บทที่ 1236 ทำได้ไม่เลว
หลังจากเฉินชิงจื่อกลายร่างเป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดที่จุติมายังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว เมื่อเป็นตายก็ไม่มีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นหรือว่าสำนักพันธมิตรอื่นๆ ล้วนเป็นเช่นนี้ทุกประการ
เป็นเพราะกฎการฟื้นคืนชีพถูกควบคุมไว้ นี่ก็คือต้นเหตุของการก่อสงครามระหว่างสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้นครั้งนี้นั่นเอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็…ศึกครั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นในเรื่องนี้ เฉินชิงจื่อผู้เป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดจึงมีกฎการควบคุมอยู่ในมือมากมาย อำนาจมากกว่าครึ่งล้วนใช้ไปกับส่วนนี้ แม้ว่าอำนาจของเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นจะมีมากเช่นกัน แต่ก็ยังขาดในด้านนี้ไปเล็กน้อย
ดังนั้นทุกคนที่เสียชีวิตในช่วงหลายปีมานี้จึงตกตายกันจริงๆ ใช้คำว่าวิญญาณร่างกายล้วนหายไปหมดมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลย…ตัวอย่างเช่นปรมาจารย์ เต๋าเก้ารัฐในตอนนี้ พริบตาที่มือซ้ายของหวังเป่าเล่อสัมผัสกับหว่างคิ้วของเขา เขาก็…วิญญาณร่างกายสลายหายไป ร่างวิญญาณถูกทำลายสิ้น!
ความจริงแล้วหากเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ธรรมดาทั่วไป ภายใต้การร่วมมือของ ห้าสำนักใหญ่และการกดดันของกฎน้ำเสริมไม้เช่นนี้ ต่อให้หวังเป่าเล่อจะใช้คืนพินาศออกมาก็ยากจะสังหารปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐที่รวบรวมพวกเขาเข้ามาในสำนักตน และใช้พลังต่อสู้ระดับจักรวาลออกมาให้สิ้นซากได้อย่างสะอาดหมดจดแบบนี้แน่
ศึกครั้งนี้นับว่าหวังเป่าเล่อมีเล่ห์เหลี่ยม เขาใช้คืนพินาศจัดการเคล็ดวิชาลับ ของแต่ละสำนักเสียก่อน จากนั้นก็ดึงแก่นเต๋าของปรมาจารย์เก้าเต๋า หรือก็คือ หยดน้ำตาเม็ดนั้นออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา
แม้ว่าสิ่งที่เขาหยิบออกมานั้น โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นภาพฉายมายา แต่…ระหว่างมายากับความเป็นจริงมักจะแตกต่างที่ความแข็งแกร่งอ่อนแอเท่านั้น ในแง่หนึ่งสามารถเปรียบเทียบโดยใช้ความลวงและความจริงได้ เมื่อความลวงแข็งแกร่งยิ่งกว่าจนทุกคนเชื่อว่าเป็นจริงแล้ว เช่นนั้นมันก็คือความจริง
กลับกัน…ความเป็นจริงก็สามารถกลายเป็นความลวงได้ด้วย
มายากับความจริงก็เช่นเดียวกัน เมื่อจิตมายาแข็งแกร่งยิ่งกว่าความจริง แล้ว…ใครคือตัวจริงและใครคือมายากันแน่
คำถามนี้ไม่อาจตอบได้ง่ายๆ แต่หวังเป่าเล่อใช้วิชาเต๋าของตนพิสูจน์ข้อนี้แล้ว น้ำตามายาของเขาทำให้ตัวของเก้าเต๋าอ่อนแอ เมื่อจัดการปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐล่วงหน้าได้แล้ว ก็เป็นผลให้ในท้ายที่สุด ภายใต้การได้เปรียบเสียเปรียบนี้ เก้าเต๋ารัฐ ก็ไม่ใช้ระดับจักรวาลอีกต่อไป เป็นเพียงกึ่งจักรวาลเท่านั้น
และกึ่งจักรวาล…สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ฆ่าได้…ไม่ยาก!
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นในชั่วขณะนี้เอง ร่างของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐ ก็สั่นระริก เขาฝืนลืมตาจนถึงวินาทีสุดท้าย เมื่อมองไปที่หวังเป่าเล่อ เขาก็ไม่มี ลมหายใจเกื้อหนุนให้เอ่ยพูดแล้ว เมื่อภาพตรงหน้าเลือนราง จิต ปราณ วิญญาณของร่างกายเขาก็สลายหายไปทันที
ท่ามกลางการสูญสลายนี้ มองเห็นความแก่ชราของร่างกายเขาได้ด้วยตาเปล่า คล้ายกับว่ากาลเวลาหลายหมื่นปีไหลผ่านตัวเขาไปในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ กายเนื้อของเขากลายเป็นโคลนทันที จากนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องแล้วหายไปจากประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ
ตอนนี้เอง สนามรบรอบด้านก็เงียบงันในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนของเต๋าเก้ารัฐ แต่ละคนตัวสั่นเทา มองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ดวงตาเผยความไม่อยากเชื่อ
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นมา เสียงร้องไห้ดังแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“ท่านปรมาจารย์!”
