บทที่ 511 พวกมันมองไม่เห็นข้า
กลางดึก ดวงจันทร์มืดสลัวบนนภากาศยังคงลอยตัวสูงส่องแสงริบรี่ ก่อนจะถูกเมฆหมอกปกคลุมอีกครั้งทำให้ตลอดทั้งพื้นดินมีแต่ความพร่าเลือน บางครั้งมีเสียงร้องหวีดแหลมของสัตว์ตัวน้อยดังคลอเคล้าไปกับเสียงร้องโหยหวนของดวงวิญญาณเร่ร่อนส่งให้ฟ้าดินที่เปล่าเปลี่ยวสะท้อนความรู้สึกถึงกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนออกมานอกกำแพงเมือง ทว่าคราวก่อนเขาอยู่บนสนามรบ แต่ตอนนี้กลับห้อทะยานอยู่เพียงลำพัง ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำรัวแรงไปตลอดทาง ต่อให้ตอนนี้เขาจะเป็นรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม แต่ความหวาดกลัวต่อภูตผีวิญญาณที่ฝังลึกลงไปในกระดูกก็ยังทำให้เขาหวาดกลัวได้อยู่ดี
เพียงแต่ว่าความหวาดกลัวนี้เบาบางลงไปมากหากเทียบกับเมื่อก่อน เพราะอย่างไรซะหลายปีที่มาอยู่ในกำแพงเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแดนทุรกันดารหรือกระแสวิญญาณพยาบาท เขาเองก็ไม่เพียงแต่เข้าใจมากขึ้น ทั้งยังเคยได้เห็นมาเยอะมากด้วย
ไม่พูดว่ามีความรู้กว้างขวาง ทว่าในใจเขาก็ไม่หวาดกลัววิญญาณพยาบาทจากจิตใต้สำนึกอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“เป้าหมายแรกเริ่มที่ข้าฝึกตนเป็นเซียนก็เพียงเพื่อได้มีชีวิตเป็นอมตะเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนคะนึงคิดอย่างใจหาย ขณะที่ห้อทะยานอยู่ใต้ฟ้าดินที่มืดมืดแห่งนี้ เขามองเห็นความเปลี่ยวร้างรอบด้านรวมไปถึงกระดูกของชนพื้นเมืองมากมายที่โผล่พ้นจากดินโคลนขึ้นมา ในใจก็อดที่จะถอนหายใจยาวเหยียดไม่ได้
“นึกไม่ถึงว่าเดินไปเดินมากลับเดินมาถึงจุดนี้ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ย้อนนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดก็รู้สึกว่าดูเหมือนชะตาชีวิตจะปกคลุมอยู่ทั่วฟ้าดิน ดึงรั้งให้ทุกสรรพสิ่งเดินขึ้นไปบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตบะที่แตกต่างกัน
ผ่านไปพักหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดศีรษะแรงๆ ละความคิดมากมายที่ลอยขึ้นมาในใจทิ้งไป พกพาเอาความระแวดระวังเดินทางไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่เริ่มช้าลง ตอนนี้ตำแหน่งที่เขาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองมาหกเจ็ดลี้แล้ว แม้ว่าที่นี่จะยังถือเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบ แต่ก็เกือบจะถึงริมชายเขตมากขึ้นทุกที
จำนวนของวิญญาณเร่ร่อนก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้หากเทียบกับกระแสวิญญาณพยาบาทแล้วจะเรียกได้ว่าน้อยนิดจนแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่กลางดึกเช่นนี้การที่เงาของพวกมันคำรามผ่านไปมาก็ยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนระวังตัวมากขึ้นอยู่ดี
วิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ไม่ได้มีรูปร่างเหมือนคน แต่เป็นกลุ่มควันพร่าเลือนที่แผ่ไอความเย็นออกมา บางครั้งก็ก่อตัวเป็นสัตว์ร้าย บางครั้งก็เป็นใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวคอยกระโจนเข้าใส่สัตว์เล็กๆ ที่กัดแทะเนื้อเน่าเปื่อยเหล่านั้น
