บทที่ 694 วิญญาณป๋ายฮ่าว
ใจของทุกคนที่อยู่ในโลกกาหลอมวิญญาณเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจล้วนซาบซึ้งถึงความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะจะออกไปก็ออกไม่ได้ ได้เพียงทำตามแผนการของพวกกงซุนอี้ จับกลุ่มกันตามหาต่อไป
แต่ละคนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าขอแค่โอบล้อมป๋ายฮ่าวไว้ได้ พวกเขาก็จะลงมือเต็มกำลังให้ป๋ายฮ่าวต้องฝังร่างไว้ที่นี่
ส่วนบุปผาราชาผีที่ผลิบานอย่างว่องไวนั้นก็ทำให้ทุกคนเข้าใจดีว่าเวลากระชั้นชิด จำเป็นต้องจัดการป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้โดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วพวกเขาก็ต้องแพ้อย่างราบคาบ
ขณะที่ทุกคนค้นหาตามแผนการนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังยืนอยู่กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง เขายืนหน้าเชิดอกตั้งอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าของเขาคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเกือบสามสิบคนที่นั่งเรียงแถวกัน แต่ละคนจ้องมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเดือดดาล พวกเขาถูกผนึกตบะ แขนขาทั้งสี่ก็ขยับไม่ได้ ตอนนี้ได้แต่กัดฟันกรอดๆ สายตาที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววคุกคามเต็มที่
“แน่จริงก็ฆ่าพวกเราซะสิ!”
“หึ ป๋ายฮ่าว เจ้าก่อเรื่องใหญ่เท่าแผ่นฟ้าแล้ว แม้แต่ราชาผียักษ์ก็ยังมิอาจปกป้องเจ้าได้!”
จ้าวตงซาน เสี่ยวหลางเสินก็อยู่ในกลุ่มคนเช่นกัน ดวงตาทั้งคู่ของพวกเขาแดงก่ำ หากสายตาฆ่าคนได้พวกเขาจะไม่รั้งรอใช้สายตาขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนให้เป็นผุยผงแน่นอน
“ยังจะกล้าข่มขู่ข้าอีกรึ พวกเจ้าคอยข้าก่อนเถอะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลึงตาเช่นกัน หลังจากกวาดสายตามองผ่านร่างของคนเกือบสามสิบคนนี้แล้ว
เขาก็หยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมาจากในถุงเก็บของด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มที่เมื่อครู่นี้ขู่เขาเสียงดังที่สุด
ชายหนุ่มผู้นี้ตกตะลึงทันที มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาแค้นเคือง
“เจ้าจะทำอะไร!”
“ทำอะไร แค่กๆ การฝึกบำเพ็ญตบะของข้าจำเป็นต้องใช้พลังชีวิตไงเล่า ข้าเลยจะขอยืมจากเจ้าเสียหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งทีก็ใช้ร่มราตรีนิรันดร์ที่อยู่ในมือตัวเองแทงสวบลงไปยัง…หน้าอกของชายหนุ่มอย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มร้องโหยหวนเจ็บปวด เสียงร้องนี้ทำเอาทุกคนที่อยู่รอบด้านหน้าเผือดสี แต่ละคนลมหายใจถี่รัว นัยน์ตาเผยความตะลึงลาน เห็นคาตาว่าร่างของชายหนุ่มผู้นั้นซูบเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็ว และเวลาเพียงแค่สิบกว่าลมหายใจ เส้นผมของเขาก็ขาวโพลน เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ภาพเหล่านี้ทำเอาทุกคนใจตกไปอยู่ตาตุ่ม สายตาที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ยิ่งขณะที่ดูดซับ ร่มราตรีนิรันดร์คันนั้นยังปล่อยแสงประหลาดราวกับกลายมาเป็นปากขนาดใหญ่ที่กำลังกลืนกินพลังชีวิตด้วยความละโมบ และพลังชีวิตนี้ก็ไหลบ่าเข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งร่าง เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงดึงร่มราตรีนิรันดร์ออก ใบหน้าของเขาแดงปลั่ง รีบนั่งขัดสมาธิทันทีโดยไม่สนใจผู้ใด จากนั้นก็โคจรกระดูกคงกระพันขั้นที่สี่ของบทมิวางวายอย่างไม่ให้เสียเวลา!