“ท่านปรมาจารย์!!”
ขณะที่เสียงร้องไห้สะท้อนไปทั่ว ผู้ฝึกตนของเต๋าเก้ารัฐแต่ละคนก็พากันคุกเข่าคำนับไปยังจุดที่ปรมาจารย์เก้าเต๋าสูญสลาย สีหน้าเจ็บปวดถึงขีดสุด ความจริงแล้ว ทั่วทั้งเต๋าเก้ารัฐนั้นมีท่านปรมาจารย์เก้าเต๋าเป็นผู้บุกเบิก ทำให้เต๋าเก้ารัฐเดินจากสำนักเล็กๆ มาจนถึงทุกวันนี้
กล่าวได้ว่าเขาใส่ใจศิษย์ทุกคนที่นี่ ถึงแม้สำหรับโลกภายนอกแล้วเขาจะเป็น โจรเฒ่าเหี้ยมโหดแกมโกงและถูกคนนับไม่ถ้วนเกลียดชัง แต่สำหรับคนของเต๋าเก้ารัฐ เขาคือจิตวิญญาณเทพที่คุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่าง
ตอนนี้ วิญญาณเทพแตกดับ
ตอนนี้ การคุ้มครองหายไป
ตอนนี้ ความเชื่อพังทลาย
สิ่งที่ตามมาก็คือความสับสนไร้ที่สิ้นสุดและความหวาดกลัวต่ออนาคต ทำให้ ศิษย์เต๋าเก้ารัฐทั้งหมดรู้สึกขมปร่าในใจ
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ที่ดังกังวานไปทั่วทุกแห่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติยิ่ง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว และไม่มีความเมตตา เพราะเขารู้ว่าถ้าหากผู้ที่ตายในศึกนี้ เป็นเขาล่ะก็ ปรมาจารย์เก้าเต๋าและสำนักเต๋าเก้ารัฐก็คงไม่เห็นอกเห็นใจตัวเขาแน่
“นี่ก็คือโลกแห่งการฝึกตน!” หวังเป่าเล่อกวาดตามองไปยังสี่สำนักใหญ่ที่เหลือ เมื่อสายตาของเขากวาดมองไป ผู้ฝึกตนของสี่สำนักใหญ่ก็ล้วนก้มหน้าไม่กล้าสบตา กับเขา แม้จะแต่ปรมาจารย์ของทั้งสี่สำนักก็ตาม ล้วนแต่พากันหวาดกลัวอยู่ในใจ ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่
“จะยอมจำนนหรือไม่” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบขณะที่พวกเขาตัวสั่นเทา
“พวกข้า…ยอมจำนน!” เมื่อเสียงของเขาดังสะท้อนไป ปรมาจารย์จากสี่สำนัก ก็ดูจะโล่งอก แต่ละคนก้มหัวคำนับทันที แม้แต่ศิษย์ของแต่ละสำนักที่ติดตาม พวกเขามาด้วยก็คุกเข่าคำนับทั้งหมด เป็นการคารวะให้แก่หวังเป่าเล่อ
ขณะที่ผู้ฝึกตนของสี่สำนักใหญ่ก้มคารวะ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองไป ยังอวกาศ สายตาของเขาส่องทะลุผ่านความว่างเปล่า มองไปเห็น…นอกดาราจักร เต๋าเก้ารัฐในตอนนี้มีเงาร่างแผ่แสงแรงกล้าร่างหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องเข้ามาหา แต่กลับหยุดชะงักกะทันหันเมื่อปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐสิ้นชีพ
นั่นก็คือ…จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง!
สีหน้าของเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด เขาจ้องเขม็งมายังดาราจักรตรงหน้า มองสบตากับหวังเป่าเล่อภายในดาราจักรโดยมีอวกาศขวางกั้นแล้วเอ่ยคำรามเสียงต่ำด้วย ความโกรธเกรี้ยว
“หวังเป่าเล่อ!!” เขามาช้าไป ทางด้านเยาถงทุ่มกำลังทุกอย่างทำตามคำขอของหวังเป่าเล่อ รั้งตัวจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงไว้ไม่ใช่เวลาแค่ยี่สิบอึดใจ และยื้อเวลาให้กับหวังเป่าเล่อจนเพียงพอ
“ข้าให้เวลาเจ้าสามอึดใจ ถ้ายังไม่หนี…ข้าจะฟันเจ้า!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ
“หนึ่ง!”
“เจ้า!!” ประกายแสงทั่วร่างของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงส่องสว่าง พลานุภาพระเบิดออกมาในทันที ในดวงตาฉายให้เห็นความดิ้นรน แต่ส่วนลึกแฝงไว้ซึ่ง ความหวาดกลัว ขณะที่กำลังจะเอ่ยพูด ทางหวังเป่าเล่อก็ตะโกนนับครั้งที่สองแล้ว
“สอง!”
