บทที่ 929 เรื่องใหญ่ขนาดไหนกันเชียว
ตูม!!
เสียงกัมปนาทที่ดังไปเกือบครึ่งพื้นที่ของทะเลทรายพลันกึกก้องขึ้นมาระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและอวิ๋นเหลยจื่อ อวิ๋นเหลยจื่อร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด รูปปั้นเทพมารของเขาแตกทลายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนวงแสงสีดำที่โอบล้อมทั่วร่างของเขานั้นแหลกลาญไปทั้งหมด
ร่างของเขาม้วนตลบออกไปประหนึ่งว่าวที่สายป่านขาด ปากก็มีเลือดสดพ่นทะลักทลาย เป็นเหตุใดเขาจำต้องตบหน้าผากตัวเองแล้วพ่นแสงสีดำเส้นหนึ่งออกมาจากปาก
แสงสีดำนั้นกลายมาเป็นโล่กึ่งโปร่งแสงขนาดเล็ก พอบินออกมา อวิ๋นเหลยจื่อก็คำรามดังลั่น
“ระเบิด!!”
พอเสียงตูมดังสนั่น โล่เล็กนั่นก็ระเบิดตัวเองทันใด แรงระเบิดก่อกลายมาเป็นแรงโจมตีที่สกัดกั้นหมัดซึ่งราวกับจะดับทำลายฟ้าดินของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้อีกครั้ง เมื่ออาศัยการต้านทานติดๆ กันนี้ ในที่สุดอวิ๋นเหลยจื่อก็มีโอกาสร่ายใช้ความเร็วถึงขีดสุดและถอยหลังไปด้วยความตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง แต่กระนั้นเลือดก็ยังไหลทะลักอย่างบ้าคลั่ง
เส้นชีพจรในร่างของเขาปริแตกไปไม่น้อย รู้สึกเวียนหัวตาลายพร้อมๆ กับความตื่นตะลึงหวาดผวาที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างมิอาจระงับ
“เหตุใดเขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!! ข้าคือคนฟ้าช่วงกลาง เขาเป็นแค่คนฟ้าช่วงต้นเท่านั้นนะ!!” ในใจของอวิ๋นเหลยจื่อมีลูกคลื่นซัดสาด ร่างสั่นเทิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามเลือดให้หยุดไหลไม่ได้ จำต้องกระอักเลือดพลางถอยกรูดว่องไว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ตนประมาทเกินไป เขาไม่ควรจะวู่วามขนาดนี้ เพียงแค่อาวุธวิเศษชิ้นเดียว กลับมามีเรื่องกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่พลังการต่อสู้น่าครั่นคร้าม
นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งได้โล่เล็กชิ้นเมื่อครู่นี้มา แล้วก็พบว่าโล่นี้สามารถช่วยให้ตนอำพรางตัวได้ นั่นจึงทำให้เขาตระหนักได้ว่าพื้นที่การประลองแห่งนี้…มีสมบัติซุกซ่อนอยู่อย่างแท้จริง!
นี่ถึงทำให้เขาบังเกิดใจละโมบ เมื่อเห็นหนอนทะเลทรายเหนือศีรษะมีวงแสงสีแดงตัวนั้น
ขณะเดียวกัน พลังโจมตีที่เขาประมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ก็ได้ระเบิดไปรอบด้านพร้อมเสียงครืนครั่น ทุกที่ที่ผ่าน ร่างของหนอนทะเลทรายทุกตัวที่หลบไม่ทันก็แตกกระจายกลายเป็นเถ้าธุลีเหมือนถูกลบทิ้งไป
ส่วนหนอนทะเลทรายที่ศีรษะมีวงแสงสีแดง เดิมทีก่อนหน้านี้ก็บาดเจ็บหนักเพราะการลงมือติดต่อกันของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้ว
ตอนหลังมาโดนการโจมตีของอวิ๋นเหลยจื่อกระแทกลงบนร่างซ้ำอีกจึงบาดเจ็บร่อแร่ใกล้ตาย ตอนนี้พอแรงโจมตีนั้นซัดมาโดน ร่างของมันก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ โดยที่มิอาจต้านทานได้ไหวอีกต่อไป
และพอร่างมันแตกกระจายก็มีแสงสีแดงเส้นหนึ่งบินพรวดออกมาจากเรือนกายที่กำลังสลายไปของมัน นั่นคือกระสวยชิ้นหนึ่งที่รอบด้านมีอักขระซับซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งดูเหมือนว่าอักขระเหล่านี้จะแตกต่างไปจากอักขระของโลกทงเทียนอย่างสิ้นเชิง
อักขระพวกนี้เหมือนลูกอ๊อดที่มีชีวิตชีวา พวกมันเลื้อยขยุกขยิกอยู่อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าอักขระพวกนี้กำลังทำการแปรสภาพตัวเอง มองดูแล้วพิลึกพลั่น
