Skip to content

A Will Eternal 894

บทที่ 894 ยาคนฟ้า

บนนภากาศ บุรพาจารย์ครึ่งเทพที่ประกาศโองการเรียบร้อยก็ใช้สายตาที่เป็นประกายลึกล้ำจ้องนิ่งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่มองอีกด้วยความสายตาแฝงความหมายลึกล้ำแล้ว ร่างของเขาถึงได้ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ จนกระทั่งไม่ทิ้งเงาไว้บนท้องฟ้าอีกต่อไป

ที่หายไปพร้อมกับเขายังมีพวกเฉินเห้อเทียนสามคน นี่ก็คือความจงใจของบุรพาจารย์ครึ่งเทพสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เพราะหากคนทั้งสามไม่ถูกเขาพากลับไปด้วย แต่กลับกันเอง ด้วยนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสามย่อมต้องโดนขูดเลือดขูดเนื้ออีกรอบแน่นอน

ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็จ้องเล่นงานอีกฝ่ายไม่ปล่อยอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เขาได้หน้าได้ตาขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเงาร่างของคนทั้งสามจางหายไปเพราะถูกบุรพาจารย์ครึ่งเทพพาไปด้วย ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ไม่สบอารมณ์

“ขี้งกเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าตาแก่สามคนนั่นจริงๆ เสียหน่อย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจเบาๆ แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความชื่นมื่นสมหวัง เขาจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเท่าใดนัก เพราะอย่างไรซะตอนนี้นอกสำนักสยบธารก็ยังมีพวกจ้าวเทียนเจียว ป๋ายหลินที่พากันมาให้ความช่วยเหลือรออยู่

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงควรต้องไปขอบคุณอีกฝ่ายสักหน่อย

และยังมีบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กอีกคน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจริงใจอย่างยิ่ง ไม่มีการถือตัว ไม่มีการอาศัยว่าตนคือผู้อาวุโสมาแสดงความดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่พูดคุยยิ้มแย้มกับป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับเป็นคนรุ่นเดียวกัน

ส่วนป๋ายหลินก็ยิ่งทอดถอนใจที่ตนสู้ไม่ได้ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน ในสมองมีภาพท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนที่อยู่กำแพงเมืองปีนั้นลอยขึ้นมา ในใจก็ให้ปลงอนิจจังอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้

จ้าวเทียนเจียวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ คนทั้งสองเหมือนถูกแรงกระตุ้น ตัดสินใจแล้วว่าเมื่อกลับไปถึงสำนักจะต้องปิดด่านฝึกตนทันที!

นอกจากคนเหล่านี้ ในบรรดานักพรตหนึ่งแสนคนที่มาเยือนก็มีหลายคนที่เคยเป็นสหายร่วมรบกับป๋ายเสี่ยวฉุนตอนอยู่กำแพงเมือง และยังมีคนบางส่วนที่เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอง ยามนี้เมื่อได้มาพบเจอกันอีกครั้ง ทุกคนก็ล้วนตื่นเต้นดีใจ ดังนั้นเมื่อได้รับคำเชื้อเชิญจากป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนที่มาจากศาลาเลือดเหล็กจึงอยู่ค้างที่สำนักสยบธารหนึ่งคืน

เหล่าบุรพาจารย์ของสำนักสยบธารที่กำลังฮึกเหิมและปลาบปลื้มต่างก็พากันมาขอบคุณทุกคนที่มาช่วยเหลือและจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่

คืนนี้สำหรับลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารแล้วเป็นเหมือนความฝันตื่นหนึ่ง ตอนกลางวันตึงเครียด ตอนกลางคืนดีใจ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในใจของทุกคนคือบุคคลซึ่งอยู่สูงสุดเหนือสิ่งใด ไม่มีใครมาแทนที่ได้ ยิ่งนึกถึงอนาคตในวันข้างหน้า ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักสยบธารก็ยิ่งเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย!

