Skip to content

A Will Eternal 372


บทที่ 372 พวกเขากำลังกู่ร้องให้ข้า

ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไม่นาน

ทว่าตลอดทั้งสำนักสยบธารล้วนรู้ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องจากไปเพราะเหตุอันใด พวกเขาจึงได้แต่รอฟังผลอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน

ต่อให้พวกเขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ทว่าก็ยังอดวาดหวังไม่ได้ว่าจะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้น

ตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนและบุรพาจารย์ทั้งสามท่านกำลังเดินทางกลับมา เมื่อสำนักสยบธารได้กวาดทรัพยากรมาหมดสิบส่วน เรื่องที่เขาบดขยี้สามสำนักจึงแพร่กระจายออกไป เรื่องที่ลำพังป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวก็ทำให้คนหลายสิบคนจากสามสำนักเป็นบ้ากันไปหมด คนในสำนักก็ได้รู้เรื่องล่วงหน้าผ่านทางบุรพาจารย์ทั้งสามท่าน

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมา ตลอดทั้งสำนักก็ระเบิดเสียงไชโยโห่ร้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เคลื่อนพลกันทั้งสำนัก เขย่าคลอนไปทั้งนภากาศ

“ศิษย์พี่ป๋ายองอาจห้าวหาญ!”

“บุรพาจารย์น้อยหมัดต่อยธารดารา เท้าแตะธารอันต ทั่วหล้าไร้ศัตรู!”

เสียงไชโยกู่ร้องเหล่านั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพิ่งเดินออกมาจากในเรือรบทงเทียนตกใจสะดุ้งโหยง แต่ไม่นานเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันควัน

“พวกเขากำลังกู่ร้องให้ข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุกชายแขนเสื้อของหันจงยิกๆ ด้วยความตื่นเต้น หายใจถี่ระรัว

หันจงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่ได้เอ่ยขัดอารมณ์เขา แต่ดึงเอาชายเสื้อแขนของตัวเองกลับคืนมา เดินออกไปพร้อมเฟิงเสินจื่อและชื่อหุน ตรงดิ่งไปที่เขาสยบธาร

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็บินออกมาจากเรือรบทงเทียนอย่างรวดเร็ว มองเห็นลูกศิษย์ทั้งสำนักแซ่ซ้องให้กับตัวเอง เขาก็ตื่นเต้นสุดประมาณ ครุ่นคิดว่าตัวเองในเวลานี้จะทำตัวโอหังเย็นชาไม่ได้เด็ดขาด ต้องอ่อนโยนน่าเข้าใกล้ และควรร่วมแสดงความยินดีไปพร้อมกับทุกคนถึงจะถูก ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง แล้วทะยานตรงดิ่งเข้าหาจุดที่มีลูกศิษย์มากที่สุด

หลายวันหลังจากนั้น ภายใต้การโอ้อวดตนของป๋ายเสี่ยวฉุน เรื่องเล่าเกี่ยวกับพื้นที่สืบทอดหลากหลายรูปแบบจึงแพร่ไปทั่วสำนักสยบธาร ในคำเล่าขานต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนเขาก็จะต้องบรรยายให้ตัวเองมีมาดห้าวหาญประดุจวีรบุรุษ อำนาจบารมีไม่ธรรมดา อาศัยพลังของคนๆ เดียวโค่นล้มคนทั้งกลุ่มได้อย่างไรบ้าง

และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สัมผัสได้ถึงความเลื่อมใสบูชาที่ลูกศิษย์ในสำนักมีต่อตนอย่างเต็มเปี่ยม แถมมีครั้งหนึ่งที่เขาแค่ส่งยิ้มบางๆ ให้กับลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่คิดว่าลูกศิษย์หญิงคนนั้นจะตื่นเต้นจนถึงกับเป็นลมล้มพับไป

นาทีนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตลอดทั้งท้องฟ้ามีแต่รอยยิ้ม แม้แต่พระอาทิตย์ก็ยังคล้ายกำลังส่งยิ้มลำพองใจมาให้…

ส่วนทางด้านของเถี่ยตั้นก็ได้รับเสียงกู่ร้องที่ดุเดือดเช่นกัน มันบินออกไปหาพวกสัตว์ตัวเมียของมันนานแล้ว…และทุกวันจะต้องเห็นมันบินโอ้อวดบารมีไปมา…

จนกระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน เรื่องนี้ถึงได้ยุติลงไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เก็บใจสนุกสนานกลับคืนมา พอนึกถึงภาพเหตุการณ์ในพื้นที่สืบทอดก็ยิ่งกังวลกับตบะของตัวเอง

“ข้ายังต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ถึงจะได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างลึกล้ำ ดังนั้นจึงเริ่มปิดด่านฝึกวิชาคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด ขณะเดียวกันก็ฝึกเอ็นคงกระพันไปด้วย

คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดลึกล้ำอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝน เวลาส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการคลำหาทาง เขายังถึงขั้นต้องไปสอบถามหันจงถึงพอจะทำให้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุได้บ้าง

“ใช้เวทรวมความเย็น ใช้ความเย็นเลี้ยงความคิด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำพึมพำเสียงเบา หลับตาลง ใช้น้ำของแม่น้ำทงเทียนหนึ่งหยดที่หลอมรวมอยู่ในร่างกายแปลงมาเป็นพลังความเย็นเยียบตามสัจจคาถา

ไม่นานรอบกายเขาก็เริ่มมีไอความเย็นปรากฏขึ้น ไอความเย็นนี้แผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผนังรอบถ้ำเกิดเป็นเกล็ดน้ำค้างแข็งเกาะ ซึ่งขณะเดียวกันร่างของ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เย็นเฉียบขึ้นมาด้วย

เวลาผ่านไปอีกหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาทั้งคู่ขึ้น ดวงตาเผยความลึกล้ำ เขาแอบรู้สึกว่าตัวเองน่าจะจับแก่นสารของคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดได้แล้ว

“รวมความเย็นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยเลี้ยงความคิด ความเย็น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการใคร่ครวญ มือขวายกขึ้นช้าๆ ตอนที่จ้องนิ่งไปยังนิ้วมือ บนนิ้วมือของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏเกล็ดน้ำค้างแข็งสีขาวขึ้นมาหนึ่งชั้น

“ไอเย็นยังไม่พอ ตามวิธีการแบ่งของคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด ไอความเย็นแบ่งออกเป็นสี่ชั้น ได้แก่เย็นระดับล่าง เย็นระดับกลาง เย็นระดับสูง และเย็นระดับสุดขั้ว!”

“ผู้ที่มีความเย็นระดับล่างสามารถรวมเงาแห่งไอเย็นให้ก่อตัวกันขึ้นเป็นเวทความเย็น ส่วนผู้ที่มีความเย็นระดับกลางสามารถทำให้รัศมีพันจั้งถูกปิดผนึกด้วยความเย็นในชั่วพริบตา ความเย็นระดับสูงสามารถทำให้ในรัศมีหมื่นจั้งกลายมาเป็นพื้นที่น้ำแข็ง และยังสามารถสร้างกระจกน้ำแข็งสะท้อนให้ร่างจำแลงลงมาจุติได้ด้วย!”

“ส่วนความเย็นระดับสุดขั้ว…สามารถปิดผนึกแม่น้ำทงเทียน…ในขอบเขตที่แน่นอน!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงคมกล้า พอนึกถึงว่ามีวันหนึ่งที่ตนสามารถปิดผนึกแม่น้ำทงเทียนให้กลายเป็นน้ำแข็งได้ ต่อให้จะเป็นเพียงพื้นที่ส่วนเดียว ทว่าอานุภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นต้องทำให้ทุกคนหวาดผวาพรั่นพรึงได้แน่นอน

“ระดับของข้าตอนนี้แม้แต่ระดับล่างก็ยังเทียบไม่ติด” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะใจร้อนไม่ได้ ตนจำเป็นต้องหลอมละลายแม่น้ำทงเทียนช้าๆ เพื่อสะสมไอความเย็น

ไอความเย็นที่ว่านี้สะสมอยู่ในยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าของตน เมื่อมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในยาสีทองกลายเป็นโลกแห่งความเย็นได้สำเร็จก็หมายความว่าตน…ฝึกไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตยาอายุวัฒนะแล้ว

“ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว แต่ก็ไม่ได้รีบร้อน เขาคิดว่าอายุขัยของตัวเองมีตั้งหนึ่งพันปีกว่า ไม่จำเป็นต้องร้อนใจไป