ขณะเดียวกันกระสวยนี้ก็พุ่งตัวหมายจะฝ่าออกไป แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องหนอนทะเลทรายตัวนั้นอยู่นานแล้ว ยามนี้พอกระสวยทำท่าจะบินออกมา เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นแล้วคว้าจับผ่านอากาศ กระสวยนั่นสั่นสะเทือนคล้ายพยายามดิ้นรน แต่กลับทำอะไรไม่ได้ จึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าไว้ในมือโดยตรง และพริบตานั้นเขาก็กระแทกอำนาจจิตของตัวเองเข้าไปว่ายวนในกระสวยรอบหนึ่ง สัมผัสได้ว่าโครงสร้างด้านในที่อยู่ในกระสวยมีส่วนที่ไม่เหมือนกับอาวุธอาคมที่เขาเคยเจอมาก่อน ทว่าก็มีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือแค่ทิ้งตราประทับเอาไว้ก็จะสามารถควบคุมมันได้
และพอป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งตราประทับไว้ข้างใน กระสวยชิ้นนี้ก็สงบนิ่งทันที จากนั้นจึงมีปราณคมกริบระลอกหนึ่งผุดพุ่งออกมา!
“อาวุธอาคมในการจู่โจม!” ม่านตาของอวิ๋นเหลยจื่อหดตัว ในใจกำลังหลั่งเลือด อาวุธอาคมที่เขาได้รับมาเป็นแค่อาวุธที่ช่วยเสริมสร้างพลังเท่านั้น ทว่ากระสวยชิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธในการจู่โจม เมื่อเทียบราคากันแล้ว อย่างหลังมีมูลค่ามากกว่าอย่างมิต้องสงสัย
แต่เขาไม่มีเวลามามัวริษยา เวลานี้อาการบาดเจ็บของเขาไม่เบา อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือบุคคลที่น่ากลัว จึงได้แต่ร่ายเวทลับที่เผาผลาญอายุขัยมาใช้เผ่นหนีเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง
เสียงฟ้าร้องกึกก้องไปทั่วทั้งผืนฟ้า ภายใต้เวทลับนี้ ร่างทั้งร่างของอวิ๋นเหลยจื่อคล้ายกลายมาเป็นสายฟ้าเส้นหนึ่งที่ห้อตะบึงไปทิศไกล อีกทั้งรอบกายเขายังมีไอความเย็นแผ่ออกมา ทำให้ความว่างเปล่าด้านหลังของเขาเหมือนถูกปิดผนึกไปด้วยน้ำแข็ง
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ความเร็วของคนที่ไล่โจมตีมาช้าลงเรื่อยๆ ส่วนตัวเขานั้นกลับยิ่งเร็วมากขึ้นและหนีไปได้ในที่สุด
ขณะเดียวกันการร่ายใช้เวทลับนี้ก็เผาผลาญพลังงานมากเกินไป หากใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ยังพอทน
แต่หากใช้นานเข้า ต่อให้อวิ๋นเหลยจื่อหนีไปได้ก็อาจต้องคลุ้มคลั่งเพราะความเสียหายที่น่าหวาดหวั่น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อายุขัยถูกเผาผลาญมากเกินไป ขณะที่ห้อทะยาน อวิ๋นเหลยจื่อจึงรีบเอ่ยรัวเร็ว
“สหายนักพรตป๋าย เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดกัน สองสำนักของเจ้าและข้าเป็นมิตรกันมานานหลายปี เรื่องในวันนี้ข้าผู้อาวุโสจะต้องมีคำอธิบายให้เจ้า…”
“คำอธิบายกะแม่เจ้าน่ะสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตากล่าวเดือดดาล
เมื่อครู่นี้เขาโกรธเข้าจริงๆ แล้ว เพราะเขาไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน แต่จู่ๆ เจ้าอวิ๋นเหลยจื่อผู้นี้ก็กระโดดเข้ามาพร้อมลากเอาหนอนทะเลทรายจำนวนมากตามมาด้วย นั่นยังพอทำเนา แต่นี่ดวงตาของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยแววดูแคลน ไม่เพียงแต่คิดจะอาศัยความเร็วที่ไม่ธรรมดามาแย่งชิงอาวุธจากตน ทั้งยังคิดจะฉวยโอกาสเล่นงานตนอย่างลับๆ ด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนให้ความสำคัญกับชีวิตอย่างถึงที่สุด นั่นคือสิ่งที่ชีวิตนี้เขาจะไม่ยอมให้ใครมาเขย่าคลอนได้เด็ดขาด ทว่าตอนนี้เจ้าอวิ๋นเหลยจื่อกลับมาเล่นงานเขา สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความแค้นนี้นับว่าใหญ่หลวงนัก
