Skip to content

A Will Eternal 689

บทที่ 689 พวกเขาจะฆ่าข้า

“สหายนักพรตทุกท่าน คนมากันครบแล้ว ข้าผู้อาวุโสนอกจากนำองค์ชายรองมาส่งที่นี่ ยังได้รับคำสั่งจากต้าเทียนซือให้เป็นผู้เปิดกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ด้วย” ขณะที่ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยังเลื่อนลอย บุคคลที่ติดตามมาด้านหลังองค์ชายสองและเฉินม่านเหยาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

นี่คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ ดวงตาเฉยเมยเย็นชา แม้แต่น้ำเสียงที่แหบเครือที่ก้องกังวานไปรอบด้านก็ยังแทรกซอนไว้ด้วยความเย็นสะท้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก คืนสติมาจากความเลื่อนลอย พอมองเฉินม่านเหยาด้วยสายตาซับซ้อนอีกครั้งอารมณ์จึงสงบลงได้ในที่สุด

“สหายนักพรตอู๋ฉาง สหายนักพรตอวิ๋นซาน และยังมีสหายนักพรตหงหลัว ได้โปรดช่วยข้าผู้อาวุโสอีกแรง” นักพรตวัยกลางคนเอ่ยเนิบช้า เดินหนึ่งก้าวก็มาหยุดอยู่เหนือกาหลอมวิญญาณ ขณะเดียวกันอู๋ฉางกงและชายหญิงอาวุโสสองคนที่มาส่งโจวหงกับซวี่ซานต่างก็พากันพยักหน้าแล้วก้าวเดินออกมา

คนทั้งสี่ยืนอยู่เหนือกาหลอมวิญญาณพร้อมกัน ต่างคนต่างทำมุทราชี้ไป พลังคนฟ้าแผ่ลงมาดังครืนครั่น ก่อนจะต่อตัวเป็นคลื่นไพศาลระลอกหนึ่งที่กระทบลงบนกาหลอมวิญญาณ

ไม่นานภายใต้เสียงกัมปนาทกึกก้อง กาหลอมวิญญาณก็สั่นไหวอย่างแรง ตรงปากกายิ่งมีหมอกควันสีดำผุดพล่านออกมาแล้วแผ่ขยายปกคลุมไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง

“พวกเจ้ายังมีเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งก้านธูป เมื่อหมดเวลา พวกข้าจะเปิดกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ พวกเจ้าจงรีบเข้าไปข้างในทันที กานี้พวกข้าสี่คนใช้เวลาเปิดได้แค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น ดังนั้นภายในครึ่งก้านธูปทุกคนต้องเข้าไปกันทั้งหมด ขั้นตอนระหว่างนี้ยากจะบอกได้

มีเพียงดอกไม้ผลิบานแล้วเท่านั้น กาหลอมวิญญาณถึงจะเปิดออกด้วยตัวเอง พวกเจ้าทุกคนต้องออกมาภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม หากชักช้าจะเจอกับวิกฤตอันตราย!” เสียงเย็นเยียบของชายวัยกลางคนที่เป็นตัวหลักในการเปิดกาหลอมวิญญาณดังสะท้อนไปทั่ว เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรอบด้านพากันตึงเครียด ต่างคนต่างโคจรตบะรอคอยอย่างเงียบเชียบ ขณะเดียวกันก็แอบมองประเมินกันไปมาคล้ายมีการส่งข้อความเสียงหากัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปตรงปากกา ใจคิดว่าอีกครู่ควรจะถ่วงเวลาให้ช้าหน่อยดีหรือไม่ แต่ต่อให้ถ่วงเวลาอย่างไรก็คงยากที่จะลากยาวไปได้ถึงครึ่งก้านธูป

“ช่างเถอะๆ” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลัดกลุ้ม เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ พลันสัมผัสได้ว่าเพียงแค่ครู่เดียวก็มีสายตาของคนเกินหลายสิบคนมองมายังตน เขามองไปรอบด้านอย่างคลางแคลงใจ และการมองไปครั้งนี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความระวังภัยทันที

เขาเห็นว่าเหล่าผู้กล้าทุกคนที่อยู่รอบด้านเหมือนกำลังมองประเมินตนด้วยท่าทางครุ่นคิด แสดงเจตนาร้ายให้เห็นโจ่งแจ้ง ต่อให้เป็นโจวหง ซวี่ซานและกงซุนอี้ก็ยังมีสายตาไม่ต่างกัน นั่นจึงยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องบอกกับตัวเองว่าท่าไม่ดี

“พวกเขาร่วมมือกันมาจริงๆ ด้วย” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มั่นคงเล็กน้อย นี่คือสถานการณ์ที่เขาเป็นกังวลมากที่สุด หากคนกลุ่มนี้ร่วมมือกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คิดว่าต่อให้ตัวเองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ นี่มันคนนับร้อยเชียวนะ หากแต่ละคนร่ายใช้ท่าไม้ตายขึ้นมา แม้แต่คนฟ้าก็ยังต้องปวดหัว

“คนพวกนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว พวกเขาช่างใจกล้ายิ่งนัก ข้าร้ายกาจขนาดนี้ เป็นถึงผู้บังคับกองหมื่นแห่งกำแพงเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังเป็นผู้กำกับการใหญ่ของนครผียักษ์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ขนาดคนฟ้าข้ายังกล้าเล่นงาน ครึ่งเทพข้ายังกล้าจับตัว มีหรือจะมากลัวคนอย่างพวกเขา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าในด้านการแสดงพลังอำนาจตนจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด พอปลอบใจตัวเองจบจึงปลุกระดมกำลังใจตัวเองอีกครั้ง

“แต่ข้าเองก็ไม่ควรไปรังแกคนอื่น ช่างเถอะๆ ตัวตนของข้าช่างสูงส่งยิ่งนัก แถมยังเป็นก่อกำเนิดวิถีฟ้า อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ครั้งนี้ข้าต้องถ่อมตัวให้มาก พอเข้าไปก็เดินวนสักรอบแค่นี้คงจบเรื่อง อย่าไปแย่งชิงกับเด็กน้อยพวกนี้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตนนั้นใจกว้างยิ่งกว่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจพวกนี้หลายเท่า ดังนั้นจึงรีบเผยรอยยิ้มเมตตาปราณี มองไปที่คนเหล่านั้นพร้อมพยักหน้าให้นิดๆ

ทว่ารอยยิ้มและความเป็นมิตรนี้กลับใช้ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย สายตาที่แฝงเจตนาร้ายไม่เพียงแต่ไม่จางหาย ยังไปทำให้พวกโจวหง จ้าวตงซานเผยความดูแคลนและเหยียดหยามออกมามากกว่าเดิม

สายตานี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดปรี๊ดทันใด เขารู้สึกว่าตัวเองที่ร้ายกาจไร้เทียมทานอุตส่าห์เป็นฝ่ายแสดงความเป็นมิตรก่อน คนเหล่านี้กลับเหมือนสุนัขนั่งเกี้ยว ไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น!

“เกินไปแล้วนะ เอาเถอะๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าอีกฝ่ายคนมากกว่าจึงข่มอารมณ์ไว้อย่างคับแค้น ขณะที่กำลังจะถอนสายตากลับ เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง!

“ไม่ถูก”

ครั้งนี้เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารในดวงตาของคนเหล่านั้น พวกเหล่าผู้กล้าที่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่ทุกคนที่เชี่ยวชาญการอำพราง ในจำนวนนี้มีคนบางส่วนที่อาจรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังจึงเผยจิตสังหารออกมาทางดวงตา ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นทันใด

“พวกเขาจะฆ่าข้า?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ

ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การแย่งชิงบุปผาราชาผีเท่านั้น เขาเป็นตัวแทนของราชาผียักษ์ แม้เขาจะรู้ว่าต้องมีอันตราย แต่ก็คิดมาโดยตลอดว่าขอแค่ตนไม่ลงมือช่วงชิง ถ้าเช่นนั้นความอันตรายย่อมไม่มากล้ำกรายเขา

ทว่าไอสังหารของคนพวกนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนระวังตัวขึ้นมาทันที

สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้นั้นนับว่าไม่ผิดไปจากความเป็นจริง แม้ไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนที่เป็นเช่นนี้ แต่ก็มีคนบางส่วนที่เกิดจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ ทว่านั่นก็หาใช่เพราะตั้งใจจะเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนโดยเฉพาะ

แต่เพราะพวกเขารู้ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่ลูกหลานเชื้อพระวงศ์จากไหน เป็นแค่ลูกน้องของราชาผียักษ์เท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาย่อมกล้าสังหารบุคคลเช่นนี้!

และการสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายดายที่สุด ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนตาย ถ้าเช่นนั้นตัวแทนที่เข้าร่วมช่วงชิงบุปผาราชาผีของฝ่ายราชาผียักษ์ครั้งนี้ก็เท่ากับหมดสิทธิ์ นอกเสียจากว่าราชาผียักษ์ยังมีแผนรับมืออย่างอื่น

ส่วนสุดท้ายแล้วหวังเหย่คนไหนจะเป็นคนได้ไปครอง นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะทุกคนล้วนสามารถนำมันไปแลกเปลี่ยนกับราชาผียักษ์ได้ และกลุ่มอิทธิพลที่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของหวังเหย่ฝ่ายนั้นก็จะได้ผลประโยชน์ไปด้วย เพียงแต่ว่าใครที่แย่งชิงมาได้ก็เท่ากับสร้างคุณงามความดี ผลประโยชน์ที่ได้รับจึงมากที่สุดเท่านั้น

เรื่องนี้ย่อมล่วงเกินราชาผียักษ์อยู่แล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น เหล่าพวกชนชั้นสูงย่อมกริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่เรื่องราวในคราวนี้คือการร่วมมือกันของสามราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ มีพวกเขาสามคนอยู่ก็มากพอจะทำให้เรื่องในครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น ต่อให้ราชาผียักษ์จะเดือดดาลแค่ไหนก็มิอาจบันดาลโทสะได้

และทุกอย่างนี้ก็ถือเป็นผลแห่งการกระทำครั้งหนึ่ง เพราะอย่างไรซะทุกคนล้วนรู้ดีว่าสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ปรองดองกันมานานแล้ว

อีกทั้งท่ามกลางการช่วงชิงอาวุธลับหลายชิ้นที่ปรากฏขึ้นในแดนทุรกันดารระหว่างสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้ ผู้ที่ได้ครอบครองไปมากที่สุดก็ล้วนเป็นราชาผียักษ์ ดังนั้นพอบุปผาราชาผีที่สำคัญต่อราชาผียักษ์อย่างถึงที่สุดดอกนี้ผลิบาน สามราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่จึงเกิดความเห็นพ้องต้องกันอย่างหาได้ยากยิ่ง พวกเขาต้องการฉวยโอกาสครั้งนี้ขัดขวางราชาผียักษ์ให้ถึงที่สุด!

การต่อสู้ในระดับครึ่งเทพแบบนี้ สำหรับเหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นเพียงแค่บุคคลตัวเล็กๆ ที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

องค์ชายสองที่อยู่ในกลุ่มคนรับฟังข้อความเสียงที่คนส่งเข้ามาในหูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้เอ่ยปากทักท้วง ในใจก็ยิ่งหัวเราะหยัน แดนทุรกันดารในยามนี้จักรพรรดิขุยอ่อนแอ ต้าเทียนซือจับตัวโอรสสวรรค์เอาไว้เพื่อใช้ออกคำสั่งแก่บรรดาชนชั้นสูง และราชาสวรรค์ทั้งสี่เองก็ไม่ได้ยอมตายเพื่อคุ้มครองจักรพรรดิขุย แต่ต่างฝ่ายต่างฉกฉวยผลประโยชน์เพื่อสร้างกองกำลังของตัวเองให้มั่นคง

อย่างหนึ่งในพื้นที่ลับทั้งแปดซึ่งเดิมทีควรเป็นของเชื้อพระวงศ์แห่งนี้

เพียงแค่ต้าเทียนซือเอ่ยคำเดียวก็หลุดพ้นจากการครอบครองของเชื้อพระวงศ์ กลายมาเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ที่ทุกคนช่วงชิงกันไปทันที ในฐานะที่เขาเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นต้าเทียนซือหรือสี่ราชาสวรรค์ เขาก็เคียดแค้นหมดทุกคน พอได้เห็นว่าราชาสวรรค์ทั้งสี่แตกคอกันเอง เขาย่อมสำราญใจ เพียงแต่สายตาตอนที่มองไปยังเฉินม่านเหยาซึ่งอยู่ข้างกายมีความซับซ้อนก็เท่านั้น

