บทที่ 874 ยึดทรัพย์กันเป็นหรือเปล่า?
สองคำว่าเสี่ยวฉุนนี้ดังออกมาจากปากของหลี่ชิงโหวอย่างไม่แน่ใจนัก สีหน้าของเขาเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด ราวกับรู้สึกว่าทุกอย่างนี้คือภาพลวงตา นับตั้งแต่ที่เขาถูกสำนักธารมรรคาจับตัวมาก็ไม่ได้ถูกทารุณกรรมเท่าไหร่นัก เพียงแต่ความเจ็บปวดในใจของเขากลับรุนแรงเกินไป
เขาไม่ได้สนใจความเป็นความตายของตัวเองเท่าไหร่ แต่เขาก็มิอาจปล่อยให้การดำรงอยู่ของตนกลายมาเป็นหลุมพรางที่ล่อเถี่ยตั้นให้มาติดกับ เพียงแต่ว่าเขาเองก็อับจนปัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด แม้แต่การฆ่าตัวตายเขาก็ยังมิอาจทำได้
ได้แต่ทนมองเถี่ยตั้นเข้ามาติดกับคาตาของตัวเอง ความรู้สึกโทษตัวเองจึงกลายมาเป็นบ่อเกิดแห่งความทรมานที่กัดกินใจเขา
ยังดีที่เมื่อครึ่งปีก่อนบุรพาจารย์ของสำนักธารมรรคาทำไม่สำเร็จ แต่รอยกระบี่ที่อีกฝ่ายฟาดฟันลงบนลำคอของเถี่ยตั้นกลับทำให้หลี่ชิงโหวรวดร้าวปานจะขาดใจ เขาเจ็บใจที่ตัวเองไร้ประโยชน์ เกลียดแค้นสำนักธารมรรคาแห่งนี้
ความเกลียดแค้นชิงชังนี้รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้ยามที่เขาหมดผลประโยชน์แล้วถูกโยนมาไว้ที่นี่มันจึงกลายมาเป็นแรงผลักดันที่ประคับประคองตัวเขา ทำให้เขาพยายามพัฒนาตัวเองโดยเร็ว หากสำนักธารมรรคายังไม่พินาศวอดวาย เขาจะไม่ยอมตายเด็ดขาด!
ดังนั้นเขาจึงกัดฟันทน ต่อให้คุกใต้ดินแห่งนี้จะแปลกประหลาด มันคอยดูดดึงเอาตบะและพลังชีวิตของเขาไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงยืนหยัดอย่างไม่ย่อท้อ
โชคดีที่วิชาฝึกตนของเขามีความพิเศษ พลังแห่งพืชหญ้าทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด นั่นถึงต่อลมหายใจให้เขามาถึงวันนี้ และนอกจากความเกลียดแค้นที่มีต่อสำนักธารมรรคาแล้ว ความยึดมั่นอันเป็นกุญแจสำคัญที่สุด ยังมี…ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกคน
เขาคิดถึงเด็กที่ตนพาขึ้นเขามาในปีนั้น อีกฝ่ายจากไปนานเหลือเกินแล้ว เขาอยากจะพบหน้าเด็กคนนั้นอีกสักครั้ง อยากปกป้องอีกฝ่ายอีกสักหน เขากลัวว่าหากไม่มีตนอยู่ด้วย ด้วยนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุน บางทีก็อาจจะไปสร้างเรื่องก่อราวที่ใหญ่โตจนมิอาจคลี่คลายโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้กลายมาเป็นความยึดมั่นดึงดันของเขา ทำให้เขาที่จมอยู่กับความเจ็บปวดยังคงยืนหยัดต่อไปได้
จนกระทั่งวันนี้ เขาถูกปลุกให้ตื่นเพราะเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากโลกภายนอก วินาทีที่ลืมตาขึ้นมานั้น เขานึกว่าตัวเองตาฝาดไป จึงได้แต่เหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อย่างนั้น
และเสียงที่เรียกว่าเสี่ยวฉุนนี้ก็ได้ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของเขาพลันสั่นเทิ้ม น้ำตาขึ้นมาคลอในดวงตา แม้เสียงนี้จะแผ่วเบาอย่างยิ่ง ทว่าความเมตตาปราณี ความอ่อนโยนที่สอดแทรกอยู่ในน้ำเสียงกลับทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกเขย่าคลอนอย่างรุนแรง
“ท่านอาหลี่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องไห้โฮทันที ต่อให้ตอนนี้เขาจะมีพลังการต่อสู้ที่สามารถกำราบคนฟ้า ต่อให้ตอนนี้ฐานะของเขาจะสูงส่ง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิงโหว เขาก็ยังคงเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน คนที่ปีนั้นอยู่บนเขาเม่าเอ๋อร์ และต้องจุดธูปถึงสิบสามครั้ง…เพราะกลัวฟ้าผ่า
ป๋ายเสี่ยวฉุนโถมตัวเข้ากอดหลี่ชิงโหว ท่ามกลางน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
เขารีบแผ่พลังตบะของตัวเองผสานเข้าไปในร่างของหลี่ชิงโหวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง และระหว่างที่ทำเช่นนี้เขาจึงสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอในร่างของหลี่ชิงโหว น้ำตาจึงไหลทะลักมากกว่าเดิม
