Skip to content

A World Worth Protecting 1291

บทที่ 1291 ผู้ฝึกเซียน

“ข้าหรือ?” บิดาของหวังอีอีหัวเราะยิ้มๆ

“เจ้าลองเดาสิ”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปลกประหลาด เขาไม่คิดว่าท่านพ่อหวังซึ่งก่อนหน้านี้ ให้ความรู้สึกเข้มงวดมาโดยตลอดจะมีด้านแบบนี้ด้วย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบาด้วยท่าทีไม่แน่ใจ

“ท่านจะคว่ำโต๊ะ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ หวังอีอีก็ชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง ในส่วนของ ผู้เป็นบิดานั้นกลับยิ้มกว้างมากขึ้น การฟื้นคืนชีพของบุตรสาวราวกับทำให้นิสัยของเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาจากแต่ก่อนพอควร ในระหว่างที่แย้มยิ้ม ท่านพ่อก็หมุนตัวไม่สนใจผู้เยาว์ทั้งสองอีก แต่มีคำพูดหนึ่งลอยเข้าสู่หูของหวังเป่าเล่อและหวังอีอี

“หากเจ้าไร้หนทางทำให้อีอีฟื้นคืนชีพล่ะก็ หากการคว่ำโต๊ะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน เช่นนั้น…เจ้าโต๊ะนี้ หวังโหม่วย่อมต้องคว่ำ หากใครกล้าขวาง ข้าจะสังหารมันเสีย ไม่ว่าเป็นใคร!”

แม้มหาเทพจะอยู่จุดสูงสุด หากเขากล้าขวางข้า หวังโหม่วแม้ไม่เคยประมือกับมาก่อน แต่…ใครจะรู้ว่าข้าสังหารไม่ได้?”

“เต๋าของข้า…มีเพียงอารมณ์เท่านั้น”

หวังเป่าเล่อเงียบสนิท เขามองเงาร่างเบื้องหน้าอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาจมอยู่ในภวังค์ ในยามนี้ก้นบึ้งหัวใจนั้นพลันบังเกิดระลอกคลื่น เขากำลังคิด…หากเป็นตนเอง จะทำเช่นไร

“สังหารทุกผู้ที่ขัดขวางความสุขของข้า” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ ดวงตาพลันมีประกายแสงทอวาบ ทางเลือกของเขาไม่ว่าจะเป็นในแง่ใดล้วนคล้ายกับของ ท่านพ่อหวัง เขาไม่ได้สนความมีอยู่ของโต๊ะ อีกทั้งยังไม่สนต้นตอที่มา

สิ่งที่เขาสนใจ คือความเป็นอิสรเสรี ไม่ถูกผูกมัดบังคับ

เห็นได้ชัดว่า วิธีการคงอยู่ของมหาเทพในตอนนี้ ได้กลายเป็นอุปสรรคขวางเส้นทางมรรคาของเขา ระหว่างเขาและมหาเทพ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายย่อมอยู่คนละฝ่ายกันแล้ว

แม้หวังเป่าเล่อเลือกยอมแพ้ แต่หากมหาเทพตื่นขึ้นมาเมื่อใด ก็มีความจำเป็นต้องสยบเขา เพราะร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้…ได้กลายเป็นต้นตอขัดขวางมรรคาของ อีกฝ่ายแล้ว

ในพริบตาที่มหาเทพปรารถนาจะเป็นมหาจักรวาลนั้น แก่นกำเนิดของไม้ได้ตอกตรึงลงหว่างคิ้ว และกลายเป็นผนึกไม้กระดานสีดำนั่นเอง ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน พลันปรากฏเหตุผลต้นกรรมแล้ว

ท่ามกลางกาลเวลานับไม่ถ้วนที่ไหลผ่าน ไม่ได้ชะล้างเหตุผลต้นกรรมนี้จนสิ้น กลับกัน…นานวันเข้ามันก็ยิ่งเข้มข้น เพราะว่า…แม้เวลาจะผ่านไปก็จริง แต่ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขานั้น กลับดำเนินต่อเนื่องตลอดเวลา

ไม่ว่าจะการเป็นปรปักษ์กับตัวมหาเทพเอง หรือกระแสความคิดนับแสนที่กลายเป็นโลกา ก็เป็นเช่นเดียวกัน

“ไม่สังหารมหาเทพ ก็ไม่อาจเสพสุขได้” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นเขาก็เก็บงำประกายตาคมปลาบนี้ไว้ สุดท้ายแล้วจึงค่อยหลับตาลงทั้งหมด