พวกบุรพาจารย์เองก็เป็นเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ในใจของพวกเขาเหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ตลอดเวลา ทว่าตอนนี้ในที่สุดก็วางมันลงได้ รอยยิ้มบนใบหน้าจึงแทบไม่เคยจางหายไปตลอดทั้งคืน

จนกระทั่งเช้าตรู่วันที่สองมาถึง หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้การรับรองอยู่พักใหญ่ คนของศาลาเลือดเหล็กถึงได้พากันจากไป

มองส่งคนมากมายที่หายไปตรงริมขอบฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระบายลมหายใจออกมายาวๆ จนกระทั่งบัดนี้ เขาถึงเพิ่งวางใจลงได้อย่างแท้จริง นั่นเพราะเขารู้ว่าปัญหาทุกอย่างของสำนักสยบธารได้คลี่คลายหมดสิ้นแล้ว

อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังพอจะคาดการณ์ได้ด้วยว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของแม่น้ำทงเทียนตอนกลางสายตะวันออกนี้ สำนักสยบธาร…จะกลายมาเป็นสำนักอันดับหนึ่งที่ไร้ใครทัดเทียม ส่วนอีกสามสำนักที่เหลือ…ก็จะตกเป็นรองนับแต่นี้ไป

“แต่ว่าเพียงเท่านี้ยังคงไม่พอ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าลงมองถุงเก็บของของตัวเอง นัยน์ตาฉายความเด็ดเดี่ยว เขาเข้าใจดีว่าหากสำนักสยบธารคิดจะยืนหยัดได้มั่นคงอย่างแท้จริง ลำพังเพียงแค่เขาคนเดียวที่เป็นคนฟ้ายังไม่พอ หากในบรรดาบุรพาจารย์มีคนฟ้าคนที่สองปรากฎขึ้น ต่อให้เป็นแค่คนฟ้าวิถีมนุษย์ก็มากพอจะทำให้สำนักสยบธารมั่นคงได้อย่างแท้จริง

อีกทั้งจากในโองการของบุรพาจารย์ครึ่งเทพก่อนหน้านี้เขาก็ฟังออกแล้วว่า อีกฝ่ายได้ให้ตัวเองเลือกวันกลับไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาที่เขาจะได้อยู่ในสำนักสยบธารจึงยิ่งลดน้อยลงไปอีก

“หากไปช้า เกรงว่าคงไม่ดี…ก่อนหน้าที่จะจากไปต้องช่วงชิงเวลาช่วยให้บุรพาจารย์ท่านหนึ่งกลายเป็นคนฟ้าให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ที่เขามั่นใจขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเกี่ยวข้องกับการที่เขาค้นพบสมุนไพรต้นนั้นตอนที่ยึดทรัพย์ในแดนทุรกันดาร

ด้วยพรสวรรค์ในการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขามั่นใจว่าหากอาศัยสมุนไพรต้นนั้น พร้อมกับได้รับความร่วมมือจากสายธาราโอสถ เขาจะสามารถหลอม…ยาคนฟ้าออกมาได้!

เพียงแต่ว่ายาคนฟ้านี้หาได้ยากยิ่ง เวลาที่หลอมก็ยุ่งยากมากเหมือนกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจว่าจะหลอมออกมาได้เม็ดหนึ่ง แต่หากมากกว่านั้น ไม่เพียงแต่ระดับความยากจะเพิ่มขึ้น แม้แต่สมุนไพรเองก็คงไม่พอให้เอามาใช้

ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นบุรพาจารย์คนไหนที่ได้เลื่อนขั้นนั้น เรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เป็นคนพิจารณา แม้ว่าเขาจะมีสิทธิ์พูดในเรื่องนี้ แต่ทว่ามันเปราะบางเกินไป แทนที่จะให้เขาเป็นคนกะเกณฑ์ ก็สู้ให้พวกบุรพาจารย์ปรึกษาและตัดสินใจกันเองจะดีกว่า

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบส่งข้อความเสียงไปหาพวกบุรพาจารย์ธาราเทพและบุรพาจารย์ธาราโลหิต หลังจากบอกให้พวกเขารู้ถึงความคิดของตนก็ปิดด่านหลอมยาทันที

สำนักสยบธารในตอนนี้ยังอยู่ในสภาวะแห่งความครึกครื้นรื่นเริง หัวใจของลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนยังคงมีไฟเร่าร้อน ต่างคนต่างพูดคุยถึงเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกันตัวตนของซ่งจวินหว่านก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำให้ตัวตนของซ่งจวินหว่านแตกต่างไปจากลูกศิษย์คนอื่นๆ อยู่แล้ว ทว่ากลับไม่เด่นชัดมากนัก

แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นที่ว่าเวลาผู้อาวุโสบางคนเจอกับซ่งจวินหว่านก็ยังแสดงท่าทีเคารพนอบน้อม ต่อให้เป็นพวกบุรพาจารย์เองก็ยังเกรงใจนางอย่างถึงที่สุด

ไม่เพียงซ่งจวินหว่านเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่พวกคนที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีตำแหน่งและบารมีในระดับมากน้อยแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หลี่ชิงโหว!