แล้วเขาก็เห็นผมหงอกที่แซมอยู่ในเส้นผมของหลี่ชิงโหว มองเห็นริ้วรอยบนใบหน้าของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเป็นวัยกลางคน ทว่าอาจเป็นเพราะความอ่อนแอระทมทุกข์ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา หลี่ชิงโหวถึงได้แก่ชราลงไปอีกเยอะมาก
ไม่ได้มีลักษณะของผู้ที่ก้าวย่างสู่ตำแหน่งผู้นำเขาเซียงอวิ๋นซึ่งมีบุคลิกสุภาพสง่างาม แต่กระนั้นก็มีความหยิ่งทระนงในตัวเองอย่างในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกต่อไปแล้ว!
และเวลานี้หลี่ชิงโหวก็ยังคงเหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาอึ้งงัน ไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง แต่ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นอย่างอ่อนแรง ก่อนจะวางทาบลงไป…บนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเบาๆ
“เป็นเจ้าจริงๆ หรือ…เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ โตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้อีก…”
มือขวาของหลี่ชิงโหวที่สั่นเบาๆ ปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนออก เขาแน่ใจแล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าก็คือเด็กคนนั้นที่ตน…ไปรับจากเขาเม่าเอ๋อร์กลับมาในสำนักจริงๆ
“ข้าเอง…ท่านอาหลี่ ข้ากลับมาแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเช็ดน้ำตา ประคองให้หลี่ชิงโหวลุกขึ้นนั่ง หลี่ชิงโหวที่ได้รับความช่วยเหลือจากป๋ายเสี่ยวฉุนจึงฟื้นคืนกำลังกลับมาบ้างเล็กน้อย
“กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว…” หลี่ชิงโหวคลี่ยิ้ม ในรอยยิ้มในแฝงไว้ด้วยความปลาบปลื้มใจ แฝงไว้ด้วยความปลงอนิจจัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความอาทรอย่างลึกล้ำ จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงนักพรตก่อกำเนิด แม้ในใจจะซาบซึ้งตื่นเต้น แต่กลับควบคุมไว้ได้เป็นอย่างดี พอมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของเขาจึงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้เขาได้ซักถามเรื่องราวตลอดหลายปีที่ผ่านมากับป๋ายเสี่ยวฉุน เขากลับเห็นเสียก่อนว่าด้านนอกคุกใต้ดิน เวลานี้มีโพรงขนาดใหญ่ยักษ์ และหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยประคองพากันเดินออกมา
เขาจึงเห็นว่า…ภูเขาเจ็ดลูกที่อยู่รอบด้านพังทลายเสียสิ้น พื้นดินมีรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน สำนักธารมรรคาเสียหายย่อยยับอย่างแสนสาหัส
และเขายังมองเห็นเงาร่างของลูกศิษย์สำนักธารมรรคาที่แต่ละคนตัวสั่นเทิ้ม เผ่นหนีกระเจิงไปทั่วอย่างอลหม่าน…
วินาทีที่มองเห็นภาพทุกอย่างนี้ ความตื่นเต้นของหลี่ชิงโหวก็มีอาจควบคุมไว้ได้อีกต่อไป ลมหายใจของเขาหอบรัว พลันหันขวับไปมองรอบด้าน
“บุรพาจารย์ฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือ พวกเขาอยู่ที่ไหน?” ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของหลี่ชิงโหวก็คือครึ่งปีมานี้ มีบุรพาจารย์คนใดคนหนึ่งที่ตบะฝ่าทะลุขั้นจนได้กลายเป็นคนฟ้า และวันนี้จึงยกกองทัพใหญ่มาบุกโจมตีสำนักธารมรรคา
แต่ไม่นานเขาก็เกิดความลังเล เพราะเขารู้สึกว่าต่อให้บุรพาจารย์ฝ่าทะลุขั้นได้จริง แต่เกรงว่าคงมิอาจเขย่าคลอนสำนักธารมรรคาได้ถึงระดับนี้ เว้นเสียแต่ว่ามีบุรพาจารย์สองคนที่กลายเป็นคนฟ้าพร้อมๆ กัน
ทว่าตามความเห็นของเขา นี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“คือว่า…ท่านอาหลี่ บุรพาจารย์ไม่ได้ฝ่าทะลุขั้น…ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย…มีแค่พวกเราสองคน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ไอแห้งๆ หนึ่งที หลังจากที่ช่วยหลี่ชิงโหวมาได้ ความบีบคั้นในใจของเขาก็ปลาสนาการไปไม่มีเหลือ นิสัยเดิมจึงหวนกลับมา ระหว่างที่พูดประโยคนี้ ในใจก็อดที่จะลำพองใจไม่ได้
