Skip to content

A Will Eternal 668

บทที่ 668 เป้าหมาย ก่อกำเนิดวิถีฟ้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็คึกคักอารมณ์ดีทันที ยามนี้พระจันทร์กำลังจะลาลับลงมาบนพื้นดินแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงบินออกมาจากรูปปั้นราชาผียักษ์ ในใจปลงอนิจจังเคลิบเคลิ้มด้วยความเคยชิน

“เดิมทีข้าไม่อยากจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ แต่ก็จนปัญญา นี่คือบัญชาจากสวรรค์…กำหนดมาให้ข้าได้เป็นนายน้อยแห่งสำนักสยบธารผู้ยิ่งใหญ่ คือป๋ายเสี่ยวฉุนผู้บังคับกองหมื่นของกำแพงเมือง แม้มาอยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ก็ยังลุกผงาดส่องแสงเจิดจ้ายาวไกลไปหมื่นจั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อ่อนใจ กลัดกลุ้มอย่างยิ่งกับความเลิศล้ำของตัวเอง ส่ายหัวเสร็จก็พกพาเอาความลำพองใจที่ปิดไม่มิดบินไปกลางอากาศของนครผียักษ์

ในยามที่เขาเป็นผู้คุมคุก แม้จะสามารถบินไปกลางอากาศได้ แต่อันที่จริงก็ไม่ได้มีความกล้ามากนัก หากกองลาดตระเวนดึงดันจะทำตามกฎให้ได้ เขาเองก็ได้แต่ยอมรับคำสั่งห้ามบิน

ทว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะบินออกมา ผู้ฝึกวิญญาณที่ลาดตระเวนอยู่รอบด้านก็บินเข้ามาอย่างว่องไว หลังจากคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนอบน้อมแล้วก็ให้การพิทักษ์อยู่ข้างกายเขา

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงไปครู่ก่อนจะตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว ดื่มด่ำไปกับการได้รับปฏิบัติเช่นนี้ เขากระแอมเบาๆ หนึ่งที พอหยิบเอาแผ่นหยกออกมาดูก็เอามือไพล่หลัง ภายใต้การห้อมล้อมของกองลาดตระเวน พวกเขาก็ได้ห้อตะบึงประหนึ่งเดินอาดๆ ไปยังที่พักซึ่งพระยาสวรรค์ท่านหนึ่งมอบให้เขาไว้ก่อนหน้านี้

ที่พักนี้อยู่นครใน เดิมทีเป็นที่พักอีกแห่งหนึ่งของพระยาสวรรค์ท่านนั้น กินพื้นที่อาณาบริเวณกว้างขวางไม่น้อย

ด้านในมีสายน้ำและภูเขาจำลอง ทั้งยังมีค่ายกลล้อมวน เงียบสงบอย่างมาก ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็พบว่าแม้แต่ข้ารับใช้ก็ถูกจัดตัวไว้รอเรียบร้อยแล้ว แต่ละคนพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบตรงเข้ามาคารวะทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกพึงพอใจกับการจัดการเช่นนี้อย่างมาก ในใจก็อดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจังอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปพักด้วยความอิ่มเอม

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ผสานรวมวิญญาณคนฟ้าธาตุทองทันที วิญญาณคนฟ้าดวงที่ห้านี้สำคัญมาก จำเป็นต้องปิดด่านแล้วฝ่าทะลุสู่ก่อกำเนิดไปพร้อมกันรวดเดียว

และเห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปิดด่าน โดยเฉพาะพอวันที่สองมาถึง เมื่อราชโองการแต่งตั้งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้กำกับการเผยแพร่ออกไป คนจำนวนนับไม่ถ้วนตลอดทั้งนครผียักษ์ที่จับตามองก็ล้วนอึ้งตะลึงไปกับข่าวนี้เล็กน้อย

“ผู้กำกับการ…ป๋ายฮ่าวผู้นั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้กำกับการเชียวรึ!!”

