเขาจะมีการอนุมานมาแล้วหลายครั้ง แต่หากจะให้ลงมือหลอมอย่างแท้จริง เขากลับยังไม่ค่อยมีความมั่นใจสักเท่าใดนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิญญาณอยู่ไม่มากนัก เท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนได้มาจากพัดวิเศษ จากการคำนวณของป๋ายเสี่ยวฉุน จำนวนของวิญญาณเหล่านี้มากพอแค่ให้เขาหลอมแบบจำกัดจำเขี่ยแค่สี่ครั้งเท่านั้น หากล้มเหลวหมดทั้งสี่ครั้ง เขาก็ไม่เหลือวิญญาณให้ใช้อีกต่อไป
ยังดีที่นับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์จักรพรรดิขุยเป็นต้นมา บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางกฎเกณฑ์บางอย่างที่แม้แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่เข้าใจ เป็นเหตุให้ในอาณาบริเวณที่อยู่ในครอบครองของราชวงศ์จักรพรรดิขุยเริ่มเหมือนโลกทงเทียนในอดีต นั่นคือมีวิญญาณบางส่วนปรากฏตัวขึ้น และเมื่ออยู่ภายใต้คำสั่งของป๋ายเสี่ยวฉุน อาจารย์หลอมพลังจิตทุกคนของราชวงศ์จักรพรรดิขุยจึงพากันระดมกำลังออกไปค้นหาและรวบรวมวิญญาณประเภทต่างๆ ที่ปรากฏตัว
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ จำนวนของวิญญาณที่ได้มาก็ยังไม่มากอยู่ดี เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วก็แค่พอจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามาหลอมได้ครั้งเดียวเท่านั้น
“มีโอกาสแค่ห้าครั้งงั้นหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดอยู่นาน มองวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า ในสมองก็วิเคราะห์ตำรับไฟหลายสีซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่ดวงตาจะฉายแววเฉียบขาด ครั้นแล้วจึงลงมือหลอมวิญญาณโดยไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป
ไม่นานเมื่อวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนล้อมวนเวียนอยู่รอบกายเขาอย่างต่อเนื่องจนเริ่มมองเห็นลางว่าจะกลายเป็นไฟหลายสี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทุ่มสมาธิทั้งหมดจมจ่อมอยู่กับมัน ไม่กล้าวอกแวกแม้แต่น้อย ทว่าพอหลอมไปได้เจ็ดวัน เขาก็หน้าเปลี่ยนสี ยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราแล้วกดลงไป อาศัยตบะข่มพลังของเปลวเพลิงขุ่นมัวที่ทำท่าจะระเบิดอยู่ตรงหน้า
เสียงของการบีบอัดทุ้มหนักดังอื้ออึงไปทั่ว ยังดีที่ตอนนี้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งมากพอ เมื่อถูกเขากำราบเต็มกำลังเปลวเพลิงจึงไม่แลบลามไปที่อื่น เพียงแต่เมื่อมองเห็นไฟขุ่นมัวค่อยๆ มอดดับลง สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่น่ามองอย่างยิ่ง เขาซึมนิ่งอยู่นาน ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ในสมองก็วิเคราะห์และอนุมานไปอย่างไม่หยุดยั้ง
การอนุมานครั้งนี้ของเขากินเวลาหลายเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมกินลืมนอน จมจ่อมอยู่กับมันทั้งกายและใจ ตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง จนกระทั่งแน่ใจว่าปัญหาของความล้มเหลวก่อนหน้านี้คลี่คลายลงได้แล้วจึงเริ่มลงมือหลอมเป็นครั้งที่สอง!
ยังคงล้มเหลว!
ต่อมาก็เป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่…
ทุกครั้งหลังจากล้มเหลว ป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องใช้เวลานานมากในการแก้ไขปัญหา จนกระทั่งวันนี้ที่ใกล้จะลงมือหลอมเป็นครั้งที่ห้า เวลาก็ผ่านไปแล้วถึงสามปี!
ต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวยิ่งซุกซนมากกว่าเดิม
การพัฒนาของราชวงศ์จักรพรรดิขุยเป็นไปอย่างรุ่งโรจน์ไม่หยุดยั้ง ขณะเดียวกันเวลาสามปีมานี้ ตบะของราชาชิงชัยก็ได้ฝ่าทะลุ แล้วก็เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเทียนจุนโดยอาศัยพลังของตัวเองคนเดียวเฉกเช่นต้าเทียนซือ!
บัดนี้จำนวนเทียนจุนของราชวงศ์จักรพรรดิขุยเพิ่มขึ้นเป็นสี่ท่านแล้ว! ตำแหน่งฐานะของทั้งราชวงศ์ก็ถูกยกขึ้นสูงอีกระดับใหญ่เช่นกัน!
และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มหลอมวิญญาณเป็นครั้งที่ห้า!
