Skip to content

A World Worth Protecting 1261

บทที่ 1261 สิบสามปี

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากตัวตะขาบ สีหน้าของเฉินชิงจื่อยังคงเรียบนิ่งขณะที่เดินมาข้างประตู อาศัยพลังฝึกปรือในยามนี้ของเขาสามารถรู้ได้ว่าด้านนอกรอยแยกแห่งความว่างเปล่า มีเรือพายอยู่ลำหนึ่ง และมีเงาร่างสูงศักดิ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น

เงาร่างนี้ดุจทะเล แผ่ขยายไพศาลไร้ขอบเขต เสียดายแต่ว่าท่วงท่านี้แข็งแกร่งเกินไปจนเป็นเหตุที่ไม่อาจเข้าใกล้ และครั้นล่วงล้ำเข้าไปในรอยแยกทั้งร่าง เกรงว่า ทั้งโลกศิลานี้ จะพลันแตกเป็นสี่ห้าส่วน แหลกสลายไปในพริบตา

แล้วยังมีสายตานับไม่ถ้วนจากสถานที่ห่างไกลในหมู่ดารานั้นยังคงจ้องมาอยู่ สำหรับสายตาพวกนี้นั้น เฉินชิงจื่อไม่เห็นความสำคัญ ในบรรดานั้นสายหนึ่ง… ยังแฝงด้วยความรู้สึกสับสน ส่งผลให้เกิดระลอกคลื่นภายในกายของเฉินชิงจื่อด้วย เขาเข้าใจดี เกรงว่า…นี่ก็คือหลัวตนใหม่..ซึ่งตะขาบอันก่อเกิดจากกระแสจิตมหาเทพได้เอ่ยเอาไว้

แต่นี่ก็ยังไม่สำคัญ

กระแสจิตมหาเทพนั้นเห็นได้ชัดว่ารออยู่ตรงนี้มานานเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงพูดจาตั้งมากมายที่นี่ หรือสำหรับกระแสจิตของมหาเทพแล้วเรื่องราวพวกนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไร ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตม นับได้ว่าได้แก้ปัญหาข้อมูลสำคัญที่ขาดไปสำหรับการสืบทอดของเฉินชิงจื่อพอดี

แผนของบุตรไม่รู้สิ้น ก่อนหน้านี้เขาเดาได้แล้ว ในยามนี้เมื่อมองไป ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ตนคิดมากนัก ทั้งหมดเป็นพวกมันจงใจแพ้เพื่อให้ตนเองหลอมรวม หลังจากนั้นก็จะใช้พลังของตนเองในโลกนี้ออกจากโลกแห่งศิลา และนำดวงจิตเทพร่างต้นที่อยู่เบื้องหน้าตนตรงนี้เข้ามาเช่นกัน

“แต่ว่านี่…ก็ถือว่าเป็นแผนของข้า เจ้าและข้าล้วนใช้ประโยชน์ไปมา แต่ข้า… กลับยืมพลังของเจ้าจนได้สมความปรารถนาสุดท้ายแล้ว” ในใจเฉินชิงจื่อพึมพำ ดวงตาฉายประกายหม่นทึมคราหนึ่งก่อนจะขยับร่างแล้วก้าวเท้า…ออกจากประตูศิลา!

ในพริบตาที่ก้าวเท้าออกไปนั้น ประตูศิลาก็ปิดลงอีกครั้ง!

ส่วนความว่างเปล่านอกประตูนั้น ในยามนี้มีเสียงดังสะท้านฟ้าดุดันกังวานขึ้น มหาศึกที่ยิ่งใหญ่ระดับภพ ได้เปิดฉากขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางสายตาจำนวนมากที่จับจ้อง!

การศึกครั้งนี้ คนในโลกแห่งศิลาไม่มีใครได้เห็น มีเพียง…เจ้าของดวงตาที่จับจ้องจำนวนมากจากนอกภพเท่านั้น ถึงจะได้ทราบรายละเอียดของการต่อสู้นี้

แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่หวังเป่าเล่อก็พอสัมผัสได้ จริงๆ แล้วไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้น พูดได้ว่าทุกสรรพชีวิตในโลกแห่งศิลาล้วนแต่สัมผัสได้ เพราะว่า…ในโลก แห่งศิลา ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์กลางหรือสำนักเต๋าฝ่ายซ้าย สำนักเสริม ในหมู่ท้องดาราในยามนี้ล้วนแต่เกิดกระแสกระเพื่อมรุนแรง

กระแสคลื่นนี้สะท้อนกลับไปมา กลายเป็นลำแสง สำแสงหลากสีเหล่านั้นกระแทกชนกันในอวกาศ แต่กลับไม่ก่อให้เกิดเสียงใดๆ เว้นเสียแต่จะยกระดับ เป็นผู้ฝึกตนจักรพิภพเสียก่อน ไม่เช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าจักรพิภพก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าอวกาศ เพราะครั้นเมื่อเข้าไป ท่ามกลางแสงที่แผ่ขยายไปทั่วนี้ ก็จะตายหรือแตกดับได้ในพริบตา