เมื่อคาถาถูกโคจร พลังชีวิตที่ไหลบ่าท่วมท้นอยู่ในกายก็ไหลหายไปผสานรวมกับกระดูกทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนสดชื่นปลอดโปร่งประหนึ่งพื้นดินแตกระแหงได้รับฝนชโลมชุ่มฉ่ำ
ทว่าภาพนี้กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมไปถึงเสี่ยวหลางเสินและจ้าวตงซานต่างก็อ้าปากสูดลมหายใจเฮือก สีหน้าซีดขาว ตกตะลึงและหวาดกลัวอย่างรุนแรง ยิ่งได้เห็นว่าชายหนุ่มคนที่ถูกสูบดึงพลังชีวิตเหมือนมีแค่ลมหายใจออกไม่มีลมหายใจเข้า นอนหายใจรวยริน แม้จะยังไม่ตาย ทว่าพลังต้นกำเนิดกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส นั่นก็ยิ่งทำให้ทุกคนหนังหัวชาดิก
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ฝึกวิชามารอะไรกัน!!”
“สวรรค์ ถึงกับดึงเอาพลังชีวิตไปฝึกตน…”
“ข้ารู้แล้วว่าทำไมเขาถึงจับเป็นพวกเรา ที่แท้เขาก็คิดจะใช้พวกเรามาฝึกวิชา!!” ขณะที่ทุกคนอกสั่นขวัญผวากันอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันลืมตาโพลง นัยน์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆ เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ ด้วย ขอแค่มีพลังชีวิตที่มากพอ ข้าก็สามารถฝึกกระดูกคงกระพันนี้ได้ หึหึ ข้าจะไม่สังหารคนเหล่านี้ แต่พอดูดพลังชีวิตของพวกเขาจนเกลี้ยงแล้วค่อยโยนไปให้ราชาผียักษ์ ให้ราชาผียักษ์ปวดหัวเล่นๆ ก็แล้วกัน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงชั่วร้าย เสียงหัวเราะนี้ทำเอาหัวใจของทุกคนเต้นกระหน่ำอย่างลนลาน ทว่ายังไม่ทันรอให้พวกเขาเอ่ยปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนที่สอง
“สวัสดี หวังว่าเจ้าจะให้ความร่วมมือแต่โดยดีนะ วางใจเถอะ เจ้าจะไม่เจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มล่อลวง ระหว่างที่พูดและขณะที่สีหน้าของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้นี้เต็มไปด้วยความหวาดผวา ร่มราตรีนิรันดร์ก็ถูกแทงเข้าไปอีกครั้ง…
ไม่นานคนที่สาม คนที่สี่…เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูบดึงพลังชีวิตของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมาจนครบหนึ่งรอบ และยามนี้ร่างของเขาก็กำลังสั่นสะท้าน เมื่อกระดูกในร่างผสานรวมกับพลังชีวิตและการโคจรของคาถาจึงส่งเสียงกัมปนาทอื้ออึงสองที!
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่แสงสีดำ แสงนั้นเปล่งวาบอยู่สองสามครั้งถึงได้ค่อยๆ สลายไป เขาลืมตาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งครั้ง บัดนี้กระดูกทั่วร่างของเขาแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
“ขั้นกระดูกหลอม รอบที่สอง!” นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความรอคอย เขารู้ว่ามีเพียงฝึกขั้นกระดูกหลอมซ้ำอีกรอบเท่านั้นเขาถึงจะบรรลุมาตรฐานของหมัดเทพไม่ดับสูญ
“พลังชีวิตที่กระดูกคงกระพันนี้ต้องการช่างน่ากลัวยิ่งนัก คนมากมายขนาดนี้กลับพอจะให้ข้าฝึกถึงรอบที่สองอย่างกล้อมแกล้มเท่านั้น…นี่มันออกจะเกินไปหน่อยไหม แต่ว่าการมากาหลอมวิญญาณครั้งนี้ถือว่าคิดถูกแล้ว ในนี้มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจตั้งหลายคน ทุกคนก็เหมือนยาใหญ่เม็ดหนึ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาสดชื่นแจ่มใส มองศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเกือบสามสิบคนที่ตอนนี้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ละคนอ่อนโหยโรยแรง ครั้นจึงจับพวกเขามัดแล้วเก็บไว้ในถุงเก็บของอีกครั้ง เสร็จแล้วถึงได้บินทะยานเข้าไปในกลุ่มหมอกด้วยความคึกคัก