โดยเฉพาะการลงมือของเขายังถึงขั้นใช้หมัดจักรพรรดิมิดับสูญแล้วด้วย ต้องรู้ว่านี่เพิ่งจะเข้ามาในพื้นที่การประลองเท่านั้น เขายังคิดจะอาศัยเพียงพลังกล้ามเนื้อเพื่อเก็บรักษาพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุด ทว่ากลับต้องมาเสียพลังกายก่อนกำหนดเพราะเจ้าอวิ๋นเหลยจื่อผู้นี้
นี่จึงทำให้ไฟโทสะในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนโหมโชติช่วง แล้วมีหรือจะยอมเลิกราง่ายๆ ขณะเดียวกันกับที่อ้าปากก่นด่า ร่างของเขาก็บินออกมาด้วย แม้ว่าจะสิ้นเปลืองพลังกายไปไม่น้อย แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้อยู่แค่ในขอบเขตกระดูกคงพัน ทว่าเป็นขอบเขตเลือดคงกระพันแล้ว
พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเขาจึงน่าตะลึงอย่างถึงที่สุด และเวลานี้เลือดลมของเขาก็กำลังฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว เขารีบร่ายใช้ผนึกมิวางวาย ความเร็วจึงพลันระเบิดตูม ร่างทั้งร่างทะยานตรงดิ่งเข้าหาอวิ๋นเหลยจื่อ
อวิ๋นเหลยจื่อร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แข็งใจเผาผลาญอายุขัยอย่างไม่เสียดาย หนีกระเซอะกระเซิงต่อไป
และคนทั้งสองที่คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังก็ไล่ล่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายเช่นนี้ ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งวัน เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน
“ไอ้แก่นี่มีความเร็วสูงมากก็ยังพอว่า แต่เหตุใดถึงยืนหยัดได้นานขนาดนี้?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจอย่างช่วยไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าความเร็วของตนสูงมากพอแล้ว แต่เมื่อเทียบกับอวิ๋นเหลยจื่อผู้นี้กลับยังสู้ไม่ได้
โดยเฉพาะที่อีกฝ่ายยังหนีโดยรักษาความเร็วเช่นเดิมมาตั้งแต่ต้น ส่วนผนึกมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นยังเป็นแค่การระเบิดความเร็วเท่านั้น ต่อให้ชนาเขย่าภูเขาก็ยังเป็นเช่นนี้
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะใช้วิชาสังหารของเวทอภินิหาร
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เสียดายนี่นา ตอนนี้เลือดคงกระพันของเขาเพิ่งจะรวบรวมได้ไม่กี่หยดเท่านั้น หากร่ายใช้ขึ้นมาก็ต้องเปลืองเลือดไปหนึ่งหยด และตามความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน เลือดคงกระพันหนึ่งหยดนี้มีค่าเทียบเคียงได้กับวิญญาณคนฟ้าเลยทีเดียว
อีกอย่างวิญญาณของอวิ๋นเหลยจื่อผู้นี้จะเป็นวิญญาณคนฟ้าที่สมบูรณ์แบบหรือไม่ก็ยังไม่รู้แน่
หากคนที่ไล่ฆ่าอวิ๋นเหลยจื่อไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุน ถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายอาจชั่งน้ำหนักว่าจะล้มเลิกการไล่ฆ่าครั้งนี้ดีหรือไม่ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งกลับทำเสียงขึ้นจมูก
“ไล่ตามเจ้าไม่ทัน ข้าก็จะต้องขู่ให้เจ้าตกใจตายให้จงได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าการร่ายใช้ความเร็วเช่นนี้ คนผู้นี้จะเผาผลาญพลังไปน้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ตาแก่ ข้าจะร่ายใช้ท่าไม้ตายแล้วนะ ตายซะเถอะ!” เสียงคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนดังราวอสนีบาต พอกล่าวจบเขาก็ระเบิดพลังของผนึกมิวางวายและชนาเขย่าภูเขาพร้อมกัน ท่ามกลางเสียงอึกทึกเกริกก้อง ความเร็วของเขาก็พลันเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่า