หลี่ชิงโหวอึ้งค้างไปอย่างเห็นได้ชัด เขามองซากปรักหักพังรอบด้าน สุดท้ายสายตาจึงมาหยุดอยู่ที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้ยิ่งดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุนแรงๆ
“ดี ดี ดี!” เขาไม่ได้ถามรายละเอียดเพราะไม่จำเป็นอีกแล้ว ตอนนี้ความดีใจของเขาเพิ่มพูนมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว นั่นเป็นเพราะ…เด็กที่เขาพามาจากเขาเม่าเอ๋อร์ในปีนั้น วันนี้ได้เติบโตยิ่งใหญ่จนถึงระดับค้ำฟ้าแล้ว
เพียงแต่ว่าในใจกลับมีความรู้สึกผิดหวังไม่มากก็น้อย นั่นคือความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก ราวกับว่าเมื่อลูกอินทรีเติบใหญ่จนโบยบินได้ด้วยตัวเอง ตนที่เป็นผู้อาวุโสจึงไม่มีความจำเป็นต้องปกป้องเขาอีกแล้ว
ทั้งปลื้มใจ แต่กระนั้นก็ผิดหวังนิดๆ
ได้ยินคำชมของหลี่ชิงโหว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งฮึกเหิม เขาสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ อย่างลำพองใจ
“นี่ยังถือว่าเล็กน้อย ท่านอาหลี่ท่านไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่แดนทุรกันดาร ข้าร้ายกาจยิ่งกว่าตอนนี้เยอะนักล่ะ…”
ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยจบ จู่ๆ บนท้องฟ้าที่ห่างไปไกลก็มีเสียงแหวกอากาศดังมาอย่างเร่งร้อน นั่นก็คือเถี่ยตั้น มันมาถึงช้ากว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาก ตอนนี้พอมาถึงจึงมองเห็นสำนักธารมรรคาที่วอดวาย และมองเห็นหลี่ชิงโหวในทันที
มันไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่กับการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้สำนักธารมรรคาพินาศล่มจมได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้พอเห็นหลี่ชิงโหว มันก็ดีใจมากเหมือนกัน มันจึงพลันย่อตัวให้เล็กลงแล้วตรงดิ่งเข้ามาหาหลี่ชิงโหว พอมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่ชิงโหวก็เอาหัวชนอีกฝ่ายเบาๆ อยู่หลายที สีหน้าดีใจและสนิทชิดเชื้อ
ในใจหลี่ชิงโหวเองก็พลันบังเกิดความอบอุ่น แต่กลับมากด้วยความละอายใจ เขาลูบหัวเถี่ยตั้นเบาๆ ตอนที่สายตามองไปเห็นรอยแผลเป็นบนลำคอของเถี่ยตั้น ในใจเขาก็ให้วุ่นวายสับสน
“เดิมทีคิดไว้ว่าสักวันหนึ่งจะช่วยแก้แค้นให้เจ้าด้วยตัวเอง ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว พ่อเจ้าช่วยเจ้าแล้ว” หลี่ชิงโหวยิ้มอาทร มองซากปรักหักพังที่อยู่รอบด้านแล้วก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ความภาคภูมิใจที่มีต่ออีกฝ่ายและมีต่อตัวเองพลันท่วมท้นแรงกล้า
“เสี่ยวฉุน พวกเราไปกันเถอะ ต่อให้จากนี้สำนักธารมรรคา…ยังหายใจได้ต่อ แต่ก็ต้องตกต่ำไปอีกนาน!” หลี่ชิงโหวหัวเราะร่า น้ำเสียงดังกังวาน
“ท่านอาหลี่ ไม่รีบร้อน พวกเรารออีกเดี๋ยว” สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดมองไปรอบด้าน ก่อนจะรีบพูดกับหลี่ชิงโหว จากนั้นก็หันมามองเถี่ยตั้นแล้วพูดรัวเร็ว
“เถี่ยตั้น ข้าจำได้ว่าด้านหลังเจ้ามีลูกศิษย์ติดตามมาด้วยหลายคนไม่ใช่หรือ ทำไมพวกเขาถึงยังมาไม่ถึงเสียที เจ้าไปพาพวกเขามาหน่อย”
เถี่ยตั้นได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย
ทว่าแต่ไรไหนมาสำหรับคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว มันไม่เคยปฏิเสธที่จะทำตาม เวลานี้จึงสะบัดร่างบินดิ่งไปยังขอบฟ้า ไม่นานนัก เมื่อมันกลับมาอีกครั้ง ด้านหลังก็มีเรือบินหลายลำทยอยกันปรากฏตัว นักพรตนับพันที่อยู่บนเรือกำลังเร่งรุดเดินทางตามมา พอพวกเขาเห็นสภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดีของสำนักธารมรรคา คนนับพันคนนี้ก็พากันหอบหายใจดังเฮือก
ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาก็ยิ่งฉายความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อน พอพากันลดตัวลงจากฟ้าก็ประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนและหลี่ชิงโหว
“คารวะบุรพาจารย์!”