หวังอีอีที่อยู่อีกด้านหนึ่ง กลับฟังไม่เข้าใจคำพูดของท่านพ่อหวังและหวังเป่าเล่อ นางกำลังรู้สึกว่าคำพูดของคนทั้งสอง สำหรับนางแล้วคล้ายจะเข้าใจได้แต่เมื่อเอามาผสมรวมกัน ได้กลายเป็นเรื่องลึกซึ้งเร้นลับ ทำให้นางในยามนี้ ฟังแล้วสมองเกิด ความมึนงงนัก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังอีอีรู้สึกเช่นนี้ แท้จริงแล้วในความทรงจำของนาง ระหว่างที่ติดตามบิดาของตนเอง มีหลายครั้งที่เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น เพียงแต่ว่าตลอดเวลา ที่ผ่านมา ข้างกายนางนั้นไม่ได้มีคนอื่นๆ ดังนั้นแล้วนางจึงไม่มีตัวเปรียบเทียบ นี่ทำให้นางไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก กระทั่งยังคิดว่าสิ่งที่บิดามารดาพูดนั้นเร้นลับยากเข้าใจ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงจะฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน

แต่ในยามนี้…เริ่มไม่เหมือนกันแล้ว

นี่ทำให้ตัวนางผู้หยิ่งทะนง รับไม่ได้อยู่บ้าง หลังสังเกตว่าหวังเป่าเล่อหลับตาจึงแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจขึ้นมาบ้าง เลือกหลับตาลงเช่นกัน

เพียงแต่ว่า การที่หวังเป่าเล่อเงียบลงครั้งนี้ก็เพื่อย่อยเต๋าที่แฝงอยู่ในคำพูดของท่านพ่อหวัง อีกทั้งเพื่อยืนยันเส้นทางของตนเอง ส่วนการหลับตานี้ของหวังอีอี… ตัวนางเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคิดอะไร

ทั้งหมดนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้การรับรู้ของท่านพ่อหวัง เขาถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าเผยให้เห็นความเหนื่อยหน่ายแต่ก็รักถนอมไปในตัว

ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่รอบด้านของนาวาปรากฏภาพมายาพร่าเลือนจำนวน นับไม่ถ้วน การเคลื่อนตัวของจักรวาลนี้ก็ได้อยู่ในระดับที่ยากจะจับสังเกตได้อีก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ราวกับเป็นเพียงชั่วลมหายใจเดียว และก็ราวกับ ศตวรรษหนึ่ง

ในมหาจักรวาลนี้ หลังจากข้ามผ่านจักรวาลผืนน้อยจำนวนมากแล้ว ในที่สุด…จักรวาลนี้ก็หยุดเคลื่อนไหว มันค่อยๆ ช้าลงจนกระทั่งความเร็วกลับเข้าสู่ปกติ ข้างหูของหวังเป่าเล่อก็มีเสียงของท่านพ่อหวังดังขึ้นมา

“มาถึงแล้ว”

ยามที่ได้ยินเสียงนี้ หวังเป่าเล่อพลันเบิกตา เขามองไปยังท้องฟ้า แต่ต่อให้เป็นพลังฝึกตนและสมาธิของเขาในยามนี้ก็ยังต้องสั่นสะท้านเพราะภาพที่มองเห็น เบื้องหน้า ดวงตาทั้งสองของเขายามนี้พลันเบิกกว้างขึ้น

ที่อยู่ใจกลางหมู่ดวงดารา ไม่แน่ว่าจะเป็นดาวพระเคราะห์ทั้งหมด

ภาพที่สะท้อนออกมาจากในแววตา สามารถมองเห็นได้ชัดเจน…เพราะที่อยู่ เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในตอนนี้ มันคือมหาทวีปอันใหญ่ยักษ์จนยากจะบรรยาย

มหาทวีปนี้ใหญ่เหลือเกิน ราวกับหากเทียบกับโลกแห่งศิลาไปแล้ว โลกแห่งศิลาคงมีขนาดเพียงหนึ่งในหมื่นของมันเท่านั้น อีกทั้งมันยังไม่หยุดนิ่งๆ แต่กลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ตำแหน่งตรงรอยต่อของมันนั้นก่อเกิดความพร่าเลือนราวกับ ภาพมายา

ไม่เพียงแค่นี้ ดวงดาวน้อยใหญ่ที่รายล้อมอยู่นั้นก็มีจำนวนมหาศาล ราวกับว่ามหาแผ่นดินนี้คือใจกลางและพวกมันก็โคจรต่อเนื่องกัน เห็นชัดว่าท่ามกลางวันเวลาที่เคลื่อนผ่านระหว่างที่มหาทวีปเคลื่อนตัว ก็ได้ดึงดูดดาวบริวารพวกนี้ไว้

