Skip to content

A World Worth Protecting 125

บทที่ 125 หวังเป่าเล่อโกรธจัด

นี่มัน…กลิ่นมันฝรั่ง!

หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างเบิกบานใจ คิดว่าจมูกเขาช่างดีเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใด แค่เพียงได้กลิ่นก็รู้ทันที

เมื่อเงยหน้ามอง ก็พบว่ากลิ่นนั้นมาจากทางเดินไปยังหุบเขาเบื้องหน้า จึงรีบเดินตามทางไปยังหุบเขา เมื่อเดินไปตามทางสักพัก กลิ่นหอมก็ลอยแตะจมูก เริ่มได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่ ทำให้เขาเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก เมื่อใกล้จะถึงหุบเขา เขาก็หายใจเข้าลึกในทันใด

สวรรค์ นั่นไข่ดองซีอิ๊วของโปรดของข้า!

หวังเป่าเล่อร่างสั่นเทิ้ม รีบรุดเข้าหุบเขาไป เมื่อสิ่งรอบๆ ชัดเจนขึ้นในตา        ชายหนุ่มก็รายล้อมไปด้วยเสียงผู้คนวุ่นวาย เสียงตะโกนเรียกลูกค้า และกลิ่นอาหารมากมาย

ที่นี่คือตลาด แต่ไม่ได้ขายโอสถหรือสมบัติเวทแต่อย่างใด ตลาดแห่งนี้ขายอาหารมากมายนับไม่ถ้วน รอบหุบเขามีร้านรวงละลานตาแขวนป้ายโฆษณาหลากสีสัน    หน้าประตู มีร้านหนึ่งโฆษณาขายขนมที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นในนครศักดิ์สิทธิ์ด้วย

เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมีที่แบบนี้ด้วยหรือ ไม่แน่…อาจจะเป็นเครื่องทดสอบจิตใจของเหล่าศิษย์ก็เป็นได้

หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขาเห็นศิษย์ชุดเทามากมายเดินขวักไขว่ไปมา ทั่วทั้งสถานที่เต็มไปด้วยผู้คน กระทั่งศิษย์เอกอาวุธเวทชุดน้ำเงินก็มีให้เห็นประปราย

มีตลาดแบบนี้อยู่ทุกตำหนัก แม้ว่าเหล่าศิษย์จะก้าวข้ามระดับการฝึกตนโบราณ จนบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ กลายเป็นผู้ฝึกตนเต็มตัวแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องรับประทานอาหาร พอมีผู้คนมากมายอาศัยอยู่รวมกัน ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีร้านรวงต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการในชีวิตประจำวัน

ข้าเป็นผู้ฝึกตน ได้กลืนกินปราณวิญญาณของโลกไปแล้ว ข้าจะมามัวเมากับกิเลสได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าก็ตั้งใจจะลดน้ำหนักด้วย ต้องอดทน!

หวังเป่าเล่อส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ อยากจะรีบหนีออกไป แต่พอเริ่ม    ก้าวเดินกลับ ก็ดันผ่านร้านเล็กข้างทาง ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ต่อสู้กับตนเองอยู่นาน ก่อนจะหันหลังกลับ

“ศิษย์พี่ ขอมันฝรั่งสามสิบหัว!”

“เอาไข่ดองซีอิ๊วให้ข้าอีกร้อยฟอง!”

“ศิษย์พี่ เอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณหมดนี่ เอาขนมตรงนั้นอีกแปดกล่องด้วย!”

สักพัก หวังเป่าเล่อก็เดินกลับออกจากตลาด กินมันฝรั่ง กลืนไข่ดองซีอิ๊ว          ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ด้วยใบหน้าขมขื่น

ช่างมันๆ ข้าไม่ได้จะตายวันนี้สักหน่อย ข้าดันเจอกับหลินเทียนหาวตั้งแต่มาถึง ต้องเสียพลังมากคิดหาวิธีกำจัดเจ้านั่นไปมากโข! ถ้าจะโทษก็ต้องโทษหลินเทียนหาวละ!

คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็กัดน่องไก่กินด้วยความฉุนเฉียว เดินเนิบนาบออกจากตลาด เห็นอาคารมากมายตั้งเรียงอยู่หลายแถวล่างภูเขาถัดจากที่เขายืนอยู่ไปไม่ไกล

มีอาคารตั้งอยู่กว่าพันอาคาร แม้ว่าจะดูแออัดกัน แต่ก็วางผังได้เป็นระเบียบ เหล่าศิษย์นั้นไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ละคนมีเรือนเป็นของตนเอง

ไม่นานเขาก็พบบริเวณที่พักของเขา หวังเป่าเล่อมองดู พบว่าแม้จะไม่ได้ดีเหมือนถ้ำที่พักเดิม แต่ก็ดูสะอาดเป็นระเบียบดี ปัญหาอยู่ที่เมื่อเขาเปิดหน้าต่างออก จะพบกับเสียงวุ่นวายจากตลาดตรงหุบเขา อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมยั่วยวนใจทำให้เขาทุกข์ทรมานอีกต่างหาก

ถึงอย่างนั้นที่แห่งนี้ก็เป็นเรือนที่ดี นี่คือ การทดสอบจิตใจของข้า!

หลังจากทรมานด้วยแรงยั่วยุอยู่นาน เขาก็ห้ามใจไม่ออกไปซื้อขนมได้ด้วย    ความอดทนมหาศาล ชายหนุ่มเริ่มศึกษาวิชาฝึกตนจากแผ่นหยกที่ได้รับจากเกาะ  มหาปราชญ์ชั้นสูง

เวลาผ่านไป ดวงจันทร์ขึ้นสูงกลางท้องฟ้า ร้านค้าในตลาดเริ่มเก็บของ บรรยากาศค่อยๆ เงียบงัน ฤดูกาลนี้มีลมหนาวพัดมา ด้วยตำแหน่งของยอดเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ลมที่พัดมาจึงหนาวเย็นเป็นพิเศษ ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างกระทบร่างหวังเป่าเล่อ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว

หวังเป่าเล่อกำลังหมกมุ่นอยู่กับเคล็ดวิชาฝึกตนในแผ่นหยก แววตาเลื่อนลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขามองขึ้นฟ้าและหลับตาอยู่บ่อยครั้งเหมือนกับว่ากำลังประมวลความคิดและย่อยข้อมูลต่างๆ ที่ได้ศึกษา

คืนแรกในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของชายหนุ่มผ่านไปเช่นนั้น เมื่อดวงอาทิตย์    ปักกระบี่โผล่พ้นขอบฟ้า ฉายแสงสว่างให้กับโลก หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้า            จบการศึกษาวิธีฝึกตนตลอดทั้งคืน

“ระดับลมหายใจเที่ยงแท้แบ่งออกเป็นห้าขั้น จากที่อธิบายในแผ่นหยกก็คือ ปราณวิญญาณในขั้นแรกจะบางราวกับผ้าแพร แปรเปลี่ยนกลายเป็นปราณวิญญาณดุจหมอกในขั้นที่สอง ขั้นที่สามเริ่มก่อตัวเป็นกระแสน้ำ กระแสน้ำก่อตัวเป็นสายธารในขั้นที่สี่ และสุดท้าย…สายธารก่อตัวเป็นมหาสมุทร”

หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองด้วยสายตามุ่งมั่น หลังจากศึกษาอยู่ทั้งคืน เขาก็เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับลมหายใจเที่ยงแท้มากขึ้น

“วิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าข้าฝึกตามขั้นตอนดังนี้ ข้าก็จะพัฒนาระดับลมหายใจเที่ยงแท้ให้สูงไปจนถึงขั้นสูงสุดได้! นอกจากขั้นแรกแล้ว อีกสี่ขั้นก็มีคาถาเวทเฉพาะแตกต่างกันไป!