ส่วนอวิ๋นเหลยจื่อที่ทิ้งระยะห่างไปช่วงหนึ่งซึ่งพอได้ยินประโยคนี้ก็ให้แตกตื่น เมื่อเห็นว่าระยะห่างขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาก็กัดปลายลิ้นที่มีรอยปริแตกหลายรอยแล้วอีกครั้ง ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
ทว่าหลังจากที่เขาเพิ่มความเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับชะลอความเร็วของตัวเองลง นี่จึงทำให้อวิ๋นเหลยจื่อเข้าใจได้ทันควันว่าตนถูกปั่นหัว ในใจให้คับแค้น แต่กลับกัดฟันห้อตะบึงต่อไป
เพียงแต่ว่า…เรื่องแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำแค่ครั้งเดียวได้ยังไง ดังนั้นหลังจากนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคอยตะโกนเสียงดังอยู่เป็นระยะ ทำเอาอวิ๋นเหลยจื่อใกล้บ้าเต็มที
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาไม่เพิ่มความเร็ว แต่จู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับระเบิดความเร็วของตัวเองขึ้นมา จริงๆ หลอกๆ อยู่อย่างนี้หลายครั้งจนอวิ๋นเหลยจื่อเกือบใจสลาย ได้แต่ข่มกลั้นความเสียดาย และทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดัง เขาก็จะเพิ่มความเร็วไปอีกระดับ
ไม่นานเส้นผมของเขาก็เริ่มขาวโพลน ริ้วรอยยับย่นเต็มใบหน้า เขาร้องโอดครวญอยู่ในใจ สิ้นหวังเต็มทีแล้ว
“ทำไมป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ถึงได้สลัดหลุดยากนัก หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ต้องให้เขาไล่ล่ามา ข้าคงทนไม่ไหวเสียก่อน!!” อวิ๋นเหลยจื่อร้องโหยหวนอยู่ในใจ ก่อนจะตบถุงเก็บของแล้วเริ่มโยนของออกมาข้างนอก เขาได้แต่ทดลองใช้วิธีนี้มาดึงดูดความสนใจของป๋ายเสี่ยวฉุน
เมื่อเห็นว่าการไล่ฆ่าของตนทำให้อวิ๋นเหลยจื่อโยนอาวุธอาคมออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิติยินดีขึ้นมาทันควัน ทั้งยังคึกคะนอง ลำพองใจอย่างถึงที่สุด เขาครุ่นคิดว่าตนช่างร้ายกาจยิ่งนัก…แค่ไล่ล่าคน ก็ทำให้คนผู้นั้นโยนอาวุธออกมาได้
“ผู้มีฝีมือการไล่ฆ่าที่สูงส่งที่สุดก็คือข้านี่เอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอาวุธอาคมแต่ละชิ้นพลางทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ทั้งยังเก็บเอามาอย่างไม่เกรงใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดอวิ๋นเหลยจื่อก็คลายใจได้เสียที เพราะระยะห่างระหว่างเขาและป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เขากลับไม่กล้าหยุดใช้เวทลับแม้สักเสี้ยววินาที นั่นเป็นเพราะต่อให้จะทิ้งระยะห่างกันแค่ไหน…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงตามมาไล่ฆ่าไม่เลิกรา…
“ไม่จบไม่สิ้นสักที นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ข้าก็แค่คิดจะลอบโจมตีเขานิดหน่อยเท่านั้น แถมยังทำไม่สำเร็จด้วย…ระหว่างคนฟ้าก็เป็นอย่างนี้กันออกจะบ่อยไป!” อวิ๋นเหลยจื่อพลันเกิดความรู้สึกเหมือนกายและใจจะแหลกสลาย ในใจเขาให้รู้สึกเสียใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง…ก่อนหน้านี้พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรมามีเรื่องกับเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นี้จริงๆ
ขณะเดียวกันเขาก็ใช้เวทลับอีกอย่างหนึ่งมาขอความช่วยเหลือจากอวิ๋นเหลยจื่ออีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายอยู่ห่างจากเขามากเกินไป ในระยะเวลาสั้นๆ นี้จึงยังไม่สามารถตามมาให้ความช่วยเหลือเขาได้