Skip to content

A Will Eternal 875

บทที่ 875 ภารกิจอันหนักหน่วง

“อย่าไปขุดตรงนั้น เห็นยันพื้นดินหมดแล้ว ใครที่ไหนจะเอาสมบัติไปซ่อนไว้ใต้ดินลึกขนาดนั้น กระถางใหญ่ข้างกายเจ้านั่นต่างหากถึงจะเป็นของดี!”

“พวกเจ้านี่นะ ทำข้ากลุ้มจริงๆ …มาๆๆ ฟังข้าแจกแจงนะ สามร้อยคนไปจัดการเศษหินรอบด้านให้สะอาดเอี่ยม สามร้อยคนไปย้ายซากตำหนักใหญ่ที่พังถล่มออก!”

“อีกสามร้อยคน ภารกิจของพวกเจ้าสำคัญมาก พวกเจ้าไปที่พื้นที่ต้องห้ามซึ่งอยู่รอบๆ เห็นอะไรก็เก็บมาให้ข้าให้หมด รู้จักหรือไม่รู้จักก็เอามาอย่าให้เหลือ!”

“คนหนึ่งร้อยกว่าคนที่เหลือติดตามข้ามา ข้าบอกให้พวกเจ้าหยิบอะไรพวกเจ้าก็หยิบมาทันที ยังมีเจ้าอีกคน…นั่นไม่ใช่หินเขียวแล้ว นั่นมันหินธรรมดา…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมองยิ่งขัดใจ เลยถือโอกาสฉลกชายแขนเสื้อขึ้นแล้วปรี่เข้าไป ก่อนจะเริ่มออกคำสั่งเสียงดัง เขารู้สึกว่าคนพวกนี้มือไม้ไม่คล่องเอาเสียเลย ยามนี้จึงได้แต่ลงสนามบัญชาการณ์ด้วยตัวเอง

อาศัยประสบการณ์การยึดทรัพย์ที่เลิศล้ำน่าตะลึงอย่างถึงที่สุดตอนอยู่แดนทุรกันดาร ไม่นานก็ทำให้ลูกศิษย์หนึ่งพันกว่าคนนี้เหมือนค่อยๆ เปลี่ยนจากประชาชนที่ดี กลายมาเป็นโจรบ้าระห่ำที่…กวาดทุกอย่างไปจนเกลี้ยง…

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าให้นะ การยึดทรัพย์นั้นเน้นย้ำในเรื่องการตระหนักรู้ การตระหนักรู้น่ะเข้าใจไหม…นั่นก็คือต้องคิดพิจารณา หากเจ้าคือบุรพาจารย์ของสำนักนี้ เจ้าจะซ่อนสมบัติไว้ที่ไหน!”

“เรื่องพวกนี้ซับซ้อนยิ่งนัก ข้าจะสรุปให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน ยึดทรัพย์ก็คือสามคำ…เร็ว เหี้ยม แม่นยำ นี่คือปรัชญาสามคำที่ข้าสรุปมาและเตรียมจะเอาไปถ่ายทอด!”

“เร็ว ก็คือไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือความเร็วก็ล้วนต้องคล่องแคล่วว่องไวอย่างถึงที่สุด พวกเจ้าเคยเห็นตั๊กแตนไหม เวลาที่ยึดทรัพย์ต้องมองตัวเองเป็นเหมือนตั๊กแตน!”

“เหี้ยม ข้อนี้ง่ายเลย นั่นก็คือพวกเจ้าต้องอิจฉาตาร้อน เมื่อเกิดความอิจฉาแล้ว เวลาเห็นอะไรพวกเจ้าก็จะแย่งมาหมด เห็นอะไรก็หยิบมาหมด ลองนึกภาพที่พวกเจ้าเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยขุมสมบัติสิ ยิ่งเอามาได้มากเท่าไหร่ พวกเราก็รวยมากเท่านั้น คติพจน์ของพวกเราก็คือ…ทุกที่ที่ผ่าน แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่มีเหลือ!”