และยังมีวิญญาณเร่ร่อนบางส่วนที่มุดลอดไปมาอยู่ในโครงกระดูกราวกับต้องการจะสิงร่าง ทว่าเนื่องจากโครงกระดูกสูญเสียสติปัญญาไปแล้ว ไม่ว่าผีเร่ร่อนเหล่านี้จะแทรกซอนเข้าไปอย่างไรก็ไม่อาจสิงร่างของโครงกระดูกเหล่านั้นได้สำเร็จ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง หากมองไกลๆ มาเห็นวิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้เขาก็จะอ้อมห่างออกไปทันที ไม่ใช่ว่าเขาลงมือกับพวกมันไม่ได้ แต่ไม่มีความจำเป็นให้ต้องทำเช่นนี้ เพราะวิญญาณพวกนี้มีน้อยเกินไป แถมคุณภาพก็ธรรมดา ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนวิสัยทัศน์กว้างไกลแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นค่าพวกมัน อีกอย่างหากลงมือจะดึงดูดความสนใจจากรอบด้าน เมื่อถึงเวลานั้นกลับจะยิ่งนำพาความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นมาสู่ตัว ถ้าวิญญาณเพิ่มมากขึ้นก็ยังพอว่า แต่หากมีวิญญาณแค่ไม่กี่ตัวก็เรียกได้ว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
ยิ่งเดินไปข้างหน้า วิญญาณที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งมีมาก เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ห่างจากหุบเขาเล็กอีกแค่ประมาณหนึ่งลี้ นัยน์ตาเขาที่ฉายประกายแสงก็มองตรงไปข้างหน้า
“วิญญาณของที่นี่ไม่น้อยเลยนะ” เบื้องหน้าของเขามีวิญญาณเร่ร่อนอย่างน้อยก็นับพันตน พวกมันกำลังล่องลอยไปทั่ว ปากก็ส่งเสียงคำรามแผ่วเบา อันที่จริงนอกกำแพงเมืองตรงจุดนี้ไม่มีทางมีวิญญาณเร่ร่อนได้มากขนาดนี้ เพียงแต่ว่าสงครามใหญ่หลายครั้งก่อนหน้า ยารวมวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้วิญญาณจำนวนไม่น้อยหนีกระเจิดกระเจิงไปด้วยความหวาดผวา จึงทำให้จำนวนของวิญญาณในบริเวณใกล้เคียงมีเพิ่มมากขึ้น
“มีมากพอพันตนก็ถือว่าเป็นคุณความชอบในการรบก้อนใหญ่ทีเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจกระตุก ค่อยๆ เข้าไปใกล้ เมื่อยกมือขวาขึ้นกลางมือของเขาก็มียารวมวิญญาณเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น ก่อนที่เขาจะขว้างออกไปอย่างแรง ยารวมวิญญาณเม็ดนี้กลายร่างมาเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้นที่พุ่งเข้าไปตกท่ามกลางกลุ่มวิญญาณในชั่วพริบตา เสียงปุ๊งดังหนึ่งครั้งก็แตกกระจายกลายมาเป็นแรงดึงดูดระลอกหนึ่ง พริบตาเดียววิญญาณนับพันที่อยู่โดยรอบก็ถูกยารวมวิญญาณดูดเข้าไปรวมกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วจึงเอื้อมมือคว้าลูกวิญญาณที่เกิดจากการดูดของยารวมวิญญาณเอาไว้ ก่อนจะเก็บมันลงไปในถุงเก็บของด้วยความเบิกบาน หันไปมองรอบด้านอีกครั้ง เมื่อพบว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเกินไปนักก็พุ่งสวบไปข้างหน้าต่อ ไม่นานก็มาถึงนอกหุบเขาเล็ก
เพิ่งจะเหยียบเข้ามาที่นี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็เห็นว่าในหุบเขามีวิญญาณเร่ร่อนอยู่อีกหลายร้อยตัวที่กำลังลอยล่องไปทั่ว เห็นอย่างนั้นก็ทำให้เขาอารมณ์ดีทันที
“นึกไม่ถึงว่าออกมาครั้งนี้จะราบรื่นได้ขนาดนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างมาก เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งนัก ตลอดทางมานี้ไม่มีวิญญาณใดๆ สังเกตเห็นตนจนมาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ยังได้รับผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