มีเพียงผู้ฝึกตนจักรพิภพที่พอจะฝืนข้ามผ่านหมู่ดาราได้ในระยะสั้นๆ มีเพียงในระดับจักรวาลที่พอจะบรรเทากระแสคลื่นนี้บ้าง แต่ก็ไม่อาจจะข้ามผ่านได้ในพริบตาเหมือนแต่ก่อนแล้ว

ทั้งโลกแห่งศิลา เหมือนตกอยู่ในสภาวะถูกผนึกระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับ ความงงงวยของผู้ฝึกตนระดับล่างและทั่วไปนั้น มีเพียงผู้ฝึกตนซึ่งมีระดับสูง ประมาณหนึ่งถึงได้เข้าใจสาเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้

“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาวอังคารแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองไปยังคลื่นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น สุดท้ายแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลับตา เริ่มต้นหลอมรวมเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าปฐพีต่อไป

เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้

เวลาสิบปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กำหนดเวลานัดของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสสำนักดาราจันทร์ บัดนี้เหลือเพียงเก้าปีเท่านั้น

แสงแห่งมวลดารายังคงส่งระลอกคลื่นออกมาเหมือนเก่าแถมยังรุนแรงขึ้น นี่สร้างแรงกดดันชนิดที่เหล่าผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพเองก็ไม่อาจข้ามผ่าน ดาวเคราะห์ได้ ความรู้สึกที่เหมือนฟ้าดินจะทะลาย เริ่มปรากฏออกมาเป็นครั้งแรก พาให้ในใจของทุกคนนั้นรู้สึกหม่นเศร้า

ในเวลาเดียวกันกฎและเกณฑ์แห่งเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็เริ่มอ่อนพลังลง ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบายใจอย่างมาก แต่ว่าก็ไม่ได้มีอาการนี้เนิ่นนานนัก ความรู้สึกกดดันทั้งหลายเริ่มหายไป ส่วนพลังเต๋าสวรรค์ค่อยฟื้นคืนดังเดิม

ส่วนลำแสงที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวนั้นกลับเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ราวกับว่าท้องฟ้ากลายเป็นทะเลลำแสง ลำแสงเหล่านั้นยังคงผลัดกันพุ่งชนกลืนกิน ทำลายล้างทุกสิ่ง

และในเวลานี้เอง ผู้ที่สามารถเดินไปมาในอวกาศได้ ในทั้งโลกแห่งศิลานี้ มีเพียงระดับจักรวาลเท่านั้น ส่วนที่ผู้พลังเตรียมจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาลนั้น ก็ยังพอจะฝืนเดินทางเป็นระยะสั้นๆ ฝ่าอวกาศได้

ความกังวลใจของหวังเป่าเล่อไม่ได้ลดลงแม้ว่าความรู้สึกหดหู่จะหายไปหรือ กฎและเกณฑ์ทั้งหลายจะฟื้นคืน กลับกันมันรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหลังผ่านไปอีกสามปี เมื่อเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าดินนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แม้ว่าร่างต้นของเขายังรักษาสภาพหลอมรวมเอาไว้ แต่ร่างเสมือนนั้นกลับไปจากระบบสุริยะแล้วมุ่งไปยังดาวชะตา

ก่อนออกเดินทาง หวังเป่าเล่อก็หยิบเอา…กระบี่สำริดโบราณไปด้วย!

หลังมาถึงดาวชะตาแล้ว หวังเป่าเล่อก็มายังบริเวณที่ประมุขกฎสวรรค์ เคยนั่งขัดสมาธิอยู่ ในที่นี้เขาก็ได้พบกับวานรเฒ่าอีกครั้ง

“เจ้ามาแล้ว” วานรเฒ่านั่งอยู่หน้าสมุดชะตา เขาลืมตาขึ้นเอ่ยเสียงแหบพร่า

“ผู้อาวุโส ข้าคิดจะยืมหนังสือนี้สักครั้ง” หวังเป่าเล่อกำหมัดคำนับ

วานรเฒ่านิ่งเงียบ นานครึ่งครู่เขาจึงโบกมือ จากนั้นสมุดแห่งชะตาด้านหลัง ของตนก็ลอยขึ้นมาหาหวังเป่าเล่อ หลังจากหวังเป่าเล่อใช้สองมือประคองรับแล้ว เขาก็โค้งคำนับอีกครั้งหันกายจากไป

เมื่อเดินทางออกจากเขตพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย เข้าสู่สำนักเสริม พริบตานั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่พุ่งมาจากดินแดนไม่รู้จัก มาจากใจกลาง จักรพิภพสำนักเสริม เขาทราบดีว่า ที่นั่นคือสำนักดาราจันทร์ เวลาตามที่สัญญา ยังมีอีกหกปี การไปเยี่ยมเยียนก่อนนั้นไร้ความหมาย แต่ว่าหวังเป่าเล่อยังคงตรงมาที่นี่ เขากำหมัดคำนับให้จากระยะไกล

“ผู้อาวุโสดาราจันทร์ หวังโหม่วอยากขอยืมสมบัติล้ำค่าของสำนักท่านหนึ่งครา!”