ในฐานะที่เป็นคนนำพาป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าสำนัก

ในฐานะที่เป็นท่านอาหลี่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ตำแหน่งของหลี่ชิงโหวในสำนักสยบธารจึงยิ่งโดดเด่น ขณะเดียวกันนั้นบุรพาจารย์หลายคนก็เริ่มมีการปรึกษากันว่าการผลัดเปลี่ยนเจ้าสำนักรอบต่อไปจะรั้งรอไว้ก่อน แต่กำหนดกันเป็นการภายในว่าจะแต่งตั้งให้หลี่ชิงโหวเป็น…เจ้าสำนักของสำนักสยบธารคนต่อไป!

และหลังจากที่บุรพาจารย์ทั้งหลายได้รับข้อความเสียงจากป๋ายเสี่ยวฉุน รู้ว่าเขาสามารถหลอมยาคนฟ้าออกมาได้หนึ่งเม็ด ทำให้คนผู้หนึ่งที่มีขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบหรือครึ่งก้าวคนฟ้ามีโอกาสที่จะฝ่าทะลุขั้นสู่ขอบเขตคนฟ้าซึ่งเป็นคนขอบเขตที่คนมากมายปรารถนาแม้ยามหลับฝัน นอกจากความตื่นเต้นฮึกเหิมแล้ว บุรพาจารย์เหล่านี้ก็ได้ระดมสมองเพื่อหาข้อตัดสินที่ชาญฉลาดที่สุด

บุรพาจารย์ของสี่ฝ่ายปรึกษากัน เดิมทีคิดจะมอบโอกาสนี้ให้กับหลี่ชิงโหว ทว่าตบะของหลี่ชิงโหวยังไม่ใช่ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ หากรอต่อไปกลัวว่าคงต้องใช้เวลานาน และตอนนี้สำนักสยบธารก็ต้องการบุรพาจารย์คนฟ้าผู้หนึ่งมานั่งบัญชาการณ์ สุดท้ายบุรพาจารย์ทั้งหลายที่ปรึกษากับหลี่ชิงโหวก็ตัดสินใจกันว่าจะให้บุรพาจารย์ธาราเทพเป็นผู้กินยาคนฟ้า และรอเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้า

นั่นเป็นเพราะบุรพาจารย์ธาราเทพมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ในข้อนี้บุรพาจารย์ธาราโลหิตที่มีตบะเท่ากับเขามิอาจเทียบเคียงได้ เพราะอย่างไรซะ…ขอบเขตคนฟ้าก็สามารถเพิ่มอายุขัย และเมื่อเทียบกับเวทลับของบุรพาจารย์ธาราเทพแล้ว บุรพาจารย์ธาราโลหิตก็ยอมรับว่าหากตนกลายเป็นคนฟ้า ตนอาจมีสิทธิ์ตายได้ แต่หากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น บุรพาจารย์ธาราเทพน่าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก

เมื่อมองเช่นนี้ การที่ให้บุรพาจารย์ธาราเทพเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าก็ย่อมมีประโยชน์ต่อสำนักสยบธารสูงสุด และเมื่อมีคนฟ้าคนหนึ่งแล้ว หากคิดจะให้ปรากฏเพิ่มอีกคนก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น

ขณะที่บุรพาจารย์เหล่านี้ปรึกษากัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในพื้นที่ปิดด่านก็กำลังหลอมยาคนฟ้า ตำรับยานี้สำนักสยบธารมีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่เนื่องจากขาดตัวยาหลักไปจึงมิอาจหลอมออกมาได้ และตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ เวลาหลายวันหลังจากนั้น ทุกคนในสำนักสยบธารล้วนจะต้องได้กลิ่นหอมประหลาดอบอวลไปทั่วทั้งฟ้าดิน