ดังนั้นจึงเริ่มฝึกเอ็นคงกระพันอีกครั้ง คราวนี้ฝึกมาที่นิ้วชี้ของเท้าซ้าย…

นอกจากฝึกบำเพ็ญตบะแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังใคร่ครวญวิธีหลอมยาทวนธาราไปด้วย เวลานี้เขาคุ้นเคยกับขั้นตอนการหลอมยาทวนธาราอย่างถึงที่สุดแล้ว เพียงแต่ยังหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องพลังชีวิตไม่ได้ก็เท่านั้น

ต่อให้เขาเคยได้รับเลือดลมเส้นหนึ่งมาจากทารกหญิงเจินหลิง ก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก เคยทดลองทำอยู่หลายครั้ง กลับไม่เคยสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว

จุดสำคัญก็คือขั้นตอนการใช้แม่น้ำทงเทียนมารวมตัวกันเป็นพลังชีวิตมักจะล้มเหลวเสมอ

“สาเหตุน่าจะเป็นเพราะตบะของข้าแล้วล่ะ ยากที่จะรวบรวมพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุดมาจากแม่น้ำทงเทียนได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว

เขาครุ่นคิดอยู่นานมาก สุดท้ายก็ทำได้เพียงลดความต้องการลงให้เหลือแค่ระดับรอง กลับไปใช้พลังชีวิตจากภายนอกแทน

คิดมาถึงตรงนี้สายตาของเขาจึงกวาดมองไปยังถุงเก็บของด้วยสีหน้าที่ปกปิดความคิดมิดชิด ก่อนหน้าที่จะไปพื้นที่สืบทอดป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีความคิดที่จะใช้พลังชีวิตจากภายนอกมาหลอมยาทวนธาราแล้ว

หากสาวกันถึงแก่นแล้ว ปัญหาตอนนี้ก็แค่จำเป็นต้องมีพลังชีวิตที่มากมหาศาล และจุดกำเนิดของพลังชีวิตที่ว่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเป้าหมายมานานแล้ว

นั่นก็คือ…เจ้าเต่าน้อย!

ด้วยความพิเศษของวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญแล้ว พลังชีวิตของมันจึงเรียกได้ว่ามากมหาศาลอย่างไม่ต้องกล่าวถึง แต่จะยากก็ยากที่เจ้าเต่าน้อยไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่นอน…ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้านั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเริ่มแอบหลอมยาวิเศษขึ้นมา

เขาต้องการหลอมยา…ที่สามารถทำให้เจ้าเต่าน้อยสลบได้

เพียงแต่เรื่องนี้พูดเหมือนง่าย ทว่าหากทำขึ้นมาจริงๆ ระดับความยากยังมีสูงมาก อีกทั้งโอกาสก็มีแค่ครั้งเดียว หากหลอกให้เจ้าเต่าน้อยกลืนยาลงไปได้ ถ้าสำเร็จก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าล้มเหลวขึ้นมาต้องถูกมันจับได้แน่นอน พอถึงเวลานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถจินตนาการได้เลยว่าด้วยนิสัยของเจ้าเต่าน้อยแล้ว มันต้องมาแก้แค้นเขาอย่างแน่นอน

“ปวดหัวจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ครุ่นคิดอยู่นานมาก สุดท้ายก็กัดฟัน เริ่มหลอมยาที่ตัวเองหลอมไว้ก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องหลอมยาสลบนี้ออกมาให้ได้ ยังดีที่เนื่องจากผลเก็บเกี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนในครั้งนี้ ในบรรดาทรัพยากรที่อีกสามสำนักจะส่งมาให้นั้นมียาวิเศษมากมายที่หายสายสูญไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองควรจะไปรีดไถเอามาสักหน่อยถึงจะถูก

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝนและหลอมยา ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลาง ต่อให้อีกสามสำนักจะพยายามปิดข่าวเรื่องพื้นที่สืบทอดมากแค่ไหน ทว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินไป มิอาจสกัดกั้นไว้ได้แม้แต่นิด ไม่นานตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางก็ได้รู้ข่าวนี้ ทุกคนที่ได้ยินพากันตื่นตะลึง แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง

โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ว่าครั้งนี้สำนักสยบธารมีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นบุรพาจารย์น้อยเข้าร่วมคนเดียวเท่านั้น ทั้งยังต้องมาช่วงชิงกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรวมโอสถหลายสิบคนของสามสำนัก แต่กลับบดขยี้ทุกคนได้อย่างราบคาบ กวาดเอาตราประทับทั้งหมดมาครอง ทั้งยังบรรลุคาถาคนขุนเขา โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางก็ครึกโครมอย่างสมบูรณ์แบบ

เรื่องราวในอดีตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกคนขุดค้นขึ้นมา แทบจะตั้งแต่ที่เขาเกิดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เรื่องทั้งหมดต่างก็ถูกคนสืบหาเอามาเปิดเผยกันอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน

ขึ้นเขาตอนอายุสิบกว่าปี กราบเข้าเป็นศิษย์สำนักธาราเทพ เหตุการณ์เทือกเขาลั่วเฉินเอ่ยสัตย์สาบานว่าจะปกป้องสหายร่วมสำนัก อัจฉริยะอันดับหนึ่งด้านการหลอมยาของสองชายฝั่งเหนือใต้ และภายหลังได้ลอบเข้าไปในสำนักธาราโลหิต กลายเป็นบุตรโลหิต กลายเป็นบรรพบุรุษโลหิต อีกทั้งตอนที่สองสำนักเปิดศึกใหญ่กันยังอาศัยพละกำลังของตัวเองคนเดียวทำให้สองสำนักรวมตัวกัน ฮุบกลืนธาราทมิฬ ธาราโอสถ กลายมาเป็นบุรพาจารย์น้อยแห่งสำนักสยบธาร!

เรื่องราวมากมายเหล่านี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนทำให้คนสะท้านสะเทือนได้หมด ทว่าตอนนี้ทุกเรื่องราวกลับมาเกิดอยู่บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว

เวลาเพียงแค่ไม่นาน นามของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลื่องลือไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลาง

ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่ถูกสืบค้นออกมาล้วนเกิดจากความตั้งใจของสำนักสยบธารทั้งสิ้น เรื่องที่ไม่ควรให้คนนอกรับรู้ต่างก็ถูกสำนักสยบธารซุกซ่อนเอาไว้นานแล้ว

เวลาเดียวกันนั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางสำลักลมหายใจ นั่นก็คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนของสามสำนัก…ที่เข้าร่วมการช่วงชิงในพื้นที่สืบทอด บนร่างหรือบนใบหน้าของพวกเขาล้วนมีรอยประทับเป็นรูปเต่าสีดำ

รอยประทับนี้เหมือนจริงอย่างมาก อีกทั้งพอถึงยามค่ำคืนยังสามารถเรืองแสงได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะสวมอาภรณ์หนาชั้นหรือใช้การป้องกันใดๆ ก็ล้วนมิอาจสกัดกั้นแสงนี้ไว้ได้ มันยังคงเปล่งประกายเด่นชัด…

ที่เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาก็เพราะสามสำนักใช้วิธีการทั้งหมดที่มีแล้วแต่ก็ยังมิอาจลบออกได้แม้แต่นิด ขนาดนักพรตก่อกำเนิดลงมือด้วยตัวเองก็ยังทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายยังถึงขั้นดึงดูดความสนใจจากบุรพาจารย์คนฟ้าของในแต่ละสำนักด้วย

เพียงแต่ว่า ต่อให้เป็นบุรพาจารย์คนฟ้าของสามสำนักก็ยังมิอาจมีวิธีใดมาจัดการกับรอยประทับเหล่านี้ ความครึกโครมของเรื่องนี้จึงแพร่กระจายไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว

พวกนักพรตรวมโอสถที่ดวงซวยทุกคนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ความเคียดแค้นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานสูงเทียมฟ้า ขณะเดียวกันก็พากันเลือกปิดด่าน ไม่กล้าออกมาข้างนอก เพราะยังไงซะการที่แบกรอยประทับรูปเต่าออกไปข้างนอกแบบนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกย่ำแย่ยิ่งกว่าโดนฆ่าเสียอีก

เวลาเดียวกันนั้น ความน่าหวาดกลัวของรอยประทับรูปเต่าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนใจสั่นรัว

เกิดความคิดที่ว่าจะไม่มีทางไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนเด็ดขาด

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version