นี่คือโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว หากล้มเหลว เขาก็ไม่เหลือวิญญาณให้เอามาใช้อีกต่อไป จำเป็นต้องไปค้นหาและรวบรวมวิญญาณมาให้ได้มากพอถึงจะหลอมได้ต่อ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ยอมให้ตัวเองทำพลาดเด็ดขาด หลังจากที่สรุปบทเรียนสี่ครั้งก่อนหน้านี้มาแล้ว ครั้งนี้เขาจึงมีความมั่นใจถึงเจ็ดส่วนว่าจะหลอมไฟยี่สิบสามสีได้สำเร็จ!
ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์เอาไว้ หลังจากผ่านการหลอมวิญญาณอย่างระมัดระวังมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม วินาทีที่วิญญาณทั้งหมดถูกเขาเอามาใช้จนเกลี้ยงฉาด เปลวเพลิงขุ่นมัวเบื้องหน้าของเขาก็พลันปรากฏสีสันหลากหลาย แล้วจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายพอกลายมาเป็นยี่สิบสามสี
ปราณยิ่งใหญ่เกรียงไกรจนมิอาจมีคำมาบรรยายขุมหนึ่งก็ระเบิดตูมออกมาจากในห้องลับของป๋ายเสี่ยวฉุน!
ท่วมท้นถะถั่ง ความแข็งแกร่งของปราณนี้ แม้แต่ค่ายกลของห้องลับก็มิอาจกักกั้นเอาไว้ได้ พริบตาเดียวมันก็ทะลวงออกไป ทั้งยังฝ่าทะลุค่ายกลของวังหลวง แม้แต่ค่ายกลของนครจักรพรรดิขุยเองก็ยังยากที่จะข่มกำราบ เป็นเหตุให้ปราณนี้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยตรง!
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ก้อนเมฆก็เหมือนจะมีสีสันใหม่เพิ่มเติมเข้ามา นภากาศทั้งผืนกลายมามีห้าแสงหกสี สุดท้ายก็กลายมาเป็นทะเลเพลิงมายาผืนมหึมา การเปลี่ยนแปลงของไฟยี่สิบสามสีเห็นเด่นชัดมากเป็นพิเศษ!
มองไกลๆ สีสันดารดาษพร่างพราวจับตา และที่ยิ่งทำให้ผู้คนสะท้านสะเทือนก็คือเมื่อปราณของไฟยี่สิบสามสีแผ่ออกมา ร่างของนักพรตสายเลือดโลกทงเทียนทั้งหมดในนครจักรพรรดิขุยต่างก็สั่นเทิ้มอย่างที่มิอาจควบคุม ราวกับว่าสายเลือดของพวกเขาได้เดือดพล่านขึ้นมา เนื่องจากการระเบิดของไฟยี่สิบสามสีซึ่งเป็นของโลกทงเทียนโดยเฉพาะนี้
“นั่นคือ…”
“นี่คือไฟหลายสี?”
“สวรรค์ นี่มัน…ไฟยี่สิบสามสี!!”
เสียงฮือฮาระเบิดออกมาจากในนครจักรพรรดิขุยเป็นระลอก แล้วแพร่สะพัดไปทั่วอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนทั่วทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยได้ยินเรื่องนี้ก็พากันสะทกสะท้าน ครั้นแล้วเสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังกระหึ่มเขย่านภา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและยินดี มองไฟยี่สิบสามสีที่อยู่ในมือ จิตใจของเขาก็มิอาจสงบลงได้ เพราะว่าวินาทีที่ไฟยี่สิบสามนี้ปรากฏขึ้น เขาก็สัมผัสได้ว่าตราประทับของป๋ายฮ่าวบนหลังมือของตนซึ่งเดิมทีแผ่ริ้วคลื่นที่อ่อนจางมาก จู่ๆ คลื่นปราณนั้นก็ลิงโลดขึ้นมา
ราวกับว่าไฟยี่สิบสามสีนี้ช่วยเหลือป๋ายฮ่าวได้อย่างมหาศาล!
ท่ามกลางความปิติยินดี ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม ครั้นแล้วเขาก็ลองทำตามลางสังหรณ์ของตัวเองโดยค่อยๆ ผสานรวมไฟยี่สิบสามสีเข้ากับตราประทับของป๋ายฮ่าวบนหลังมือตัวเอง!
และเมื่อไฟและตราประทับทับซ้อนเข้าด้วยกัน ริ้วคลื่นที่อยู่ในตราประทับของป๋ายฮ่าวก็ยิ่งดุเดือด ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบระรัว ต้องรู้ว่าความคิดที่ว่าไฟหลายสีจะช่วยให้ป๋ายฮ่าวฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้นั้นเป็นเพียงแค่การอนุมานและการคาดเดาของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น
เขาไม่ได้มีหลักฐานแน่นอนอะไรมาพิสูจน์การวิเคราะห์ของตัวเอง แต่วันนี้…เมื่อไฟยี่สิบสามสีผสานรวมกับตราประทับ เมื่อริ้วคลื่นในตราประทับของป๋ายฮ่าวกระเพื่อมรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดลางสังหรณ์อย่างหนึ่งที่แรงกล้าอย่างถึงที่สุด!