“คารวะผู้อาวุโสหลี่!”
คำพูดของพวกเขาทำให้หลี่ชิงโหวแน่ใจในคำตอบอีกครั้ง ตอนที่มองป๋ายเสี่ยวฉุน รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างกว่าเก่า ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือเกาหัว ไอแห้งๆ หนึ่งที นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกขัดเขินทำตัวไม่ถูก ดังนั้นจึงรีบโบกมือ
“เอาล่ะ รีบไปจัดการกับก้อนหินรอบๆ นี้ให้ข้า สำนักธารมรรคาแห่งนี้ถูกข้าทำลายเร็วเกินไป แถมพวกเขายังรีบร้อนพากันหนี แสดงว่าต้องมีทรัพย์สมบัติไม่น้อยที่ไม่ทันได้เอาไป พวกเราต้องถอนรากถอนโคนพวกเขาให้สิ้นซาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระปรี้กระเป่า ในใจก็หมายมาดอยากลงมือเต็มที ครุ่นคิดว่าตนค้นบ้านยึดทรัพย์มาแล้วหลายตระกูล แต่ยึดทรัพย์สำนักนี่เพิ่งจะได้ทำเป็นครั้งแรก
ประโยคนี้ของเขาทำให้สีหน้าลูกศิษย์รอบด้านคึกคักทันใด
พวกเขารีบแยกย้ายกันไปจัดการเก็บกวาดกองหินระเกะระกะรอบด้านพลางค้นหาทรัพย์สินของสำนักธารมรรคา
ดวงตาของหลี่ชิงโหวยิ่งฉายแววชื่นชม เขาแอบพูดกับตัวเองว่าเด็กคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ขนาดเรื่องที่ตนมองข้าม เขากลับยังนึกถึงได้ ช่างน่าชมเชยยิ่งนัก
“ถูกต้อง ทรัพย์สินที่สำนักธารมรรคาสั่งสมมาตลอดหลายปีนี้ต้องช่วยสำนักสยบธารของเราได้มากแน่นอน!” หลี่ชิงโหวพยักหน้ารับ
แต่เขาเพิ่งจะพูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกันกลับขมวดคิ้วมุ่น มองไปยังลูกศิษย์นับพันพวกนั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง
“พวกเจ้ายึดทรัพย์กันเป็นไหมเนี่ย อั๊ยยา เห็นชัดๆ ว่าตรงนั้นมีก้อนหินเยอะมากที่สุด แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีของดีอะไรซ่อนอยู่ พวกเจ้าอย่าไปเก็บกวาดตรงนั้น!”
“ตรงนี้มาเพิ่มอีกหลายๆ คนหน่อย พวกเจ้าเห็นไหมว่าบนก้อนหินนั่นมีคลื่นพลังอาคมหมุนวนอยู่ นี่ต้องเป็นก้อนหินของห้องเก็บสมบัติแน่นอน ข้างในนั้นต้องมีสมบัติอยู่แน่!”
“ปัดโธ่เอ้ย เจ้านั่นน่ะ ยืนอึ้งทำไมอยู่ รีบเก็บแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าเจ้าเร็วเข้าสิ นั่นมันทำมาจากหินวิเศษเชียวนะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบแจกแจงอย่างเหนื่อยใจไม่น้อย เขารู้สึกว่าค้นพวกนี้ยึดทรัพย์ไม่เป็นกันเสียเลย…