Skip to content

A Will Eternal 906

บทที่ 906 คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล

เมื่อตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออกมา ใบหน้าของเขาที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยิ่งแผ่พลานุภาพสยบไร้ที่สิ้นสุดอย่างแรงกล้า ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็เก็บตบะทั้งหมดกลับไป ทำให้ใบหน้าบนท้องฟ้าจางหาย พลานุภาพสยบก็สลายไปด้วย

“เจ้า…เจ้า…” จางต้าพั่งที่กลั้นหายใจจนใบหน้าแดงก่ำยกนิ้วชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน พูดอึกๆ อักๆ ไม่จบประโยค พื้นที่บนใบหน้าถูกยึดครองไปด้วยความเหลือเชื่อ สมองมีแต่เสียงดังอื้ออึงราวกับมีค้อนทุบลงมาไม่หยุด

สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกันก็เป็นเช่นนี้ คนทั้งสองสะท้านสะเทือนไปอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาสรุปรวมเข้าด้วยกันจึงพลันกระจ่างแจ้ง ที่หลี่เสี่ยนเต้าเกรงอกเกรงใจขนาดนั้น ที่คนตระกูลหลี่ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับเป็นบรรพบุรุษ สาเหตุของเรื่องราวทุกอย่างนี้…ล้วนมาจากตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งสิ้น!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน..คนฟ้า..” หลังจากที่อ้าปากหอบหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ อารมณ์สะเทือนไหวของจางต้าพั่งก็พลันเปลี่ยนมาเป็นความฮึกเหิมเกินบรรยาย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเริ่มค่อยๆ เปล่งประกาย สุดท้ายก็ตบขาตัวเองฉาดใหญ่

“ฮ่าๆ นับจากวันนี้ไปข้าจางต้าพั่งที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ใครจะกล้ามาหาเรื่องอีก!!”

เห็นว่าจางต้าพั่งดีใจเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีความสุขตามไปด้วย ครั้นจึงตบอก พูดอย่างลำพองใจ

“ถูกต้อง ต่อไปอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้ ใครจะกล้ามาแหยมกับพวกเราอีก!”

สวีเป่าไฉเองก็ตระหนักได้ถึงข้อนี้ ด้วยความตื่นเต้น ร่างของเขาจึงยิ่งสั่นเทิ้มรุนแรงกว่าเดิม

ในสมองมีภาพของนักพรตหญิงทั้งหมดในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เขาต้องตาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในอดีตนักพรตหญิงเหล่านี้ต่างก็ไม่แยแสเขา ทว่าวันนี้กลับต่างออกไปแล้ว…

“บุรพาจารย์น้อยกลายเป็นคนฟ้า ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างข้าและเขาผู้อาวุโส ต่อไปหากข้าถูกใจนักพรตหญิงคนไหน แค่กระดิกนิ้วอีกฝ่ายก็ต้องวิ่งเข้ามาหาแน่นอน” สวีเป่าไฉคิดมาถึงตรงนี้ก็ให้ฮึกเหิมจนมิอาจหาคำใดมาบรรยาย

จางต้าพั่งเวลานี้ก็เบิกบานอย่างถึงที่สุด หัวใจเต้นรัวกระหน่ำจนมิอาจสงบลงได้ ด้านหนึ่งก็ดีใจแทนป๋ายเสี่ยวฉุน อีกด้านหนึ่งก็เพราะวาดหวังถึงอนาคต

เขารู้สึกว่าความลำบากที่ตัวเองได้รับในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก่อนหน้านี้ก็เพราะเหนือตนขึ้นไปไม่มีคนคอยหนุนหลัง เมื่ออยู่กับสวีเป่าไฉสองคนจึงได้อดทนข่มกลั้น ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

แต่ตอนนี้กลับต่างไปจากเดิมแล้ว บุรพาจารย์คนฟ้าคือศิษย์น้องของตน

เมื่อเป็นเช่นนี้ วันหน้าตนที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา อาจไม่ถึงวางอำนาจบาตรใหญ่ได้อย่างกำเริบเสิบสาน แต่ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก

ขณะที่บินทะยานมาพร้อมกับความวาดฝันเคลิบเคลิ้มของจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พาพวกเขามาถึงถ้ำสถิตของตัวเอง พื้นที่บนสายรุ้งสีครามกว้างขวาง ในฐานะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้อาวุโสขอบเขตคนฟ้า ที่พักของเขาจึงแทบไม่ต่างไปจากของคนฟ้าอีกห้าคน

เพียงแต่ว่าเขาไม่มีคนในตระกูลมาอยู่ด้วย ดังนั้นในพื้นที่ที่กว้างขวางโอ่อ่าแห่งนี้จึงมีแค่เขาอยู่อาศัยเพียงลำพัง หลังจากพาจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉกลับมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงจัดแจงให้จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉพักอยู่ด้วยกันที่นี่เสียเลย

มองเห็นสิ่งปลูกสร้างหรูหราใหญ่โตจำนวนนับไม่ถ้วนที่รายล้อมอยู่รอบด้าน รวมไปถึงปราณวิญญาณจากมหาสมุทรทงเทียนที่เข้มข้นถึงขีดสุด

จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ สำหรับพวกเขาแล้ว ทุกอย่างนี้เป็นดั่งความฝันที่กำลังอยู่ในห้วงเวลาที่งดงามที่สุด

“เสี่ยวฉุน ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเราที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราควรต้องมีกองกำลังเป็นของตัวเอง เจ้าดูบุรพาจารย์คนฟ้าอีกห้าท่านนั่นสิ มีใครบ้างที่ข้างกายไม่มีผู้แข็งแกร่งดารดาษ พวกเราก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน!”

จางต้าพั่งหันมาพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าห้าวเหิม นัยน์ตาโชนแสงวาววับ

“หลายปีมานี้ข้าเองก็รู้จักคนไม่น้อย ข้าจะไปหาพวกเขาเดี๋ยวนี้!”

“ถูกต้อง ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีลูกศิษย์เก่งๆ ที่ไม่ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้บุรพาจารย์น้อยกลายเป็นคนฟ้า นี่ก็คือโอกาสของพวกเขา” สวีเป่าไฉเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างยิ่ง เขาจึงรีบหยิบเอาสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก หลังจากพลิกเปิดดูอยู่พักหนึ่งก็เหมือนจะเลือกลูกศิษย์ที่หมายดึงมาเข้าพวกได้แล้ว

เห็นว่าจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉกระตือรือร้นกันขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอใจอย่างยิ่งยวด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าที่คนทั้งสองพูดมีเหตุผล ในใจเขาหวนนึกถึงศพหุ่นเชิดมากมายที่เป็นลูกน้องของตนตอนอยู่นครจักรพรรดิขุย ดังนั้นจึงมอบหน้าที่นี้ให้จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉเป็นคนจัดการไปตามความคิดของพวกเขาโดยตรง

และภายใต้คำแนะนำจากสวีเป่าไฉ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้มอบโองการให้กับจางต้าพั่งหนึ่งฉบับ ด้านบนเขียนไว้อย่างชัดเจนถึงสิทธิ์และอำนาจที่มากพอซึ่งเขามอบให้แก่จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ

คนทั้งสองรับโองการนั้นมา ก่อนจะรีบร้อนจากไปด้วยความฮึกเหิม นั่นเป็นเพราะเรื่องนี้สร้างแรงโจมตีและมีอิทธิพลกับพวกเขามากเกินไป พวกเขาแทบอยากจะแล่นกลับไปหาคนที่เป็นเส้นสายของตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ ด้านหนึ่งก็เพื่อโอ้อวดตัว อีกด้านหนึ่งก็เพื่อหาพรรคหาพวกหมายเตรียมไปเล่นงานพวกคนที่ในอดีตจงใจสร้างปัญหาให้แก่พวกเขา

เมื่อมีโองการนี้ พวกเขาก็เชื่อว่าไม่มีเรื่องใดที่ไม่ราบรื่น!