“แก่นแท้ที่แตกต่างออกไปของเคล็ดวิชานี้คือการแปรสภาพปราณวิญญาณให้กลายเป็นหมอก ยืดหยุ่นและควบคุมได้ง่าย เมื่อฝึกวิชาได้จนถึงขั้นสุด จะสามารถเร่งความเร็วของตนเองได้จนร่างกายเบาบางดุจหมอก เมื่อฝึกวิชาจนบรรลุ จะสามารถหลอมกายเป็นหนึ่งเดียวกับปราณวิญญาณมากมายที่ล่องลอยอยู่ทั่วไปในโลกใบนี้ได้”

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก นึกถึงยันต์ที่รองเจ้าสำนักเคยหยิบออกมาใช้จัดการกับเขา

แผ่นหยกเขียนอธิบายเรื่องยันต์ไว้เช่นกัน เนื่องจากในขั้นแรกของระดับลมหายใจเที่ยงแท้นั้นจะมีลักษณะบางเบาเหมือนผ้าแพร ทำให้มีปราณวิญญาณไม่เพียงพอ   ยากที่จะร่ายคาถาเวทได้ จึงต้องใช้ยันต์เป็นตัวช่วยเก็บคาถาเวท ในขั้นที่สองนั้น    พลังดุจหมอกจะเริ่มก่อตัวเป็นกระแสน้ำ หากไม่ใช่คาถาที่ต้องใช้พลังมาก ก็สามารถร่ายคาถาปกติทั่วไปได้โดยไม่ต้องใช้ยันต์กระดาษช่วย

จากข้อมูลนี้ รองเจ้าสำนักน่าจะอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่ง ถ้าเขาเลื่อนขึ้นไปขั้นที่สอง จะสามารถใช้วิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์…กระบวนท่าดัชนีเมฆาได้!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกโชติช่วงเมื่อนึกถึงวิชาดัชนีเมฆาที่เขียนอธิบายในแผ่นหยก ชายหนุ่มก้มหน้าลง หยิบแผ่นหยกวิชาแปรสภาพอาวุธไร้ขอบเขตขึ้นมาด้วยสายตาเป็นประกาย

ข้าศึกษาวิชาแปรสภาพอาวุธไร้ขอบเขตประจำตำหนักอาวุธเวทได้ด้วย นี่คือ   วิชาค้ำจุนปราณฉบับสมบูรณ์ มีทั้งวิชาอักขราจารึกระดับสูง วิชาแก่นวิญญาณระดับสูง วิชาหลอมวัสดุ และวิชาหลอมวัตถุเวท! ถ้าข้าศึกษาลงลึกไปอีก ข้าอาจจะสามารถแปรสภาพวัตถุเวทที่มีให้กลายเป็นสมบัติเวทเลยก็ได้!

หลังจากศึกษาวิชามาหนึ่งคืนเต็ม หวังเป่าเล่อก็เข้าใจรูปแบบการฝึกวิชาของตำหนักอาวุธเวทได้ลึกซึ้งมากขึ้น แผ่นหยกเขียนอธิบายไว้อีกว่า ศิษย์ในตำหนัก   อาวุธเวทสามารถไปตามสถานที่ที่ระบุไว้เพื่อฟังศิษย์รุ่นพี่อธิบายเรื่องต่างๆ หรือดูวิดีทัศน์อธิบายจากเครือข่ายวิญญาณของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงก็ได้

สรุปแล้ว ศิษย์ตำหนักเวทไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนเหมือนที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ศิษย์ที่นี่จึงใช้เวลาส่วนมากศึกษาและทดลองฝึกวิชาโดยลำพัง

เมื่อได้ทราบข้อมูลใหม่ประกอบกับความกระหายอยากจะศึกษาเพิ่มเติม        หวังเป่าเล่อก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นมา เขาเริ่มหมกมุ่นอยู่กับตนเองอีกครั้ง สี่วันผ่านไปไวเหมือนโกหก ตลอดสี่วันที่ผ่านมานั้น หวังเป่าเล่อเอาแต่ฝึกวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมๆ กับศึกษาวิชาแปรสภาพอาวุธไร้ขอบเขต หิวเมื่อไหร่ก็ออกไปตลาด           อาจเพราะชายหนุ่มสามารถหาอาหารกินได้ง่ายๆ ระหว่างขะมักเขม้นฝึกวิชาต่างๆ น้ำหนักตัวของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน สี่วันที่ผ่านมาพาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากโข

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!