“ตำแหน่งผู้กำกับการนี้ ไม่เคยมีมาก่อนในนครผียักษ์ของเรา…”

“ผู้กำกับการ ผู้กำกับการ…หากว่ากันในวงกว้างหน่อยคือเรื่องอะไรก็สามารถกำกับดูแลได้หมด แต่พูดในวงแคบก็เหมือนจะยุ่งเกี่ยวเรื่องอะไรไม่ได้…อยู่ระหว่างอำนาจที่แท้จริงกับตำแหน่งจอมปลอม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับประสงค์ของราชา

ป๋ายฮ่าวผู้นี้…ได้รับพระกรุณาจากหวังเหย่ยิ่งนัก”

ในนครผียักษ์ ขั้วอิทธิพลจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับตำแหน่งผู้กำกับการนี้แตกต่างกันออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ได้ยินว่าเรื่องการแต่งตั้งตนได้เผยแพร่ไปแล้ว เขากำลังคิดว่าควรจะเดินออกไปอวดอ้างบารมีสักหน่อยดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันให้เขาออกไปก็มีคนมาเยี่ยมเยือนถึงที่

คนมากมายมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย เริ่มจากสี่พระยาสวรรค์ และยังมีผู้ฝึกวิญญาณบางส่วนที่เป็นลูกน้องในสังกัดของพวกเขา รวมไปถึงคนของแต่ละขั้วอิทธิพลในนครผียักษ์ที่ต่างก็ทยอยกันมาเยือนอย่างเนืองแน่น

ทุกคนที่มาล้วนมีของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนรับมาด้วยอาการใจหายใจคว่ำ มองของขวัญแต่ละชิ้น หัวใจของเขาก็เต้นแรงเร็วอย่างไม่รักษาหน้าเจ้าของ อ้าปากค้างพูดไม่ออก ดวงตาเปล่งประกายสีหน้าก็ยิ่งชื่นมื่น

คนที่ให้ของขวัญชิ้นโตที่สุดก็คือพระยาสวรรค์นามว่าเฉินไห่ที่ยกบ้านพักแห่งนี้ให้ คนผู้นี้รูปร่างท้วมเล็กน้อย ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังออกมาต้อนรับขับสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเองอย่างไม่ถือตัว ให้ความสนิทสนมเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้แล้ว เมื่อตำแหน่งฐานะของป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานขึ้นพรวดพราด คนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดย่อมเป็นโจวอีซิงและหลี่เฟิงสองคน โดยเฉพาะโจวอีซิงที่ถือว่าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนหวนกลับมามีชีวิตหรูหรามีเกียรติอีกครั้ง โจวอีซิงก็เหมือนคนที่ได้ดื่มด่ำความหวานล้ำหลังความขมขื่นผ่านไปจึงรีบมาคารวะเยี่ยมเยียนพร้อมความตื่นเต้น

พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นโจวอีซิงก็รู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ชีวิตของเขาไม่ได้สุขสบายเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงแนะนำให้เขาฉวยโอกาสนี้สร้างอิทธิพลของตัวเองขึ้นมาในนครผียักษ์

โจวอีซิงตื่นเต้นทันใด จากไปพร้อมความยินดี

ในช่วงเวลาสำคัญหลังการกบฏที่เพิ่งผ่านพ้นไปเขาก็ได้เริ่มซื้อใจคนมาเป็นกองกำลังของตัวเองโดยใช้นามของป๋ายเสี่ยวฉุน

จนกระทั่งผ่านไปได้หลายวัน คนที่มาเยี่ยมเยียนจึงเริ่มลดน้อยลง

ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้หาเวลาออกไปเดินเล่นข้างนอก ทุกที่ที่ผ่าน ไม่ว่าผู้ฝึกวิญญาณคนใดที่เห็นเขาล้วนตรงเข้ามาคารวะอย่างพินอบพิเทา ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานราวมีบุปผาผลิสะพรั่งอยู่ในใจ เลยถือโอกาสเดินวนไปทั่วนครผียักษ์เสียหนึ่งรอบ

“คารวะผู้กำกับการป๋าย”

“คารวะผู้กำกับการป๋าย”

“นั่นมันผู้กำกับการป๋าย…”

คำเรียกขานว่าผู้กำกับการป๋ายนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอดที่จะก้าวย่างอย่างผึ่งผาย โอ้อวดบารมีด้วยความลำพองใจอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ อีกทั้งหลายครั้งยังทำเหมือนตอนที่อยู่ในสำนักสยบธาร นั่นคือจะไปยืนกระแอมเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนทุกคนรอบด้านว่าเขาผู้กำกับการป๋ายมาถึงแล้ว

ทุกครั้งที่ถึงเวลาเช่นนี้ เสียงแห่งความเคารพนอบน้อมก็จะดังขึ้นๆ ลงๆ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส หลงใหลไปกับการเสพสุขเช่นนี้ ทั้งยังตั้งใจไปที่คุกมารเป็นพิเศษด้วย…

