บทที่ 303 รบหลินมู่!
ปล่อยให้ค่ายกลกระบี่ของสำนักธาราทมิฬลงมือติดต่อกันถึงสองครั้ง สำหรับผู้อาวุโสไท่ซ่าง อังคุฐโลหิต และผู้สืบทอดของสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพแล้ว นี่ก็คือการถูกฉีกหน้าอย่างหนึ่ง!
โดยเฉพาะสำนักธาราโลหิต ความสำคัญของป๋ายเสี่ยวฉุน เห็นได้อย่างเด่นชัดในสนามรบแห่งนี้ ทำให้ตบะในการรบของพวกเขาทุกคนเพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย หากป๋ายเสี่ยวฉุนตายไป สำนักธาราโลหิตก็จะถูกโจมตีจนกลับคืนสู่สภาพเดิม มีหรือที่พวกเขาจะยินยอม เวลานี้ผู้อาวุโสไท่ซ่างและอังคุฐโลหิตของสำนักธาราโลหิตต่างพากันร่ายท่าไม้ตาย ไม่เพียงแต่บีบให้คนระดับต่างๆ ของสำนักธาราทมิฬต้องถอยร่น ทั้งยังฆ่าเข้าไปยังค่ายกลกระบี่ด้วย!
ยังมีนักพรตรวมโอสถของสำนักธาราเทพที่เป็นเช่นเดียวกัน หลี่ชิงโหวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ก่อนหน้านี้เขาเห็นกับตาตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเสี่ยงตายถึงสองครั้ง ใจเขาร้อนรน เวลานี้จิตสังหารในดวงตาเปล่งวาบ เมื่อลงมือ รอบด้านมีพืชหญ้าแปลงออกมา พุ่งเข้าประหัตประหารกับค่ายกล
ภายใต้การทำลายล้างด้วยพลังที่แข็งแกร่งของนักพรตรวมโอสถเทพโลหิตสองสำนัก ผู้แข็งแกร่งรวมโอสถของสำนักธาราทมิฬจึงถอยร่นต่อเนื่อง ค่ายกลกระบี่มิอาจแบ่งพลังพุ่งเป้าไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อีก ทำได้เพียงฝืนต้านทานทุกคนเอาไว้
ความกดดันของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันคลายลง ทว่าเขาเป็นคนแค้นฝังใจ…ความเสี่ยงสองครั้งเมื่อครู่นี้ทำให้โทสะของเขาโหมกระหน่ำอยู่นานแล้ว แม้จะรู้ว่านี่คือสนามรบ ไม่มีใครผิดใครถูก ต้องมีทั้งคนเป็นคนตาย ทว่าเขาก็ยังข่มกลั้นความกลัวตายเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
“พวกเจ้าคิดจะฆ่าข้าก่อน…รังแกกันเกินไปแล้ว บุรพาจารย์ของพวกเจ้าลงมือต่อข้า แม้แต่ค่ายกลใหญ่ของสำนักก็ยังคิดจะฆ่าข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว นักพรตหลายหมื่นคนที่อยู่รอบกายพร้อมใจกันร้องคำรามเสียงดัง ดุจดั่งน้ำขึ้นน้ำลงที่พุ่งตรงเข้าโถมทับเบื้องหน้า ทุกที่ที่ผ่าน สำนักธาราทมิฬยากจะต้านทาน ถอยกรูดต่อเนื่อง หมายจะพึ่งพิงเทือกเขาด้านหลัง
เขตแนวหน้าเขตอื่น แม้จะไม่รุนแรงเท่าด้านของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็ได้เปรียบอย่างถึงที่สุด เคลื่อนหน้าไม่หยุดยั้ง ความพ่ายแพ้ของสำนักธาราทมิฬได้กลายมาเป็นสถานการณ์ที่ยากจะพลิกฟื้นขึ้นมาได้อีก
เวลานี้นักพรตจำนวนไม่น้อยของสำนักธาราทมิฬถึงที่ว่าแม้แต่จะตอบโต้ก็ยังลังเล ที่พวกเขาไม่เลือกยอมแพ้ตอนนี้ก็เพียงเพราะประตูสำนักยังอยู่ สามารถจินตนาการได้ว่า หากประตูสำนักพังทลาย…ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ต้องพังทลายไปพร้อมกันก็คือจิตใจของลูกศิษย์จำนวนมากมายของสำนักธาราทมิฬ
ถึงเวลานั้น การยอมแพ้…ก็จะกลายมาเป็นทางเลือกเดียว มิฉะนั้นก็ต้องล่มสลาย!