เมื่อคลี่คลายวิกฤตให้กับจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางใจได้ในที่สุด ครั้งนี้เขากลับมาสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ถือว่าได้จัดการเรื่องราวแทบทั้งหมดเสร็จแล้ว

ตอนนี้เรื่องกองกำลังใต้บังคับบัญชาของตนมีจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉรับผิดชอบสร้างให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีเวลาว่างจึงเริ่มครุ่นคิดถึงเส้นทางการบำเพ็ญตนของตัวเองในอันดับถัดไป

“ด้านหนึ่งต้องฝึกเลือดคงกระพัน แต่ว่าวิชานี้ต้องใช้พลังชีวิตที่มากพอ…ข้อนี้ไม่ยาก ด้วยตัวตนของข้าในตอนนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆ คงแก้ไขปัญหาไปได้ไม่น้อย”

“นอกจากนี้ก็มีวิชาการฝึกตนของคนฟ้าแล้วล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ก็ลุกขึ้นสะบัดกายหายตัววับ เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในเจดีย์สูงเจ็ดชั้นซึ่งตั้งอยู่ตรงใจกลางของสายรุ้งสีครามแล้ว

เจดีย์สูงแห่งนี้มีชื่อว่าหอฟ้าดารา

ด้านในเก็บเวทลับทั้งหมดของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่สืบทอดต่อกันมาเอาไว้ โดยเฉพาะชั้นที่เจ็ดที่เก็บวิชาคาถาของคนฟ้าไว้โดยเฉพาะ ต่อให้ไม่นับชั้นที่เจ็ด ลำพังเพียงแค่หกชั้นล่าง หากเป็นลูกศิษย์ทั่วไปก็จำเป็นต้องมีตบะและคุณความชอบที่มากพอถึงจะเข้ามาในนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

แต่ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสไท่ซ่าง ทุกอย่างที่อยู่ในหอฟ้าดาราแห่งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนสามารถเข้ามาเปิดดูได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่มีขีดจำกัดด้านคุณความชอบ เพราะอย่างไรซะหากรวมป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปด้วย ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราคนที่มีคุณสมบัตินี้ก็มีเพียงแค่พวกเขาที่เป็นคนฟ้าและบุรพาจารย์ครึ่งเทพเท่านั้น

การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อปรากฏตัวก็มาอยู่ชั้นที่เจ็ดของหอฟ้าดาราแล้ว สถานที่แห่งนี้เงียบสงบ มีเพียงโต๊ะโบราณเรียบง่ายตั้งวางอยู่ตรงกลางเพียงตัวเดียว ด้านบนวางตำราแผ่นไม้ไผ่เก้าแผ่นที่แผ่กลิ่นอายของกาลเวลาอันยาวนาน

เห็นได้ชัดว่าตำราแผ่นไม้ไผ่ทั้งเก้านี้เป็นของเก่า อีกทั้งบางส่วนยังมีรอยปริแตกแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ ขณะเดียวกันก็มองออกว่าเป็นต้นฉบับที่สืบทอดต่อกันมา ไม่ใช่แผ่นคัดลอก

และรอบๆ แผ่นไม้ไผ่ทั้งเก้าก็จัดวางแผ่นหยกสามวงที่น่าจะบันทึกวิชาหลายสิบวิชาเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าหากไม่เป็นเพราะระดับเทียบกับตำราไม้ไผ่ไม่ได้ก็เป็นเพราะเป็นวิชาที่มีข้อบกพร่อง

“เป็นวิชาคนฟ้าหมดเลยรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขึ้นหน้าแล้วแผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบทีละชิ้นด้วยความตกตะลึง สำนักสยบธารเองก็มีวิชาคนฟ้าเหมือนกัน แต่มีแค่สองวิชา และล้วนเป็นวิชาที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ทว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารากลับมีวิชาคนฟ้ามากขนาดนี้

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจรากฐานของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้อย่างลึกล้ำ ยามนี้เมื่อกวาดอำนาจจิตมองไป เขาก็ไล่ตรวจสอบครบทุกวิชาอย่างรวดเร็ว