หลังกระแสจิตส่งออกไปไม่นาน ลำแสงพิสุทธิ์ลอยออกมาจากสำนักดาราจันทร์มุ่งมายังหวังเป่าเล่อ สุดท้ายเมื่ออยู่เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นม้วนกระดาษหนึ่ง

เขาไม่ได้เปิดมันออก เหตุเพราะปราณที่ม้วนกระดาษนี้แผ่ออกมาอยู่ในระดับที่สั่นคลอนเขาได้ ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาคำนับหันกายจากไป หลังจากนั้นก็ไปยังสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ เพื่อพบกับผู้อาวุโสเจ็ดวิญญาณ

หลายวันให้หลังที่หวังเป่าเล่อจากมานั้น ด้านข้างเขามีกระบองเขี้ยวหมาป่า ขนาดยักษ์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งอัน สิ่งนี้คือ…อาวุธสงครามประจำกายของผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ พละกำลังองอาจครั่นคร้าม โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้อาวุโสสำนักเต๋า เจ็ดวิญญาณได้ทำการหลอมยกระดับมันขึ้นใหม่ ตอนนี้ระดับพลังของมันถึงขั้น น่าสะท้านยำเกรง

หลังจากได้สมบัติล้ำค่าพวกนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไปจากจักรพิภพเต๋าสำนักเสริม ในครานี้ มันกลับไปอีกใจกลางจักรพิภพไม่รู้สิ้นอีกครั้ง ไปยัง…สถานที่ที่ไม่เคยไป มาก่อน ตระกูลเซี่ย

เกือบจะในเวลากับที่เขามายังดาวต้นกำเนิดตระกูลเซี่ย ในหมู่ดารานอกดาว ต้นกำเนิดนั้น ต้นตระกูลเซี่ยผู้สวมชุดสีเขียวกำลังรออยู่ตรงนั้น ด้านข้างของเขายังตามติดด้วย…เซี่ยไห่หยาง

ด้วยการสนับสนุนของต้นตระกูลเซี่ย เซี่ยไห่หยางสามารถเข้าสู่ดาวเคราะห์ได้ อีกทั้งหลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาเขาเผยประกายตาซาบซึ้ง แต่ใต้ก้นบึ้งหัวใจนั้นถอนหายใจ เขามองหวังเป่าเล่อพลางประสานหมัดคำนับต่ำคราหนึ่ง

หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน หลังตอบแทนมารยาทแล้วเขาก็หันกลับไปมองผู้อาวุโสเซี่ย

อายุนั้นไม่ตรงกับที่เขาคิดเอาไว้ ต้นตระกูลเซี่ยรายนี้ดูเผินๆ ไปแล้วอายุประมาณกลางคน หลังจากประสานสายตากับหวังเป่าเล่อแล้ว ต้นตระกูลเซี่ยพลันเอ่ยปากเสียงทุ้มต่ำ

“ข้ารู้ถึงเหตุที่สหายเต๋ามาแล้ว” เมื่อกล่าวเขาก็โบกมือ จากนั้นธูปซึ่งแผดเผาไปแล้วกว่าครึ่งดอกสีทองก็ปรากฎตัวขึ้นข้างกายเขา พุ่งไปหาหวังเป่าเล่อ

ธูปดอกนี้แผ่กลิ่นอายคุกคาม เหนือล้ำยิ่งกว่ากระบองเขี้ยวหมาป่า แม้ไม่ถึงขึ้นสมุดชะตา แต่ก็ไม่ต่างกันมากน้อย

หวังเป่าเล่อรับมาด้วยอาการสำรวม เขาประสานมือคำนับต้นตระกูลอีกครั้ง หลังจากสบสายตาเซี่ยไห่หยางและต้นตระกูลเซี่ยแล้ว เขาก็หันกายยิ่งเดินก็ยิ่ง จากไปไกล

เมื่อเงาร่างของเขาหายไปจนสิ้น เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ

“ความทรงจำเมื่อปีนั้น ราวกับเป็นคนละชาติภพ…ผู้อาวุโส การที่หวังเป่าเล่อมายืมสมบัติประจำตระกูลเรา นี่เพื่อใช้ประโยชน์อันใดกัน?”

“เขาต้องการไปยังจักรวาลอันว่างเปล่า ไปดูสักคราหนึ่ง” ต้นตระกูลเซี่ยจ้องมองท้องฟ้า ครึ่งครู่ให้หลังจึงค่อยเอ่ยปาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version