เมื่ออยู่ในกลุ่มหมอก ป๋ายเสี่ยวฉุนอำพรางร่องรอยของตัวเองไปตลอดทาง เคลื่อนหน้าอย่างเชื่องช้าระมัดระวัง หัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปม เขาค้นพบว่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ไม่ได้รวมกลุ่มห้าคนอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสิบคน
ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดว่าหากตนลงมือแล้วจัดการคนทั้งหมดไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ จนเป็นเหตุให้คนอื่นๆ ตรงเข้ามาโอบล้อม ตนก็จะต้องถูกทุกคนร่วมมือกันโจมตีอย่างเช่นก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“หึ กลุ่มละสิบคน ข้าก็ลงมือได้เหมือนกัน อย่างมากก็จับมัดรวบไปพร้อมกันทีเดียวเลย ข้าไม่รีบ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดดีแล้วจึงเงยหน้าแค่นเสียงเย็น ก่อนจะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มหมอกตามหาเป้าหมายที่จะลงมือ ไม่นานนักเขาก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีสิบคน ตบะของสิบคนนี้คละเคล้ากันไป
แม้ขณะที่เคลื่อนที่มาข้างหน้ารอบกายพวกเขาจะมีวิญญาณพยาบาทเข้าๆ ออกๆ แต่ส่วนใหญ่ก็แค่ล้อมวนเท่านั้น ไม่ได้ลงมือทำอะไรบุ่มบ่าม
คนหนึ่งในกลุ่มนี้ทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วนิ่ง คนผู้นี้ก็คือ…เมี่ยวหลินเอ๋อร์
จนถึงตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงจำได้แม่นถึงเวทลับสุดท้ายของหญิงสาวผู้นี้ที่ทำให้อาการบาดเจ็บทั่วร่างของตนระเบิดออกมาอย่างมิอาจระงับ เป็นเหตุให้อาการบาดเจ็บของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นถึงเปิดโอกาสให้โจวหงออกท่าไม้ตาย
“ใจสตรีอำมหิตที่สุด แม้หน้าตาของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้จะเทียบไม่ได้กับหน้าตาที่แท้จริง แต่ก็ถือว่าหล่อเหลาคมคาย ทั้งยังไม่เคยล่วงเกินเจ้ามาก่อน แต่เจ้ากลับลงมือโหดเหี้ยมยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตาทั้งคู่ลง แล้วก็หันไปมองทุกคนที่อยู่รอบกายเมี่ยวหลินเอ๋อร์อีกหนึ่งรอบ พอคำนวณดูอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาก็เผยแววตัดสินใจเด็ดขาด พลันระเบิดความเร็วอย่างไม่ลังเล
พริบตาเดียวเขาก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวที่พุ่งทะยานเข้าหาพวกเมี่ยวหลินเอ๋อร์อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ก่อนจะเหวี่ยงหมัดต่อยโครมไปกลางอากาศ
หมัดนี้กลายมาเป็นลมพายุที่หมุนคว้างครืนครั่นเข้าไปใกล้ทุกคน การปรากฏตัวของเขาทำให้พวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างเมี่ยวหลินเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสี บางคนกระอักเลือด กลุ่มสิบคนแตกฮือออกจากกันทันที มีคนรีบส่งข้อความเรียกกำลังเสริม ขณะเดียวกันเมี่ยวหลินเอ๋อร์ก็ถอยกรูดออกห่างพร้อมหัวเราะเสียงดัง
“ป๋ายฮ่าว เจ้าติดกับแล้ว รวมค่ายกล!”
เมื่อเสียงของเมี่ยวหลินเอ๋อร์ก้องกังวาน นัยน์ตาของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่รอบด้านฉายแสงประหลาด ก่อนที่บนร่างของทุกคนจะมีอักขระจำนวนมากลอยขึ้นมา พริบตาเดียวอักขระเหล่านี้ก็กระจายตัวกันแล้วก่อรวมขึ้นเป็นค่ายกล!