เฉินม่านเหยาที่อยู่ข้างกายองค์ชายสองสีหน้าเฉยชา ราวกับไม่สนใจเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่นางมาครั้งนี้ก็เพราะได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาช่วงชิงผลราชาผีกลับไปเท่านั้น ใครแย่งไปได้ คนผู้นั้นก็คือศัตรูของนาง

เมื่อเวลาผ่านพ้น ครึ่งก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน เขามั่นใจมากแล้วว่ามีคนบางส่วนคิดจะสังหารเขาจริงๆ

“ยังดีที่ไม่ใช่ทุกคน เป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น อีกอย่างหากข้าตาย ราชาผียักษ์ก็ต้องตายเหมือนกัน ราชาผียักษ์คงไม่ได้ส่งข้ามาตายกระมัง” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น และเวลานี้เอง เมื่อหนึ่งก้านธูปหมดลง เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้อง ปากกาหลอมวิญญาณไม่มีหมอกควันผุดออกมาอีกต่อไป แต่เผยให้เห็นเป็นช่องทางดำมืดเส้นหนึ่งแทน

ชายวัยกลางคนที่เป็นตัวหลักในการเปิดกาหลอมวิญญาณพลันเอ่ยขึ้นมา

“ยังไม่เข้าไปอีก!”

วินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้น พวกกงซุนอี้และโจวหงต่างก็ระเบิดความเร็วห้อทะยานไปยังเส้นทางนั้นในชั่วพริบตา คนอื่นๆ เองก็รีบร้อนบินเข้าไป ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นถอนหายใจยาวเหยียดแล้วก็รีบบินไปเหมือนกัน

“พอเข้าไปแล้วก็จัดการกับพวกเขาก่อน อย่าให้โอกาสพวกเขาได้ร่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะปลอดภัยยิ่งขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันเพิ่มความเร็ว พริบตาเดียวก็ทะยานไปตามช่องทางของกาหลอมวิญญาณ ห้อตะบึงไปด้านหน้าอย่างว่องไว

ช่องทางจากตรงปากของกาหลอมวิญญาณนี้มองดูเหมือนยาวมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อได้เข้าไป ช่องทางนั้นกลับหายวับไปในพริบตา

ทุกคนรวมถึงป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็มาโผล่อยู่ระหว่างฟ้าดินในกาหลอมวิญญาณ!

นี่คือโลกที่ตั้งตัวเป็นอิสระใบหนึ่ง ท้องฟ้าเป็นสีเทาขมุกขมัว พื้นดินเป็นสีม่วงทั้งแถบ รอบด้านมีหมอกควันสีดำอบอวล ในหมอกควันเหล่านั้นเหมือนจะมีผีร้ายนับไม่ถ้วนที่ว่ายวนฉวัดเฉวียนอยู่ภายใน ทั้งยังใช้สายตาวังเวงน่าขนลุกมองมายังทุกคนที่ปรากฏตัวในที่แห่งนี้

ความรู้สึกกดดันระลอกหนึ่งแผ่ซ่านไปรอบด้าน อีกทั้งผีร้ายที่อยู่ในหมอกควันเหล่านั้นยังทำให้ทุกคนสัมผัสถึงวิกฤตรุนแรงด้วย

มองผ่านหมอกควันไปสามารถมองเห็นเทือกเขาแต่ละเส้นที่ทอดตัวอยู่บนพื้นดิน และที่ห่างออกไปไกลกว่านั้น จุดที่เทือกเขาทั้งหมดตรงเข้าไปรวมตัวกันมีแอ่งกระทะขนาดใหญ่ยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง!

ยามนี้เหนือแอ่งนั้นมีหมอกควันเข้มข้นรวมตัวกันล้อมวนบุปผาหมอกราชาผีซึ่งเหมือนกับดอกที่อยู่ข้างนอกไม่มีผิดเพี้ยน

มันกำลังค่อยๆ ผลิกลีบ ยังไม่ได้บานอย่างเต็มที่ เกรงว่าคงต้องรออีกพักหนึ่งกว่าที่จะผลิดอกออกผล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version