ในเวลาเดียวกัน ยังมีชีพจรขนาดมโหฬารยากจะพรรณนา ผืนดินนี้แผ่ไพศาลออกมาไม่หยุด ราวกับภูเขาไฟยามราตรีกาลอันมืดมิด โชนแสงสีแดงจ้าท่ามกลางท้องฟ้าราตรี ทำให้จักรวาลนี้งดงาม

เพียงแค่กวาดตามองก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตขั้นสูงสุดโจมตีเข้ามา อีกทั้งข่าวสารที่มันพัดเข้ามานี้ยังทำให้สมองของหวังเป่าเล่อเกิดเสียงอึกทึกทันที

หากเป็นเพียงเช่นนี้ก็แล้วไป แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจนั้น ก็คือมหาแผ่นทวีป อันยิ่งใหญ่สะท้านภพ มันยังมีดาวเคราะห์พิเศษระดับสูงเก้าดวงลอยอยู่ด้วย ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ข้ามไปอีกระดับแล้ว พวกมันควบคุมเหล่าดวงดาวไว้ และครอบครองมหาทวีป

ทุกดวงดารานั้นพาให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าพลังไม่ได้แตกต่างจากตนมากน้อย ถึงกับว่า มีสองดวงในนั้นทำให้เขาสัมผัสถึงอันตราย

อีกทั้งใจกลางของอาทิตย์เก้าดวงนี้ ยังมีรูปสลักศักดิ์สิทธิ์ขนาดมโหฬาร ตั้งตระหง่านอยู่ ความสูงของมันน่าครั่นคร้าม รูปสลักนี้เห็นได้ชัดว่ามันคือ…ท่านพ่อหวังที่อยู่เบื้องหน้า!

เรื่องราวพวกนี้ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อก่อเกิดความสะพรึง และที่ทำให้เขาตะลึงหนักยิ่งกว่าก็คือ…เบื้องหน้ารูปสลักยักษ์ใหญ่…ยังมีสะพานขนาดยักษ์อยู่ 11 แห่ง!

พวกมันทอดยาวไปสู่ความว่างเปล่า เชื่อมต่อระหว่างมิติแห่งความจริง เมื่อมองจากระยะห่างเข้าไป จะเห็นคล้ายขั้นบันได แต่ละขั้นที่เหยียบย่างนั้นยิ่งใหญ่สะท้านภพ

และสะพานทั้ง 11 แห่งนี้ก็เผยกลิ่นอายโบราณตระการตา ราวกับว่ามันตั้งอยู่ คู่ฟ้าดิน ตั้งอยู่ร่วมกับจักรวาล และไหลผ่านมาพร้อมกระแสเวลา อีกทั้งยังไม่มีวี่แววความผุกร่อน ประกายแสงดาวนั้นกระจายทั่ว แต่กลับไร้รอยด่างพร้อยแม้เพียงนิด

พวกมัน มีนามหนึ่งที่ก้องสะท้อนไปทั่วมหาจักรวาล

พวกมัน มีชื่อเรียกขานท่ามกลางสรรพชีวิตในจักรวาลนี้

“นี่ คือสะพานสู่สวรรค์”

“ก่อนหน้านี้พวกมันพังทลายไปแล้ว แต่หลังจากนั้นข้าหวังโหม่วเป็นผู้บูรณะ สร้างมันขึ้นมาใหม่ 11 แห่งจากเดิม 9 แห่ง ในบรรดานี้เก้าเส้นคือเส้นทางสู่สวรรค์”

“หลังจากนั้นแต่ละเส้นทางที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือเพิ่มอีกหนึ่งก้าวของการฝึกตน!” เสียงของท่านพ่อหวังแฝงไปด้วยกฎกระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ ทำให้สะพานทั้ง 11 สาย ยามนี้แผ่ประกายแสงเรืองรองรุ่งโรจน์ ราวกับกำลังต้อนรับการกลับมาของเขา

แต่ในยามที่สะพานสู่สวรรค์พวกนี้ส่องแสงนั่นเอง สภาวะจิตของหวังเป่าเล่อ ก็ร้องคำราม ก่อนที่หวังอีอีซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งจะเอ่ยปากเสียงเบา

“เจ้าอ้วน…ยินดีต้อนรับสู่…บ้านเกิดของข้า ดินแดนแห่งเซียน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version