เวลานี้ความลังเลในการตอบโต้อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ในใจของนักพรตสำนักธาราทมิฬจำนวนไม่น้อยถึงขั้นมีความคิดว่า…ต้องการให้สงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็ว ต้องการให้เทพโลหิตสองสำนักโจมตีประตูสำนักได้เร็วๆ …
เพราะยังไงซะ…ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแบบนี้ ก็ไม่มีคนมากมายนักที่ยังคงเลือกเส้นทางดับชีวิตตัวเอง!
เสียงสงครามเขย่าฟ้าสะเทือนดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเทือกเขา มองเมืองคูน้ำบนเทือกเขา มองนักพรตสำนักธาราทมิฬที่ถอยหลังต่อเนื่อง ขณะที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้าบุกเข้าฆ่าในเมืองคูน้ำแห่งนี้ ทันใดนั้น…เมืองแห่งนี้พลันสั่นสะเทือน ในม่านแสงคุ้มกัน มีร่างของนักพรตสำนักธาราทมิฬจำนวนมากถลาพรวดออกมา
นักพรตเหล่านี้คือกำลังเสริมที่สำนักธาราทมิฬเตรียมเอาไว้ เวลานี้สงครามได้มาถึงช่วงตัดสินความเป็นความตายแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้อีก ทั้งหมดจึงบุกออกมาพร้อมกัน แม้จะมีแค่ไม่กี่หมื่นคน ทว่ามองดูแล้วกลับแน่นขนัดมืดฟ้ามัวดิน ทั้งยังมีหุ่นเชิดสีดำจำนวนไม่น้อยพุ่งตรงเข้าเข่นฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน
วินาทีที่ทั้งสองฝ่ายกระโจนเข้าใส่กัน เสียงคำรามแหบแห้งดังสนั่น เวทคาถาอึกทึกครึกโครม แสงของอาวุธวิเศษมากมายพลันกลายมาเป็นกระแสคลื่นไร้ที่สิ้นสุดแผ่ขยายไปทั่วฟ้าดิน
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนบัดนี้ตาแดงฉาน ร่างปีศาจฟ้ากระโดดผลุงขึ้นไปเปิดศึกกับหุ่นเชิดสีดำสองตัว ชนาเขย่าภูเขา ตรวนสลายลำคอ ลมปราณม่วงแปลงกระถาง ทั้งยังมีกระบี่โลหิตตวัดฟัน พร่าผลาญไปตลอดเส้นทาง มือเขาคว้าหุ่นเชิดสีดำตัวหนึ่งเอาไว้ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียม ใช้หัวโหม่งกระแทกลงไปอย่างแรง
ตูมๆๆ!
การกระแทกโจมตีนี้ทำให้หุ่นเชิดสีดำตัวสั่น ด้านในมีเสียงร้องโหยหวนของนักพรตสำนักธาราทมิฬมากมายที่ควบคุมหุ่นเชิดสีดำดังลอยมา ทั้งยังมีเสียงปริแตกดังเปรี๊ยะๆ แผ่ขยายไปทั่วร่างของหุ่นเชิดสีดำตัวนี้อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าหุ่นเชิดสีดำอีกตัวจะโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่คลายมือแม้แต่นิด ชนกระแทกตลอดเส้นทาง เสียงกึกก้องดังไปตลอดทาง และก็แค่เวลาชั่วเจ็ดแปดลมหายใจเท่านั้น เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง หุ่นเชิดสีดำตัวนั้นที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับเอาไว้ก็พังทลาย แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนตัวขวับ ดวงตาของปีศาจฟ้าเผยความกระหายเลือด
หุ่นเชิดสีดำที่อยู่ด้านหลังเขาตัวนั้น บัดนี้ร่างสั่นเยือก คล้ายกริ่งเกรงสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ถอยหลังว่องไว ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง วินาทีที่หุ่นนั่นก้าวถอย เขาก็พุ่งพรวดไล่ตาม เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วเบิกโพลง พลังควบคุมระเบิดออกโดยตรง ไม่ได้พยายามควบคุมทั้งร่างของหุ่นเชิดตัวนี้ แต่ควบคุมแค่ขาข้างหนึ่งของมัน!