เช้าวันที่ห้า หวังเป่าเล่อลูบท้องขณะทานอาหารเช้ามื้อใหญ่ด้วยใบหน้าอมทุกข์ เขาหันกลับไปมองตลาดหลังจากเดินออกมา ก่อนจะถอนหายใจยาว หยิบกระจกขึ้นมาดูหน้าอ้วนกลมอย่างเห็นได้ชัดของตน

ถึงข้าจะยังหล่อเหลาเหมือนเดิม แต่ข้าก็ต้องระวัง

หวังเป่าเล่อแตะใบหน้าตนเอง คิดสงสัยว่าถึงเวลาไปติดต่อเรื่องที่พักกับ         ฝ่ายปกครองตำหนักอีกครั้งหรือยัง ขณะกำลังเก็บกระจก เขาก็เห็นภาพสะท้อนของเรือบินที่ลอยอยู่บนฟ้า ชายหนุ่มสายตาดีจึงสังเกตเห็นว่าผู้ที่อยู่บนเรือบินลำนั้น      คือ หลินเทียนหาว

เจ้านั่นอีกแล้ว พำนักอยู่เทือกเขานี้เช่นกันหรือ หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว เมื่อหันมองดูอีกครั้ง ก็พบว่าหลินเทียนหาวสังเกตเห็นเขาเช่นกัน หลินเทียนหาวก้มมอง      ประสานสายตากับหวังเป่าเล่อ

ผู้หนึ่งอยู่บนฟ้า อีกผู้หนึ่งเดินดิน หลินเทียนหาวยิ้มเย้ยหยันเมื่อผุดความคิดบางอย่างขึ้นในหัว

ท่านพ่อพูดถูก พวกเราอยู่คนละชั้นกัน แต่…เจ้าหวังเป่าเล่อ เจ้าจะสามารถดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าไปได้หรือเปล่า!

คิดดังนั้น หลินเทียนหาวก็เบือนหน้าหนีไม่แยแสหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องล่าง เขาจงใจมุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำที่พักของเขาที่อยู่กลางยอดเขา

หวังเป่าเล่อเห็นหลินเทียนหาวขับเรือบินไปช่วงกลางภูเขา ลงจอดหน้าถ้ำที่พักและเข้าไปข้างใน ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง มองตามด้วยสายตาเย็นชา

เจ้านั่นมีถ้ำที่พักด้วย!

แปลกเสียจริง เจ้าหลินเทียนหาวมีทั้งเรือบินและถ้ำที่พัก…ส่วนข้าที่ครอบครองรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว อีกทั้งยังสร้างความดีความชอบให้สำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตั้งมากมายกลับไม่มีอะไรเลย

หวังเป่าเล่อหน้าตึงเครียด ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้สนใจเรือบินสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาสังเกตเห็นตัวเลขบนลำเรือบิน จากข้อมูลเกี่ยวกับเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่มีในปัจจุบัน ชายหนุ่มก็รู้ว่าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้แจกจ่าย พอนึกได้ว่าวันนี้      เข้าวันที่ห้าแล้วตั้งแต่ที่เขาได้ไปติดต่อฝ่ายปกครองตำหนักมา หวังเป่าเล่อก็สะกดเพลิงโกรธในใจ มุ่งหน้าเข้าไปหาฝ่ายปกครองตำหนักทันที

เมื่อมาถึง ก็พบว่าไม่มีใครอยู่เลยนอกจากผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินที่ดูแลฝ่ายปกครองตำหนักคนเดิม เมื่อหวังเป่าเล่อและอีกฝ่ายสบตากัน ผู้ฝึกตนคนนั้นก็นวดคลึงระหว่างคิ้ว ถอนหายใจยาวก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร

“ศิษย์น้องหวัง ช่วยรออีกหน่อย ข้าไปถามมาแล้ว ถ้ำที่พักจะว่างในอีกสิบวัน”

ได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เก็บงำความโกรธที่มีไว้ไม่ได้ ชายหนุ่มคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงหยิบศิลาวิญญาณรุ้งสิบก้อนขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“ศิษย์พี่ ข้าต้องการถ้ำที่พักภายในวันนี้!”