“สุดท้ายก็คือคำว่าแม่นยำ ข้อนี้จำเป็นต้องมีการตระหนักรู้อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ สำหรับคนที่เพิ่งเรียนรู้การยึดทรัพย์เป็นครั้งแรก ก่อนหน้าที่พวกเจ้ายังไม่มีการตระหนักรู้นี้ ข้าจะบอกเคล็ดลับอย่างหนึ่งให้พวกเจ้าก็แล้วกัน นั่นก็คือ…ไม่ว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก ขอแค่เป็นของที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องรีบเก็บเอามาทันที!”

“รอให้กลับไปแล้ว พวกเราค่อยวิเคราะห์ทีละชิ้นว่ามันเป็นสมบัติหรือไม่ เพราะอย่างไรซะพวกมันก็ถูกเราเอากลับไปแล้ว” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของเขาบานเป็นกระด้ง ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกปลงอนิจจังอย่างคนเจ็บใจที่เหล็กไม่ใช่เหล็กกล้า คำพูดของเขาดังสะท้อนอยู่เหนือซากปรักหักพังของสำนักธารมรรคา ลูกศิษย์นับพันพากันปากอ้าตาค้าง เหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอึ้งงัน หอบหายใจอยู่ในใจไม่หยุด

“ทำไมบุรพาจารย์…ถึงได้เชี่ยวชาญการยึดทรัพย์ขนาดนี้?”

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าได้ยินคำว่าปรัชญาสามคำของการยึดทรัพย์…”

“นึกไม่ถึงเลยว่าเขา…เขาจะคุ้นเคยกับการยึดทรัพย์ได้ถึงเพียงนี้…”

สีหน้าของทุกคนเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเหยเก พากันยืนเซ่อไปหมด นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่พวกเขาเห็นว่ามีคนเอาการยึดทรัพย์มาสรุปด้วยคำสามคำ ยามนี้ในสมองของทุกคนเกิดความเลื่อนลอย ครุ่นคิดว่านี่จำเป็นต้องผ่านการยึดทรัพย์มาแล้วกี่ครั้ง

มีประสบการณ์มาแล้วกี่หน ถึงจะสามารถเอาการยึดทรัพย์มาสรุปแก่นสาระสำคัญจนกลายเป็นปรัชญาสามคำได้แบบนี้

อย่างน้อยนี่ก็จำเป็นต้องมีอาชีพยึดทรัพย์เป็นพื้นฐานแล้วพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะทำได้ขนาดนี้…

ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์นับพันคนเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่หลี่ชิงโหวเองก็ยังอึ้งงัน มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนที่วิ่งวุ่นไปทั่ว บงการตรงโน้นที สั่งความตรงนี้ทีอย่างอึ้งๆ

ภายใต้การสั่งสอนอย่างต่อเนื่องของเขา สมบัติที่สำนักธารมรรคาซุกซ่อนเอาไว้ก็ค่อยๆ ถูกขุดค้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูจากวิธีการของเขาก็ยิ่งยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายทำได้ถึงระดับของปรัชญาสามคำอย่างแท้จริง

ทั้งหมดนี้ทำให้หลี่ชิงโหวเริ่มเกิดความมึนงงอีกครั้ง ทั้งยังปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง เขายกมือขวาขึ้นมานวดคลึงหว่างคิ้วด้วยสีหน้าจนใจ เขาค้นพบแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…ไม่ว่าจะมีตบะอะไรก็ยังคงทำให้คนวางใจไม่ได้อยู่ดี

“ถึงขนาดสรุปว่าควรจะยึดทรัพย์ยังไง…นี่…นี่ถือว่าเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งกระมัง…” หลี่ชิงโหวถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ ไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรดี

แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าเถี่ยตั้นที่อยู่ด้านข้างกำลังจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนโดยที่ไม่แม้แต่จะกะพริบตา มันรับฟังอย่างตั้งใจมากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่าตัว เมื่อปีนั้นมันได้รับการสั่งสอนและถ่ายทอดจากหมาใหญ่สีดำจึงเรียนรู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะล่อลวงสัตว์ตัวเมียมาได้ แล้วก็เรียนรู้ที่จะโอ้อวดตนจากป๋ายเสี่ยวฉุน

ตอนนี้ดูเหมือนมันได้ค้นพบโลกใบใหม่ ดวงตาจึงเริ่มเปล่งประกาย สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความเคารพนับถืออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันรู้สึกว่าพ่อของตนคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนักไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถมากมายขนาดนี้

ยิ่งตอนที่ได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดว่าเตรียมจะถ่ายทอดวิชาการยึดทรัพย์นี้สืบต่อไป เถี่ยตั้นก็ยิ่งเรียนรู้อย่างตั้งใจราวกับคนที่ได้รับภารกิจอันหนักอึ้งอย่างไรอย่างนั้น

ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ตลอดทั้งสำนักธารมรรคาแห่งนี้ก็ถูกลูกศิษย์นับพันคนค่อยๆ เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม และภาพลักษณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนในใจของคนพันกว่าคนซึ่งยามนี้สีหน้าปั้นยากก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก

อีกทั้งคนหลายคนยังเริ่มหวนนึกถึงเรื่องเล่าลือที่ไม่รู้จะทำให้คนฟังหัวเราะหรือร้องไห้ของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งเล่ากันปากต่อปากอยู่ในสำนักสยบธารอย่างไม่เคยจางหาย…

“ที่แท้เขาก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นคนอย่างนี้…”

“บุรพาจารย์ป๋าย…ช่างเถอะ ข้าเรียกเขาว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเดิมก็แล้วกัน…” แม้คนหนึ่งพันกว่าคนจะพึมพำอยู่ในใจไม่หยุด ทว่าเมื่อได้รับคำสั่งสอนจากปรัชญาของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาก็ยังปฏิบัติตามอย่างตั้งใจโดยไม่มีบิดพลิ้ว ยามนี้ในสำนักธารมรรคาจึงสะอาดเอี่ยมอ่อง อาจไม่ถึงขั้นไม่เหลือต้นหญ้าสักต้น แต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก…

อีกทั้งก้อนหินบนภูเขาทั้งหมดยังถูกคนหนึ่งพันกว่าคนนี้ขนเอาไป ต่อให้เป็นเศษซากของหอเรือนสิ่งปลูกสร้างที่ผุพังก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน…ทอดสายตามองไป รับประกันได้ว่าต่อให้ลูกศิษย์ของสำนักธารมรรคากลับมาก็คงอึ้งตะลึง นึกว่าตัวเองมาผิดทาง…จำสำนักของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

ในนี้เถี่ยตั้นมีคุณความชอบสูงสุด อีกทั้งมันยังเข้าใจอะไรได้ง่าย แถมร่างก็หดเล็กและขยายใหญ่ได้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่มุดลอดเข้าไปในรอยแยกเหล่านั้น ไม่มีสมบัติชิ้นใดที่ไม่หายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเถี่ยตั้นฉลาดเฉลียวขนาดนี้ก็ดีใจขึ้นมาทันควัน มีความรู้สึกเหมือนว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นลูกชายของตน

“ไม่เลว เถี่ยตั้นเจ้ามีพรสวรรค์ ต่อไปวิชาการยึดทรัพย์ของบ้านเราก็ต้องอาศัยเจ้าเป็นคนสืบทอดให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปแล้วล่ะ” หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยชม เถี่ยตั้นก็ยิ่งอารมณ์ดี ยิ่งตั้งใจมากกว่าเดิม

แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังคนอื่นๆ เขากลับถอนหายใจดังเฮือก ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เวลานี้เขาคิดถึงโจวอีซิงอย่างยิ่ง ครุ่นคิดว่าหากโจวอีซิงอยู่ที่นี่ด้วย ใช้เวลาน้อยกว่านี้ก็ต้องสามารถขุดเอาสมบัติทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในสำนักธารมรรคาออกมาได้แน่นอน…