เวลานี้พอกวาดตามองในหุบเขาหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอายารวมวิญญาณอีกเม็ดออกมา ขณะที่กำลังจะขว้างออกไปใจเขาพลันกระตุก แล้วจึงหันตัวเบี่ยงข้างทันใด ดวงตาคมกล้าเผยไอสังหารมองไปยังด้านหลังของตัวเอง
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขามองไป ด้านหลังของเขาก็มีกลุ่มควันสีแดงกลุ่มหนึ่งทะยานออกมาจากใต้ดินด้วยความเร็วถึงสูงสุด แต่ดูเหมือนมันจะมองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้บินผ่านข้างกายเขาตรงดิ่งไปในหุบเขาโดยตรง
ควันสีแดงนั้นก็คือวิญญาณกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน หลังจากที่บินเข้าไปในหุบเขามันก็กลายร่างมาเป็นหัวนกที่มีใบหน้าดุร้ายซึ่งตรงเข้ากัดทึ้งฉีกกระชากวิญญาณตนอื่นทันที พริบตาเดียวพวกวิญญาณที่อยู่ในหุบเขาก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา
“วิญญาณก่อกำเนิด!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ จ้องเขม็งไปที่ควันวิญญาณสีแดงนั้น เมื่อเห็นว่าหลังจากที่วิญญาณนี้เขมือบกลืนวิญญาณตนอื่นแล้วสีของมันยิ่งเปลี่ยนมาเป็นแดงเข้มมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับเลียริมฝีปาก
มูลค่าของวิญญาณก่อกำเนิดนั้นถึงแม้จะเทียบกับวิญญาณสัตว์ฟ้าไม่ได้ แต่ก็สามารถแลกเอาคุณความชอบในการรบที่แน่นอนมาได้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับลังเลเล็กน้อย
“ตามหลักแล้วเป้าหมายของวิญญาณก่อกำเนิดนั่นน่าจะเป็นข้าสิถึงจะถูก แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณนี้จะ…มองไม่เห็นข้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกทะแม่งๆ เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปหลายก้าว ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หุบเขา แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าไปใกล้มากแค่ไหน วิญญาณพวกนั้นที่อยู่ในหุบเขาก็ทำราวกับมองไม่เห็นเขาเลยสักนิด
อีกทั้งยังมีวิญญาณเร่ร่อนบางส่วนที่พอถูกวิญญาณก่อกำเนิดนั้นโจมตีก็หนีแตกฮือมาทางป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พวกมันก็พุ่งฉิวผ่านร่างเขาไปราวกับมองไม่เห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างทันที
“พวกมันมองไม่เห็นข้าจริงๆ รึ?” คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจริงๆ แล้ว ความกล้าก็เพิ่มมากขึ้นอีกนิด จึงถือโอกาสพุ่งตัวเข้าไปในหุบเขา เดินร่อนไปมาอยู่ท่ามกลางกลุ่มวิญญาณ ไม่นานดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาฉายความเหลือเชื่อ เขายังถึงขั้นยื่นมือออกไปขวางหน้าวิญญาณตนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่กลับเห็นคาตาว่าวิญญาณเร่ร่อนตนนั้นพุ่งชนมือของตัวเอง พอป๋ายเสี่ยวฉุนบีบมือเข้าหากันมันก็เข้ามาอยู่ในกำมือของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
แถมต่อให้เขาเก็บเอาวิญญาณเร่ร่อนตนนี้ไปแล้ว วิญญาณก่อกำเนิดสีแดงที่ไล่กวดมาทางด้านหลังก็ยังไม่สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน มันได้แต่มองหาไปรอบด้านอยู่รอบหนึ่งก่อนที่จะกระโจนเข้าหาวิญญาณตนอื่นต่อไป
วิญญาณเร่ร่อนในหุบเขายิ่งลดน้อยลง และไม่นานก็เหลือเพียงแค่วิญญาณก่อกำเนิดตนนั้น ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็มั่นใจแล้วว่าวิญญาณพวกนี้มองไม่เห็นตนจริงๆ หัวใจของเขาเต้นระรัว ก้มหน้าลงมองเรือนกายของตัวเอง แล้วก็ยื่นมือมาลูบคลำหน้ากากที่ตัวเองสวมใส่ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเปล่งแสงวาววับ