ศิลาวิญญาณรุ้งสิบก้อนบนโต๊ะถือเป็นลาภลอยของผู้ฝึกตนชุดน้ำเงิน เขามองศิลารุ้งตรงหน้าพร้อมกับยิ้มบิดเบี้ยว

“ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้โกหกเจ้า เจ้ามีรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว อีกทั้งยังเคยเป็นหัวหน้าศิษย์แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง อีกไม่นานคงได้ขึ้นเป็นศิษย์อาวุธเวท        ข้าคงไม่กล้าทำเรื่องอันใดให้เป็นการขุ่นเคืองใจเจ้า แต่ข้าก็ขัดใจอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน ข้าติดตามเขาไปหลายรอบแล้ว”

หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง โบกชายเสื้อ พลันศิลาวิญญาณรุ้งบนโต๊ะก็เพิ่มจำนวนเป็นสามสิบก้อน เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ศิษย์พี่ ช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง!”

“คือ…” ผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินลังเลใจ แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำให้หวังเป่าเล่อคับข้องใจ   แต่เขาก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องปฏิบัติตาม รายละเอียดเกี่ยวกับถ้ำที่พักถือเป็นความลับ ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้ ถ้าเป็นผู้อื่น เขาคงไล่กลับไปแล้ว            ถึงหวังเป่าเล่อจะใช้กำลังบังคับ เขาก็จำเป็นต้องทำตามข้อบังคับนี้อยู่ดี                  แต่หวังเป่าเล่อนั้นเก่งเรื่องการเจรจาต่อรองยิ่งนัก เขามองไปทางหวังเป่าเล่อ            อยู่พักใหญ่ แววตาบ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอยู่

“ศิษย์น้องหวัง ข้ายอมรับเจ้าเป็นสหาย!” พูดจบผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินก็เก็บศิลารุ้งบนโต๊ะไปและหยิบเอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งจากที่วางเรียงรายอยู่ข้างๆ มาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเอานิ้วเคาะแผ่นหยกและลุกขึ้นเหยียดตัว

“ศิษย์น้องหวัง ข้ามีวัตถุเวทที่ข้าหลอมเองอยู่หลังเรือน ข้าขอไปตรวจดูสักครู่ โปรดรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวอีกห้านาทีข้ากลับมา” ผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินก็หันเดินออกไปเมื่อเอ่ยจบ

หวังเป่าเล่อเห็นแผ่นหยกบนโต๊ะก็ทราบทันทีว่าผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินหมายความอย่างไร ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นออก ทันใดสีหน้าก็เปลี่ยนไป

แผ่นหยกนั้นระบุรายชื่อเจ้าของถ้ำที่พักทุกหลัง ไม่มีหลังใดว่างอย่างที่บอก แต่…ใต้ชื่อหลินเทียนหาวระบุว่ามีถ้ำที่พักอยู่สองหลัง!

ถ้ำที่พักสองหลังนี้อยู่ติดกัน ประกอบกับท่าทีของผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินแล้ว ก็ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร!

เจ้าหลินเทียนหาว บังอาจชิงถ้ำที่พักของข้าไปอย่างนั้นหรือ

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยเพลิงแค้น เขาเก็บงำความเดือดดาลในใจไม่ได้อีกต่อไป แต่เขาก็คิดขึ้นได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ การกระทำของอีกฝ่ายดูจะโจ่งแจ้งเกินไป

เดี๋ยวนะ เจ้านั่นไม่ได้โง่ ต้องกลัวว่าข้าจะไปกระทืบเอาถ้ามาขโมยถ้ำที่พักไปโจ่งแจ้งขนาดนี้

แม้ว่าชายหนุ่มจะโกรธจัด แต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาครุ่นคิดสงสัยว่าถ้าศิษย์พี่          ฝ่ายปกครองตำหนักไม่ได้เอาแผ่นหยกให้เขาดูจะเป็นอย่างไร เมื่อคิดออก           เขาก็ตบโต๊ะเสียงดังในทันใด

นี่…เป็นกับดักหรือ เจ้าหนูสกปรกมันพยายามจะวางแผนตลบหลังข้า ข้าอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมามากมาย! ข้าคิดแผนการจัดการเจ้าเอาไว้แล้ว   รอดูเถอะว่าครั้งนี้ข้าจะบดขยี้เจ้าอย่างไร! หวังเป่าเล่อเหยียดยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version