เหมือนๆ กับที่เขาวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ ตำราแผ่นไม้ไผ่ทั้งเก้าที่อยู่ตรงกลางเป็นฉบับสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ในบรรดาวิชาเหล่านี้เขาได้เห็นวิชากระบี่ของหลี่เสี่ยนเต้า วิชามารของเฉินเห้อเทียน และยังมีกระดานหมากรุกฟ้าดินของป๋ายเจิ้นเทียน

เพียงแต่ว่าต้องเลือกเอาไปจริงๆ เท่านั้น หาไม่แล้วก็ได้แต่รู้เนื้อหาเพียงคร่าวๆ ไม่อาจมองออกได้ลึกซึ้ง ส่วนแผ่นหยกสามวงที่วางอยู่โดยรอบก็เป็นฉบับบกพร่องแทบทั้งหมด ยิ่งเป็นวงนอกก็ยิ่งไม่สมบูรณ์มากเท่านั้น ในนี้มีเวทอภินิหารของบุรพาจารย์คนฟ้าสามคนของสำนักธารมรรคา สำนักธารดาราและสำนักธาราอันต และยังมีวิชาบางส่วนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ตรงกลางย่อมต้องดีที่สุด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว เพราะถึงแม้ตำราแผ่นไม้ไผ่ทั้งเก้าตรงกลางที่เขากวาดอำนาจจิตมองไปจะเป็นฉบับสมบูรณ์แบบ แต่กลับมีบางจุดที่ขัดแย้งกับวิชาที่เขาฝึกตนมาก่อนหน้านี้ ตำราแผ่นไม้ไผ่ทั้งเก้านี้คือวิชาคนฟ้าอันเป็นแกนกลางสำคัญของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คิดจะฝึกก็จำเป็นต้องปูทางเสริมมาตั้งแต่เนิ่นๆ และพอกลายเป็นคนฟ้าถึงจะสามารถฝึกวิชาพวกนี้ได้อย่างราบรื่น

“ตอนที่ข้ารวมโอสถใช้คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด ตอนก่อกำเนิดไม่ได้เลือกวิชา แต่ใช้เคล็ดลับของแดนทุรกันดารมาชุบหลอมทารกก่อกำเนิดของตน วิชาคนฟ้านี้ก็คือจุดที่สำคัญที่สุด” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิด ก่อนจะอ่านอย่างละเอียดอีกรอบ เขาสนใจวิชาคนฟ้าวิชาหนึ่งที่อยู่สามวงรอบนอกอย่างมาก เพียงแต่ว่าวิชานี้มีข้อบกพร่องเยอะเกินไป ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจไม่ได้

วิชานี้มีชื่อว่าคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล!

ชื่อนี้ให้ความยิ่งใหญ่อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อดูจากคำอธิบายก็สามารถมองออกถึงจุดที่น่าตะลึง เมื่อฝึกได้สำเร็จจะสามารถทำให้บนท้องฟ้ามีพระอาทิตย์และพระจันทร์เพิ่มขึ้นมาได้อีกหนึ่งดวง!

อีกทั้งวิชานี้ก็ยังบอกไว้อย่างชัดเจนว่ามาจากอดีตราชวงศ์ขุย ตอนที่ถูกค้นพบเป็นเพียงฉบับที่ไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานจึงไม่สามารถตรวจสอบหาที่มาที่แท้จริงได้ เพียงแต่ว่าจากการวิเคราะห์ของคนรุ่นหลังได้บอกไว้ว่าหากสามารถฝึกวิชานี้ได้ถึงขั้นที่เก้าซึ่งเป็นขั้นสมบูรณ์แบบก็จะสามารถฝ่าทะลุขอบเขตของครึ่งเทพ สามารถกลืนกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้!

“น่าเสียดาย…คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลนี้มีเพียงสามขั้นแรกเท่านั้น…แม้จะพอฝึกได้ถึงคนฟ้าช่วงกลาง แต่การฝึกหลังจากนั้น…กลับหายสาบสูญไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version