กลิ่นหอมนี้เถี่ยตั้นชื่นชอบมาก มันจะต้องมานอนหมอบอยู่หน้าถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วคอยสูดกลิ่นด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม สัตว์วิเศษตัวอื่นๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ แม้แต่นักพรตในสำนักเองที่พอสูดดมเข้าไปก็สัมผัสได้ว่าตบะของตัวเองมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น

ภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์นี้ทำให้ทุกคนในสำนักสยบธารยิ่งเกิดความสนใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างกระตือรือร้นกันมากขึ้น เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมนี้ไม่ได้ดำรงอยู่นานนัก เจ็ดวันให้หลัง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนออกจากด่าน กลิ่นหอมนั้นก็จางหายไปในที่สุด

พอออกจากด่านป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบส่งข้อความเสียงให้กับพวกบุรพาจารย์ทันที ไม่นานสายธาราโอสถก็ส่งอาจารย์หลอมโอสถที่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมยาจนเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์มาหลายสิบท่าน บวกกับหลี่ชิงโหวอีกหนึ่งคนที่มาให้ความร่วมมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนโดยการเปิดค่ายกลโอสถใหญ่หลังภูเขาของสำนักสยบธาร รวบรวมกำลังคนทั้งหมดมาทำการหลอมครั้งสุดท้าย

การหลอมครั้งนี้กินเวลายาวนานหนึ่งเดือนเต็ม ระหว่างนั้นล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ล้มเหลวก็ต้องสิ้นเปลืองตัวยาหลัก ทำให้ทุกความพยายามกลายมาเป็นเพียงความว่างเปล่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ร้อนใจมากเหมือนกัน แต่กลับข่มกลั้นมันเอาไว้ เขาคอยสรุปรวมประสบการณ์จากทุกครั้งที่ล้มเหลว แล้วก็เป็นดั่งคำที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในการหลอมครั้งที่เจ็ด สุดท้ายพวกเขาก็ทำ…สำเร็จ ซึ่งครั้งนี้หากไม่สำเร็จ ยาที่เหลืออยู่ก็ไม่พอให้หลอมครั้งต่อไปแล้ว!

วันที่ทำสำเร็จ จู่ๆ บนท้องฟ้าที่สดใสก็มีสายฟ้าแลบปลาบออกมา ส่งเสียงครืนครั่นไปทั้งฟ้าดิน กลิ่นหอมระลอกหนึ่งที่เข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนพลันลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งสำนักสยบธาร กลิ่นหอมนี้เข้มข้นเกินไปจนกลายมาเป็นกลุ่มควัน มองไกลๆ จะเห็นว่าสำนักสยบธารที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันนี้ผลุบๆ โผล่ๆ คล้ายดินแดนแห่งเซียนก็ไม่ปาน

“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าซีดเซียว เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ทว่าดวงตากลับทอประกายฮึกเหิมดีใจ เมื่อเสียงหัวเราะของเขาดังออกมา เหล่าบุรพาจารย์ของสำนักสยบธารก็พากันบินทะยานมาถึง หลังจากมองเห็นยาสีขาวเม็ดหนึ่งที่มีประกายแสงระยิบระยับไหลวนอยู่กลางฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว แต่ละคนก็ตื่นเต้นกันอย่างถึงที่สุด

พวกเขามองยาเม็ดนี้แค่ปราดเดียว ส่วนลึกในใจก็มิอาจข่มกลั้นความปรารถนาเอาไว้ได้ อีกทั้งพวกเขายังพอสัมผัสได้ด้วยว่ายาเม็ดนี้แผ่ปราณที่เหมือนจะผสานรวมกับฟ้าดินออกมา

ผ่านไปพักใหญ่พวกบุรพาจารย์ถึงข่มกลั้นความงุ่นง่านอยากครอบครองเอาไว้ได้ในที่สุด บุรพาจารย์ธาราเทพจึงรับเอายาคนฟ้าเม็ดนี้มาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วพยักหน้าให้ จากนั้นก็หันไปโค้งคารวะบุรพาจารย์คนอื่นต่ำๆ ครั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเลือกปิดด่านด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

แรงกดดันของเขามีมาก เพราะเขารู้ดีว่ายาคนฟ้ามีเพียงแค่เม็ดนี้เม็ดเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะอย่างไรครั้งนี้ตนก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version