เมื่อตะโกนออกมา ความเยือกเย็นในแววตาของเขาก็ทำให้จิตใจของ จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร และเข้าใจดีว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้ามีพลังที่สามารถสังหารตัวเขาได้ และยิ่งเป็นพวกฆ่าได้โดยไม่ลังเลอีกด้วย
ดังนั้นตอนนี้แม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่ร่างกายก็ถอยหลังในพริบตา เวลาเพียง ชั่วอึดใจก็ออกจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายไปแล้ว
“ส่งสาวใช้ของข้ากลับมาด้วย” ความเร็วของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง แทบจะระเบิดออกมา ขณะที่ทะยานล่าถอยมานั้น เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงไม่ลังเลแม้แต่นิด เขาโบกแขนเสื้อ พริบตาเดียวเยาถงที่กำลังจะตายก็ถูกโยนออกมาจากแขนเสื้อ
แต่ในพริบตาที่เยาถงถูกโยนออกมา เห็นชัดๆ ว่าเยาถงอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ในแววตากลับมีความอาฆาตแค้นแรงกล้า ราวกับจะกระตุ้นพลังภายในร่างขึ้นมาอีกครั้ง นางตัวสั่นไหวแล้วกลายเป็นปากขนาดใหญ่ทันที มันกัดลงไปที่แขนขวา ของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงในพริบตา!
เสียงแกร่กดังขึ้น!
มันรวดเร็วมาก อีกทั้งจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงยังอยู่ภายใต้การกดดันของ หวังเป่าเล่ออีก พลังจิตทั้งหมดล้วนกำลังใช้เพื่อป้องกันหวังเป่าเล่ออยู่ ไม่ได้สนใจเยาถงที่ถูกเขาทำร้ายตนนี้เลย บวกกับที่เยาถงก็มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลอยู่ ดังนั้นภายใต้เหตุผลแต่ละอย่างนี้ ทั้งร่างของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจึงสั่นสะท้าน ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมาจากปาก ใบหน้าซีดขาวในพริบตา มือขวาของเขาหายไปกว่าครึ่งฝ่ามือ!
“เจ้า!!” สายตาของกวงหมิงเผยความบ้าคลั่งออกมา ตะโกนลั่นเสียงดัง เจ็บปวดจนจิตสัมผัสของเขาสั่นสะเทือน
“ข้าทำไม เจ้ากล้าฆ่าข้าต่อหน้านายท่านหรือ!” เยาถงก็เป็นคนเถื่อนเช่นกัน ตอนนี้นางกลับไม่ล่าถอย แต่ยืนอยู่ตรงนั้น กลืนกินครึ่งฝ่ามือลงไป ทำให้ร่างกายตนฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนส่งเสียงแหลมคมออกมา
จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงโมโหจนถึงขีดสุดแล้ว แต่เขาทำได้เพียงอดทนไว้ ร่างกายถอยกลับในพริบตา เพราะเงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางระหว่างเยาถงกับเขาแล้ว ทั้งยังอ้าปากกำลังจะตะโกนเลขสามออกมาอีก ดังนั้นจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจึงคำรามหนึ่งเสียง อดทนมันทุกอย่าง ก่อนหันกาย พุ่งทะยานจากไปอย่างบ้าคลั่ง
มองตามเงาร่างที่จากไปของกวงหมิงแล้ว สายตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องวาบ สุดท้ายก็ยังละทิ้งความคิดที่จะลงมือลงไป ส่วนเยาถงด้านหลังของเขาในตอนนี้ ในแววตาเผยประกายแสงแปลกประหลาด นางก็มองไปยังกวงหมิงที่เผ่นแน่บ เหมือนหมาไร้เจ้าของเช่นกัน
นางไม่เคยเห็นจักรพรรดิสวรรค์เผ่นหนีเช่นนี้มาก่อน นางก็คิดไม่ถึงด้วยว่าจะมี วันหนึ่งที่ตนกลืนฝ่ามือของจักรพรรดิสวรรค์แล้วอีกฝ่ายจะทำได้เพียงคำรามเสียงต่ำ แต่กลับไม่กล้าโต้กลับ
และทั้งหมดนี้ นางเข้าใจดีว่าไม่ใช่เพราะตน แต่เป็นเพราะ…ร่างที่อยู่ตรงหน้า!
ดังนั้นแวววตาของนางจึงเผยความคลั่งไคล้ออกมาทีละน้อย ความคลั่งไคล้นี้ มาจากหัวใจ มาจากวิญญาณเทพ ทำให้ภายในใจของเยาถงเกิดความรู้สึกแบบที่ ไม่เคยมีมาก่อน นางคุกเข่าคารวะตามความรู้สึกนี้ทันที
“บ่าวคารวะคุณชาย!”
“ทำได้ไม่เลว” หวังเป่าเล่อถอยสายตาที่มองดูเงาร่างจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจนจากไปไกลกลับมา กวาดมองเยาถงไปคราหนึ่ง แววตาเผยความชื่นชม และ ความชื่นชมในแววตาของเขานั้น สำหรับเยาถงแล้ว มันทำให้ตัวของนางมีความรู้สึกเจิดจรัสบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทันที ยามที่คุกเข่าคารวะ…ก้นก็กระดกสูง ยิ่งขึ้นด้วย