แม้ว่าหลี่ซวี่จะจนใจ แต่ก็จำต้องคารวะด้วยความอ่อนน้อม

ก่อนจะติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทำราวกับมาตรวจสอบเยี่ยมชมงานในคุกมารแห่งนี้…ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกเหมือนได้ฟื้นตัวกลายมาเป็นเจ้านาย เดินอยู่ในคุกมารด้วยมาดราวกับคนที่กำลังให้การชี้แนะด้านการบริหารบ้านเมือง

นายตะรางของสี่เขตใหญ่และยังมีสี่แส้ทมิฬต่างก็ห้อมล้อมอยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยใจที่เลื่อนลอย

โดยเฉพาะคิดถึงที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้คุมคุก แล้วภายหลังก็กลายมาเป็นนักโทษ ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเป็นผู้กำกับการป๋าย…

ยิ่งซุนเผิงจากเขตติงก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน ยามนี้พอมาตรวจสอบจึงชื่นชมเขตติงมากเป็นพิเศษจนซุนเผิงอดที่จะปลาบปลื้มยินดีไม่ได้

โดยเฉพาะสำหรับกองที่เก้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ ทั้งยังถึงขั้นเรียกให้หัวหน้าของกองที่เก้ามาเดินอยู่ข้างกายตัวเอง ความมีเกียรติเช่นนี้ทำให้ทั้งกองเก้าพากันฮึกเหิม

“ข้าผู้แซ่ป๋ายมีความรู้สึกอันดีต่อคุกมาร ที่นี่เคยเป็นบ้านของข้า ความรู้สึกของข้าที่มีต่อที่นี่ต่างหากถึงจะลึกซึ้งมากที่สุด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง

ทุกคนที่อยู่ด้านหลังพากันตอบรับ แต่ละคนต่างเผยสีหน้าซาบซึ้งใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลับมายังเขตติงและได้เห็นที่พักของตัวเองเขาก็ยิ่งมีสีหน้าย้อนทวนความทรงจำ

“โดยเฉพาะที่นี่ ข้าผู้แซ่ป๋ายอยากจะทอดทิ้งตัวตนทั้งหมดแล้วกลับมาเป็นผู้คุมต่อไปยิ่งนัก”

คำพูดของเขาดังจบ ทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันเผยสีหน้าตกใจ รีบเอ่ยเกลี้ยกล่อม

“ผู้กำกับการป๋ายจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ท่านผู้อาวุโสมีงานรัดตัว ต้องรับภาระยิ่งใหญ่ บนบ่าของท่านแบกความเจริญและความเสื่อมโทรมของตลอดทั้งนครผียักษ์เอาไว้นะ”

“นั่นสิ ไต้เท้าผู้กำกับการ นครผียักษ์ขาดผู้คุมคนหนึ่งได้ แต่จะขาดคนที่กำกับดูแลเมืองไม่ได้นะ”

เห็นว่าทุกคนล้วนเอ่ยเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจยาวราวกับจนใจเป็นอย่างยิ่ง

“เอาเถอะๆ ในเมื่อทุกคนต่างก็พูดอย่างนี้ ข้าก็คงได้แต่สละอุดมการณ์ของตัวเอง ทุกอย่าง ล้วนทำเพื่อหวังเหย่ ทุกอย่าง ล้วนทำเพื่อนครผียักษ์!”

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าจริงจัง ดวงตาของหลายคนที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับมีน้ำตาคลอ

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ หนึ่งที รู้สึกเหมือนตัวเองพูดเลยเถิดเกินไปหน่อย เฮ้อ คนกำลังเคลิบเคลิ้มนี่นะ…ดังนั้นจึงยุติการเยี่ยมชมครั้งนี้ ขณะที่กำลังจะจากไปเขาก็หันมามองหลี่ซวี่ที่ตลอดเวลายืนอยู่ข้างกายเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติหรืออาจถึงขั้นเรียกได้ว่าไม่น่ามอง

“หลี่ซวี่ ข้าผู้เป็นผู้กำกับการต้องตำหนิเจ้าเสียหน่อย วันนั้นตอนที่หวังเหย่ได้รับอันตราย มีเพียงข้าคนเดียวที่ให้การคุ้มกัน วันนั้นเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เขาเดินวนอยู่นานขนาดนี้ หลี่ซวี่ผู้นี้กลับไม่แสดงท่าทีอะไรสักอย่าง นี่ยังพอทำเนา แต่ไอ้การที่อีกฝ่ายมีสีหน้ามืดคล้ำอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก

“วันนั้น…ข้าน้อยไปอยู่กับอู๋ฉางกง…” หลี่ซวี่เงียบไปครู่ถึงได้กัดฟันตอบ

นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน จ้องหลี่ซวี่อยู่พักใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงเรียบออกมาหนึ่งประโยค

“หวังเหย่ได้รับอันตราย แต่เจ้ากลับไปหาอู๋ฉางกง หลี่ซวี่ เจ้านี่ช่างทุ่มเททำหน้าที่ได้ดีจริงๆ”

หลี่ซวี่หน้าเปลี่ยนสี เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนโดยพลัน พอสังเกตเห็นแสงเย็นเยียบในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของเขาก็ถี่รัว รู้ว่าท่าทีของตัวเองก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องนัก แถมยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นเพราะใจตนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งประโยคเมื่อครู่นี้ก็ยิ่งเป็นการล่วงเกินอีกฝ่าย พอนึกถึงฐานะของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้ หลี่ซวี่ก็เริ่มหวาดกลัวจึงรีบกุมมือคารวะ เอ่ยอธิบายเบาๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย และระหว่างเขากับหลี่ซวี่ก็ไม่ได้มีความแค้นลึกซึ้งอะไรต่อกัน เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ท่าทีของอีกฝ่ายจึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พอเห็นว่าอีกฝ่ายยอมโอนอ่อนเปลี่ยนท่าที เขาก็พยักหน้าปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินเล่นไปตามใจชอบอยู่พักใหญ่แล้วค่อยจากไป

หลายวันหลังจากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงเดินอวดบารมีอยู่ในเมืองด้วยความฮึกเหิมต่อไป ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมเรื่องที่สามตระกูลไล่ฆ่าตนวันนั้นรวมไปถึงความแค้นระหว่างตัวเองกับตระกูลป๋าย

นิสัยของเขาอาจไม่ถึงกับมีแค้นต้องชำระ แต่หากกุมอำนาจอยู่ในมือเมื่อไหร่ ทุกครั้งที่นึกถึงสามตระกูลเขาก็โมโหเมื่อนั้น แต่ดูเหมือนว่าราชาผียักษ์จะมีแผนการอย่างอื่น นอกจากสังหารบุรพาจารย์ตระกูลไช่แล้ว บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายและบุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็แค่ถูกเขาจับกุมตัวไปไว้เท่านั้น ส่วนสามตระกูลก็ยังไม่ได้มีการจัดการอะไรที่เป็นพิเศษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนทนมาหลายวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงแอบบอกเป็นนัยให้กับแต่ละขั้วอิทธิพลที่ต้องการเอาใจเขารับรู้ ดังนั้นไม่นานแต่ละฝ่ายในนครผียักษ์จึงเริ่มลงมือกำราบสามตระกูลใหญ่อย่างลับๆ!

ผ่านไปอีกหลายวัน จนกระทั่งราชาผียักษ์เริ่มทนมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่วันๆ ไม่ทำการทำงานเอาแต่เดินเบ่งบารมีไปทั่วไม่ไหวจึงเรียกป๋ายเสี่ยวฉุนมาอบรมชุดใหญ่

ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กลับมายังที่พักด้วยความอึดอัดขัดใจ นั่งถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ในห้องลับที่ใช้ปิดด่าน ก่อนจะหยิบเอาวิญญาณคนฟ้าออกมาเริ่มบำเพ็ญตบะ

เขาไม่ได้ลืมเรื่องการบำเพ็ญตบะ เพียงแต่ว่าพอได้เป็นผู้กำกับการป๋าย เขาก็อดไม่ไหวที่จะออกไปโอ้อวดตัว

เพราะอย่างไรซะก่อนหน้านี้ตำแหน่งของเขาในนครผียักษ์ก็ต่ำต้อยเกินไป การที่อยู่ๆ ได้ลืมตาอ้าปากเช่นนี้ หากจะไม่ให้เขาอวดตัวบ้างเลยก็กระไรอยู่

ตอนที่เขากำลังฝึกบำเพ็ญตบะ ยามนี้ราชาผียักษ์เองก็มีสีหน้าระอาใจ หลายวันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเหมือนจิ้งจอกแอบอิงบารมีเสือ เขาเองก็เห็นอย่างชัดเจน และก็ยิ่งเข้าใจนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น