“หากมีไฟสามสิบสีผสานเข้าไปในตราประทับของฮ่าวเอ๋อร์ ถ้าเช่นนั้น…ฮ่าวเอ๋อร์ก็จะสามารถฟื้นคืนชีพในไฟสามสิบสี!!”
พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงป๋ายฮ่าว ในใจของเขาก็มีความเจ็บปวดรวดร้าว ประหนึ่งหัวใจถูกคว้านเมื่อครั้งที่ป๋ายฮ่าวจากไปผุดขึ้นมา
นั่นคือลูกศิษย์ของเขา ลูกศิษย์เพียงคนเดียวในชีวิตนี้ของเขา!
ท่ามกลางความเงียบงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สัมผัสได้ว่า ไฟยี่สิบสามสีได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับตราประทับบนหลังมืออย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เขาก็พลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว!
ก่อนหน้านี้ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความเป็นไปได้ที่ว่าไฟหลายสีจะชุบชีวิตป๋ายฮ่าวได้ แต่วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจอย่างถึงที่สุดแล้ว ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่วางรออยู่ตรงหน้าของเขาก็มีเพียงเส้นทางเดียว!
“ข้าต้องการวิญญาณมากกว่าเดิม!”
สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเครียดขรึม เขาไม่มีวิญญาณเหลืออยู่แล้ว และวิญญาณบนพัดวิเศษก็หมดเกลี้ยงเช่นกัน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่ายังมีอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีวิญญาณมากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่สิ้นสุด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองนภากาศ ราวกับว่าสายตาของเขาสามารถทะลวงผ่านท้องฟ้าไปเห็นทั้งห้วงจักรวาลได้!
“ในห้วงจักรวาลที่มืดมิดมีฝุ่นผงและซากปรักหักพังอยู่นับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มี…วิญญาณไร้ที่สิ้นสุดอยู่ด้วย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ อันที่จริงตลอดหลายปีนับแต่สถาปนาราชวงศ์ขึ้นมา ก็มีน้อยครั้งที่เขาจะกลับไปยังพัดวิเศษ และบางครั้งที่กลับไปก็แค่เพื่อจะดูว่า ซ่งเชวียฟื้นแล้วหรือยังเท่านั้น
แต่วันนี้เมื่อแน่ใจในวิธีที่จะนำมาใช้ชุบชีวิตป๋ายฮ่าวแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจได้ทันที!
“อาศัยพัดวิเศษที่ทะยานไปท่ามกลางห้วงจักรวาล หลอมไฟพลางเก็บรวบรวมวิญญาณไปด้วย จนกระทั่งหลอมไฟสามสิบสีและชุบชีวิตให้ฮ่าวเอ๋อร์ได้สำเร็จ!”
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กวาดอำนาจจิตมองไปยังที่พักของพวกซ่งจวินหว่านในวังหลวง เขาไม่เพียงแต่มองเห็นพวกนาง ยังมองเห็นต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวด้วย
ยังดีที่ครั้งนี้อาจดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเดินทางไกล แต่ในความเป็นจริงแล้วหากมีเรื่องเกิดขึ้นในราชวงศ์จักรพรรดิขุย การนำส่งบนพัดวิเศษจะทำให้เขาหวนคืนกลับมาได้ในเสี้ยววินาที เพียงแต่ว่าเขาจำเป็นต้องทิ้งอำนาจจิตกลุ่มหนึ่งไว้ในห้องลับแห่งนี้ เพื่อที่ว่าเมื่อจากไปแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ไปบอกให้พวกซ่งจวินหว่านรู้ถึงการตัดสินใจของตน เขาเพียงแต่ยกนิ้วขวาขึ้นชี้กลางหว่างคิ้ว ทันใดนั้นร่างก็เกิดเงามายาทับซ้อน ไม่นานเมื่อเขาใช้อำนาจจิตสร้างร่างแยกที่เป็นภาพมายาขึ้นมาสำเร็จ ร่างแยกนี้ก็เดินออกจากร่างจริง แล้วนั่งลงขัดสมาธิแน่นิ่งไม่ขยับ
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่มีความลังเลก็ขยับร่างหายตัววับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง… เขาก็มาอยู่บนพัดวิเศษที่กำลังทะยานไปกลางห้วงจักรวาลมืดมิดแล้ว!
และเริ่มการเดินทางเพื่อค้นหาวิญญาณ ท่ามกลางห้วงจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลของตัวเองทันที!