“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นกังวลอย่างมาก สีหน้าก็เครียดขรึมตามไปด้วย

“อืม ดูท่าข้าคงมีความจำเป็นต้องอบรมสั่งสอนลูกศิษย์พวกนี้ให้ดีๆ สักหน่อยแล้ว ทุกคนจะได้เชี่ยวชาญแก่นสาระของวิชาแห่งการยึดทรัพย์กันได้เร็วขึ้น!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปสำนักสยบธารของพวกเราถึงจะได้รวยมากขึ้น ลูกศิษย์ทุกคนมีทรัพยากรในการฝึกตนที่มากพอ แบบนี้ก็จะทำให้ทุกคนแข็งแกร่งกันได้รวดเร็วมากขึ้น สำหรับสำนักแล้ว นี่คือพรจากสวรรค์อย่างหนึ่ง!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้เขาก็พลันรู้สึกว่าความกดดันของตัวเองยิ่งมากมหาศาล ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเหมือนแบกรับภารกิจที่หนักอึ้ง

คนอื่นๆ มองความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออก แต่หลี่ชิงโหวมองปราดเดียวก็รู้ไปถึงไส้ถึงพุงของอีกฝ่าย ยามนี้เขาจึงนวดคลึงหว่างคิ้วอีกครั้ง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังยืนทำท่าราวกำลังครุ่นคิดถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ หลี่ชิงโหวก็กระแอมไอขึ้นมาเบาๆ อย่างอดไม่ไหว

“พอแล้วล่ะ เสี่ยวฉุน พวกเรากลับสำนักสยบธารกันเถอะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตอบรับ หลังจากข่มกลั้นเจตจำนงของตัวเองลงไปได้ เขาก็สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งที ครั้นจึงพาเถี่ยตั้น ลูกศิษย์หนึ่งพันกว่าคนและหลี่ชิงโหวบินกลับไปยังสำนักสยบธารอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

ตลอดทางมานี้หลี่ชิงโหวเรียกป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ข้างกายแล้วซักถามเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักสยบธาร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบเล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้มาให้อีกฝ่ายฟังด้วยสีหน้าคึกคักมีชีวิตชีวา

เมื่อได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนรบกับคนฟ้าทั้งสาม จนสุดท้ายคนหนึ่งตาย คนหนึ่งพิการ คนหนึ่งหนีไป หลี่ชิงโหวเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะพอคาดเดาได้บ้างแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จริงจะน่าตะลึงยิ่งกว่าที่ตัวเองคาดเดาไว้เสียอีก

และก็เป็นเช่นนี้ ขณะที่สนทนากันไปเรื่อยๆ ทุกคนที่ทะยานไปอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ขอบเขตอิทธิพลของสำนักสยบธาร

และสำนักธารมรรคาในเวลานี้ บุรพาจารย์คนฟ้าที่ถูกพิฆาตเรือนกายเพิ่งจะกล้าค่อยๆ โผล่หน้ากลับมา อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็มองไกลๆ มาเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างในสำนักแล้ว แต่กลับไม่กล้าเข้ามาใกล้ ได้แต่รีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

กว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลับไปไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้เขาถึงได้กล้าย้อนกลับมา แต่แค่เพิ่งกลับมาแล้วเห็นสำนักที่ว่างเปล่า ต่อให้เป็นเขาก็ยังเลื่อนลอย บังเกิดความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมาผิดที่อย่างแท้จริง

“ที่นี่คือ…สำนักธารมรรคา?” บุรพาจารย์สำนักธารมรรคามองความโล่งเตียนรอบด้านด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ร่างเริ่มสั่นเทา ท้ายที่สุดเขาก็แผดเสียงร้องคำรามแหบโหย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version