“เจ้าเด็กกะล่อนคนนี้บางครั้งก็มากเล่ห์กลเม็ดแยบคาย วิธีการโหดเหี้ยมอำมหิต แต่บางครั้งกลับทำตัวเหมือนเด็ก…” ราชาผียักษ์ส่ายหัว ทว่าส่วนลึกในหัวใจกลับรู้สึกวางใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีท่าทีเช่นนี้แม้จะทำให้เขาหน่ายใจ แต่พอคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีส่วนที่น่ารักอยู่บ้างเหมือนกัน และที่สำคัญที่สุดก็คือ…คนที่ชอบโอ้อวดตัวเองแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้จะไม่มีทางทำเรื่องทรยศใครเด็ดขาด เพราะอย่างไรซะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีทุกอย่างในตอนนี้ก็ล้วนมาจากความกรุณาของตนทั้งสิ้น

ส่วนเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบลงมือจัดการกับสามตระกูลใหญ่ ราชาผียักษ์เองก็เห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้สนใจนัก เพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

“แต่เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้ขี้เกียจฝึกตนเกินไป ไม่ให้ความกดดันกับเขาเสียบ้าง เจ้าป๋ายฮ่าวนี่ก็ไม่มีทางสนใจจะฝึกฝน เห็นได้ชัดว่าชอบดื่มด่ำไปกับความสุขในการใช้ชีวิตเสียมากกว่า” สายตาของราชาผียักษ์กวาดมองไปยังที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน ปากก็พึมพำเบาๆ บัดนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าหลังจากที่พาป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมายังนครผียักษ์ ท่าทีที่เขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนแตกต่างไปจากที่มีต่อคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด…

และยามนี้ในห้องลับ ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมสมาธิ ระงับความลำพองใจจากตัวตนที่เปลี่ยนแปลงเอาไว้ นัยน์ตาเริ่มเผยความสงบ มองวิญญาณคนฟ้าที่อยู่ในมือ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เผยความรอคอย

“นี่คือวิญญาณคนฟ้าดวงสุดท้ายที่ข้าต้องการ…หลังจากผสานรวมมันเข้าในกาย วิญญาณคนฟ้าห้าธาตุก็ครบถ้วน…การฝ่าทะลุขั้นที่ข้ารอคอยมานานใกล้จะมาถึงแล้ว!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความฮึกเหิม ก่อนจะกดวิญญาณคนฟ้าลงไป…ที่หน้าอกของตัวเอง

“ตูม!”

เมื่อวิญญาณคนฟ้าธาตุทองผสานรวม ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มสงบนิ่ง ตบะในร่างพลันโคจร ความรู้สึกที่คุ้นเคยลอยขึ้นมากลางใจ และความรู้สึกที่เหมือนร่างกายจะแหลกสลายก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างด้วยเช่นกัน

เรือนกายที่นั่งขัดสมาธิของเขามีเงามายาทับซ้อนขึ้นมา หากมองอย่างละเอียดซึ่งรวมตัวจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยก็เหมือนจะมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนห้าคนทับซ้อนกันอยู่ เมื่อเวลาผันผ่าน ไม่นาน…ร่างจำแลงที่ห้าก็ค่อยๆ เผยกาย และเริ่มเปลี่ยนมาเป็นชัดเจน จนกระทั่ง…ทับซ้อนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ!

เสียงตูมตามดังก้องอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเบิกโพลง มือทั้งคู่ทำมุทราโบกไปรอบด้าน

“ร่างจำแลง ออกมา!”

ตูมๆๆๆๆ!!

เสียงกัมปนาทกึกก้อง ร่างจำแลงทั้งห้าเดินออกมาจากร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากล้อมวนอยู่รอบตัวจริงของเขาแล้ว พลานุภาพสยบที่น่าตะลึงระลอกหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากร่างจำแลงและตัวจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลาเดียวกัน

ไม่ว่าร่างจำแลงใดก็ล้วนมีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ล้วนสามารถเขย่าคลอนก่อกำเนิดขั้นต้นได้!

แม้ก่อกำเนิดวิถีฟ้าจะยังไม่ปรากฏ ทว่าลำพังเพียงแค่พละกำลังที่เกิดจากขั้นตอนนี้ก็มากพอจะสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้แล้ว

“อันดับต่อไป ก็คือ…ก่อกำเนิดวิถีฟ้า!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงคมกล้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version