“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนสนามรบ วิญญาณเหล่านั้นมองเห็นข้า ทว่าตอนนี้กลับมองไม่เห็น ถ้าเช่นนั้นสาเหตุก็น่าจะเป็นเพราะ…หน้ากากของข้า!” มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำใบหน้าของตัวเอง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พลันถอดหน้ากากออกด้วยความระมัดระวัง
และวินาทีที่เขาดึงหน้ากากลงนั้นเอง วิญญาณก่อกำเนิดสีแดงตนนั้นเดิมทีกำลังจะลอยออกไปนอกหุบเขา แต่อยู่ๆ กลับเหมือนถูกกระตุ้นจึงหันขวับกลับมาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ปากก็เตรียมจะหวีดร้องแหบโหย ดูท่าทางแล้วคงกำลังจะกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น
แต่ยังไม่ทันรอให้วิญญาณก่อกำเนิดตนนี้กรีดร้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สวมหน้ากากกลับไปดังเดิมในชั่ววินาที เขาทำทั้งหมดนี้ด้วยความเร็วถึงขีดสุด ทำเอาวิญญาณก่อกำเนิดตนนั้นงงงัน หุบปากฉับ ก่อนจะมองหาไปรอบด้าน เห็นได้ชัดว่าหาร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ไม่ห่างจากวิญญาณก่อกำเนิดตนนั้นเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กับตาตัวเอง เขาก็พลันฮึกเหิมขึ้นมาทันที
“รวยแล้ว!! ไม่นึกเลยว่าหน้ากากนี้จะมีประสิทธิผลมหัศจรรย์ได้ถึงขนาดนี้! ดีนะที่ตอนนั้นไม่ได้โยนทิ้งไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างบ้าคลั่ง สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายของวิญญาณก่อกำเนิดที่งงงันไม่เข้าใจเรื่องราว มือขวาเขายกขึ้นแล้วโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง วิญญาณก่อกำเนิดนี้ก็พุ่งเข้ามาอยู่กลางมือของเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รอให้มันตั้งตัวได้ทัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บีบมือเข้าหากันอย่างแรงแล้วเก็บมันลงไป
“สำเร็จแล้ว! นี่คืออาวุธล้ำค่าสำหรับจับวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อเอามารวมกับยารวมวิญญาณของข้า คุณความชอบในการรบสำหรับเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่นของข้าก็นับวันรอได้เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งคึกคัก ก่อนจะวนรอบหุบเขาแห่งนี้ครบหนึ่งรอบจนถือว่าทำภารกิจสำเร็จ มองท้องฟ้าก็เห็นว่าอีกนานกว่าที่ฟ้าจะสว่าง พอเดินออกมานอกหุบเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองมีหน้ากากนี้ แม้แต่วิญญาณก็ยังมองไม่เห็นตน แถมรอบด้านยังมีลูกน้องอีกนับพันคน ในด้านของความปลอดภัยสามารถพูดได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนความปลอดภัยของนักพรตใต้สังกัดทั้งหนึ่งพันคนนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดี ขอแค่พวกเขาอำพรางตัวให้ดี ไม่ลงมือบ่อยๆ รู้จักรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างคล่องแคล่วและร่วมด้วยช่วยกัน เมื่อเป็นเช่นนี้นอกจากเจอกับกองทัพใหญ่ของชนพื้นเมืองแล้ว ด้านความปลอดภัยก็ถือว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจได้ทันที
“เมื่อเป็นเช่นนี้ หากกลับไปตอนนี้ก็น่าเสียดายเกินไป ในเมื่อออกมาแล้วก็เดินเล่นรอบๆ สักหน่อยแล้วกัน เก็บเอาวิญญาณไปมากจะได้แลกคุณความชอบในการรบมาได้เยอะๆ”