วินาทีที่มองไปยังขาข้างนั้น ฝีเท้าของหุ่นเชิดชะงักกึก ชั่วครู่ที่หยุดลงแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทว่าแค่นั้นก็พอแล้วสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาสะบัดร่างหนึ่งครั้ง ไล่ตามออกไป อาศัยพลังโจมตีร่ายชนาเขย่าภูเขา ความเร็วปะทุพรวดพราด เร็วเกินกว่าสายฟ้าแลบ ชนโครมลงบนร่างหุ่นเชิดสีดำตัวนี้โดยตรง
การชนครั้งนี้ ในร่างหุ่นเชิดสีดำมีเสียงโหยไห้ฟังไม่ได้ศัพท์ดังลอยมา ถูกชนจนร่างย่อยยับไปครึ่งหนึ่ง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พร่าเลือนลงเล็กน้อย มือขวาของเขายกขึ้นคว้าจับไปที่ลำคอของหุ่นเชิดสีดำ หมายจะบีบลงไปแรงๆ
ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบดังเข้ามาในหูของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ยังจำข้าผู้แซ่หลินได้หรือไม่!”
เมื่อเสียงนั้นดังสะท้อน ในเมืองคูน้ำพลันมีหุ่นเชิดสีม่วงตัวหนึ่งบินออกมา หุ่นเชิดสีม่วงนี้ต่างไปจากสีดำอย่างเห็นได้ชัด ทั่วร่างฝังไว้ด้วยใบหน้าจำนวนนับไม่ถ้วน ใบหน้าเหล่านั้นราวกับมีชีวิตจริง แม้ทั้งหมดจะหลับตา แต่กลับเผยสีหน้าเจ็บปวด
และหุ่นเชิดนี้ก็ไม่ได้สูงมากนัก แค่ประมาณห้าสิบจั้งเท่านั้น ผู้ที่ควบคุมมีเพียงเก้าคน คนที่พูดก็คือชายหนุ่มผมดำผู้หนึ่งที่อยู่ตรงกลาง!
ชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาเย็นชา เพียงแต่ใบหน้ากลับเป็นรูปหยินหยางครึ่งขาวครึ่งดำ มองดูแล้วพิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด เวลานี้นัยน์ตาเย็นเยียบกำลังมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน!
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนลุกเรือง ตอนที่มองไป วินาทีที่ประสานสายตากับชายหนุ่มคนนั้น เขาก็จำอีกฝ่ายได้ทันที…คนผู้นี้ก็คือเงาที่ปรากฏอยู่ในน้ำวนตอนที่เขาฆ่าฟางหลินแห่งสำนักธาราโอสถในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตปีนั้น!
ปีนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ทว่าหลังจากไปอยู่สำนักธาราโลหิต เมื่อสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถเปิดศึกกัน ชื่อเสียงของคนผู้นี้ก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา คล้ายเดินอออกมาจากเงามืด แล้วปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าทุกคน
เขา…ก็คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโอสถ หลินมู่ ทั้งยังทรยศต่อสำนักธาราโอสถมาเข้าพวกกับสำนักธาราทมิฬ กลายเป็นลูกศิษย์ของบุรพาจารย์คนหนึ่งในสำนักธาราทมิฬ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ ทุกคนวิพากวิจารณ์กันไปหลากหลาย และยังมีคนพูดกันว่าคนผู้นี้เดิมทีก็เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดลับของสำนักธาราทมิฬที่ถูกส่งตัวมายังสำนักธาราโอสถเพื่อเป็นสายลับ
คำพูดแบบใดล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้คนผู้นี้เป็นตัวแทนของ…สำนักธาราทมิฬ!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่คนทั้งสองสบตากัน หุ่นเชิดสีม่วงที่หลินมู่ควบคุมกระโดดผลุงขึ้นบนเมืองคูน้ำ กลายร่างเป็นรุ้งยาวสีม่วง ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงครั่นครืน
ความเร็วนั้นทำให้เข้ามาใกล้ในพริบตาเดียว
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย มือขวาบีบลงไปบนลำคอของหุ่นเชิดสีดำตัวนั้นอย่างแรงโดยไม่ลังเล เมื่อลำคอของมันหักท่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แผ่ตบะเข้าไปในร่างของหุ่นเชิด หลังจากฆ่าผู้ควบคุมทั้งหมดได้แล้ว เขาก็ขว้างศีรษะขนาดยักษ์ของหุ่นเชิดตัวนั้นใส่หุ่นเชิดสีม่วงที่กำลังเข้ามาใกล้เต็มแรง
ศีรษะของหุ่นเชิดสีดำบินออกมาพร้อมเสียงกรีดผ่าอากาศ ชั่วขณะที่เข้าไปใกล้ หุ่นเชิดสีม่วงที่หลินมู่ควบคุมพลันเปล่งแสงไปทั่วร่าง ปัดออกทีเดียว ศีรษะที่เข้ามาใกล้นี้ก็กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างเงียบเชียบ
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นน้อยๆ ในสายตาเขา ระดับความแข็งแกร่งของคนผู้นี้มากกว่าจิ๋วต่าวส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมาก เนตรทงเทียนดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วพลันเบิกโพลง
วินาทีที่เปิดขึ้น ตลอดร่างของหุ่นเชิดสีม่วงระเบิดม่านแสงเก้าสีออกมาอย่างฉับพลัน!
แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า ม่วง ดำ ขาว!
ม่านแสงเก้าสีปรากฏขึ้น พริบตาเดียวก็แตกสลายไปทีละชั้น ทว่าขณะที่พังทลาย หุ่นเชิดสีม่วงกลับไม่ถูกเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุมไว้แม้แต่นิด กลับกลายเป็นว่าเมื่อม่านแสงแตกสลาย ความปวดแสบปวดร้อนกลับย้อนทิ่มแทงเข้าที่เนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยซ้ำ
“ข้าเตรียมรับมือกระบวนท่านี้ของเจ้าอยู่นานแล้ว!” ในหุ่นเชิดสีม่วงมีเสียงเสียดสีของหลินมู่ดังลอยมา เมื่อเขามาใกล้ มือทั้งคู่ของเขาทำมุทรา เงาสีแดงสดประหนึ่งดวงอาทิตย์พลันลอยขึ้นกลางอากาศ ดวงอาทิตย์นี้เพิ่งจะปรากฏขึ้น พลังเปลวเพลิงร้อนแรงก็ตลบอบอวลไปทั่วฟากฟ้า สาดสะท้อนไปแปดทิศ ถูกหุ่นเชิดสีม่วงยกขึ้นสูง แล้วขว้างโครมเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“วิชาตะวันหยาง!” หลินมู่คำรามทุ้มต่ำ ตอนที่เขาขว้างออกมา ดวงอาทิตย์นั่นยิ่งขยายขนาดมหึมา ไม่นานก็ใหญ่พอหลายร้อยจั้ง กระแทกโครมเข้ามาด้วยพลังเหนือล้ำสูงสุด
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลงอีกครั้ง ความรู้สึกที่หลินมู่มอบให้เขาคือความแข็งแกร่งถึงขีดสุด ถึงขั้นที่ว่าหากเขาไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็อาจตายได้!
ความรู้สึกที่มีต่อคนระดับเดียวกัน นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างฐานรากวิถีฟ้า ก็ไม่เคยมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนไหนทำให้เขารู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรก!
เวลานี้ราวกับเขาได้เจอศัตรูตัวฉกาจ มือซ้ายทำมุทรา มือขวาตบถุงเก็บของ หยิบเอาพืชหญ้าจำนวนมากออกมา แล้วโยนไปข้างหน้าอย่างแรง ความเร็วในการทำมุทราเพิ่มทวีคูณ นัยน์ตาฉายแสงแปลกประหลาด
“พืชหญ้า แปลงกองทัพ!” เมื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา พืชหญ้าเหล่านั้นก็เติบโตขึ้นกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง เสมือนกองทัพย่อมๆ พริบตาเดียวก็มีมากหลายร้อย ตัดสลับกันไปมา ก่อร่างขึ้นเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ พุ่งเข้าหาตะวันสีแดง แล้วปกคลุมมันเอาไว้
“ทำลาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงทุ้มต่ำ พริบตาเดียวตาข่ายใหญ่ที่เกิดจากกองทัพพืชหญ้าเหล่านั้นพลันหดตัว พลังดับทำลายระลอกหนึ่งระเบิดออกหมายจะตัดแบ่งดวงตะวันสีแดงนั้นให้ออกจากกัน!
หลินมู่หน้าเปลี่ยนสี ทำมุทราอีกครั้งพร้อมแค่นเสียงเย็น
“รุ้งพิบัติจันทราหยิน!”
การชี้ครั้งนี้ บนมือซ้ายของเขาพลันปรากฏเค้าโครงของดวงจันทร์ ดวงจันทร์นี้พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่หลายร้อยจั้ง ปล่อยไอเย็นเยียบเสียดแทง แม้แต่ความว่างเปล่ารอบด้านก็ยังเย็นสะท้านดุจช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว เมื่อเขาชี้นิ้ว มันก็บินถลาพรวดเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
เวลาชั่วประเดี๋ยวเดียว ฝีมือที่สูสีกันของคนสองคนทำให้ทุกคนของสามสำนักที่อยู่รอบด้านจิตใจสะท้านไหว โดยเฉพาะพวกซ่งเชวีย กุ่ยหยาที่เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นในใจ
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนรุ่นเดียวกันที่สามารถมีฝีมือทัดเทียมกับป๋ายเสี่ยวฉุน!
ซ่างกวานเทียนโย่วยิ่งตาแดงก่ำ เผยความไม่ยินยอมอย่างดุเดือด!