ค่ายกลนี้เยื้องกรายลงมาจากรัศมีร้อยลี้พร้อมเสียงดังอึกทึก ประหนึ่งห้องขังขนาดใหญ่ที่กักตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ภายใน
นี่ก็คือแผนการของพวกกงซุนอี้ แม้ว่าพวกเขาจะพาคนออกไปตามหาข้างนอก แต่กลุ่มของคนอื่นๆ กลับวางแผนซุ่มโจมตีไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวอีกครั้งก็จะต้องตกมาอยู่ในค่ายกลของพวกเขาทันที
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกค่ายกลปกคลุม พวกกงซุนอี้ โจวหงและซวี่ซานก็ได้รับข้อความเสียง คนทั้งสามร่ายความเร็วสุดกำลังห้อตะบึงมายังที่แห่งนี้ทันใด
โจวหงอยู่ใกล้มากที่สุด ข้างกายเขายังมีคนติดตามอีกสามคน
หนึ่งในนั้นก็คือหลี่เทียนเซิ่ง สองคนนี้เร็วมากกว่าใคร ท่ามกลางเสียงตูมตาม พวกเขาก็อยู่ห่างจากค่ายกลที่กักตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้อีกแค่สิบกว่าลมหายใจเท่านั้น
พริบตาเดียวลมและเมฆในโลกกาหลอมวิญญาณก็ซัดตลบอบอวลอีกครั้ง ทุกคนล้วนขยายความเร็วเต็มกำลังตรงมายังที่แห่งนี้
เสียงหัวเราะของเมี่ยวหลินเอ๋อร์ยังดังก้อง ทว่าทันใดนั้นนางก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี ม่านตาทั้งคู่หดตัวลง เห็นเพียงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในค่ายกลแม้จะถูกกักตัวเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีลนลานตกใจ เขายังคงเดินเข้ามาหาเมี่ยวหลินเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเหยียดหยาม วินาทีที่เท้านี้เหยียบลงบนพื้น ผนึกมิวางวายก็ถูกเขาร่ายใช้โดยพลัน
เสียงตูมดังหนึ่งที ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไปจากในค่ายกล เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งกลับมาโผล่อยู่เบื้องหน้าเมี่ยวหลินเอ๋อร์แล้ว
“เป็นไปไม่ได้!” ดวงหน้าเมี่ยวหลินเอ๋อร์ไร้สีเลือด ถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็ว ทว่าชั่วขณะเดียวกันกับที่นางถอยห่างนั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปานประหนึ่งสัตว์ร้ายดุดัน ประหนึ่งขุนเขาพังทลายกลับพุ่งชนใส่นางอย่างไม่คิดถนอมสาวงาม เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน เมี่ยวหลินเอ๋อร์กระอักเลือด ตบะในร่างถูกกำราบจนยุ่งเหยิงไปในชั่วพริบตา กระดูกทั่วร่างก็เหมือนจะแหลกละเอียด
ทารกก่อกำเนิดเกือบจะพลัดหลุดออกมา บาดเจ็บสาหัสทันทีทันใด
ใบหน้าของนางซีดขาว ยังไม่ทันได้ถอยหนีไปไหนก็ถูกมือใหญ่ของป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าแขนเอาไว้แล้วเหวี่ยงกระชากอย่างแรง ขณะเดียวกันตบะของเขาก็แทรกซึมเข้ามาในร่างของเมี่ยวหลินเอ๋อร์ปิดผนึกตบะของนางไปโดยตรง
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ การที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวของเมี่ยวหลินเอ๋อร์ไว้ได้ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนสำลักลมหายใจด้วยความตะลึงลาน แม้แต่พวกโจวหงที่เร่งรุดทะยานเข้ามาก็ยังคาดไม่ถึง ทั้งยังตามมาไม่ทันกาลด้วย
วิญญาณพยาบาทจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในหมอกควันรอบด้านก็ฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายบุกออกมา เมื่อมองเห็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านั้น สายตาของพวกมันก็เผยความกระหายเลือด…
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปรอบกาย จับร่างของเมี่ยวหลินเอ๋อร์ที่แต่งกายเปิดเผยไว้ด้วยความลำพองใจ ขยับร่างหนึ่งครั้งหมายจะไปจากที่นี่ ทว่าเวลานี้เอง สายตาของเขาที่กวาดไปยังพวกวิญญาณพยาบาทรอบด้านอย่างไม่ใส่ใจกลับหยุดชะงักอยู่บนร่างของวิญญาณพยาบาทดวงหนึ่ง!!
เขาชะงักฝีเท้า ดวงตาเผยความเหลือเชื่อ ร่างก็ยิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้แต่ลมหายใจก็ยังติดขัด ในสมองราวกับมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา
ต่อให้วิญญาณพยาบาทนี้จะมีรูปร่างไม่เหมือนกับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้คนนอกจะจำไม่ได้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับคุ้นเคยกับคนผู้นี้ยิ่งนัก!
“ป๋ายฮ่าว!!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องเสียงหลง…